29 มิ.ย. 49 ผู้จัดการรายวันรายงานคำกล่าวของ นพ.ศุภมิตร ชุณห์สุทธิวัฒน์ ผู้ทรงวุฒิจากกรมควบคุมโรคว่า โอกาสที่ไข้หวัดนกจะระบาดจากคนมาสู่คนเกิดขึ้นแน่แต่ไม่ทราบว่าเมื่อใด ซึ่งผลการศึกษาย้อนหลังไข้หวัดใหญ่จะระบาดใหญ่ทุก 10-40 ปี คาดการณ์ว่าถ้าประชากรไทย 65 ล้าน ติดเชื้อร้อยละ 10 จะมีผู้ป่วย 6.5 ล้านคน อัตราตาย 600,000 คน ดังนั้น การมีแผนรองรับทั้งภาคธุรกิจและราชการจะลดความสูญเสียลงมาก
ไข้หวัดนกก็คือไข้หวัดใหญ่ในสัตว์ปีกประเภทนกนั่นเอง โดยพบว่าเชื้อไข้หวัดนกบางสายพันธุ์สามารถติดต่อถึงคนได้ โดยในปี 2540 เริ่มพบคนติดเชื้อและป่วยเป็นไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช 5 เอ็น 1 ในฮ่องกง ต่อมาพบผู้ติดเชื้อในพื้นที่อื่นและกระจายลุกลาม โดยมีอัตราการป่วยตายสูงถึง 50% ขณะนี้พบการระบาดของโรคไข้หวัดนกเกือบทั่วโลก เริ่มจากทวีปเอเชียไปทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา คาดว่าในปลายปีหน้าเชื้อไข้หวัดนกจะแพร่ระบาดไปทวีปอเมริกาเหนือและทวีปออสเตรเลียได้
"สิ่งที่เรากลัวคือ การติดเชื้อไข้หวัดนกจากคนสู่คน และจะผสมกับไข้หวัดใหญ่เกิดเป็นการระบาดไปทั่วโลก ซึ่งที่ผ่านมาโลกนี้มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่เป็นช่วงๆทุกๆ 10-40 ปี หากเชื้อหวัดนกผสมกับหวัดใหญ่ในคน เกิดการติดต่อจากคนสู่คน การระบาดจะรุนแรงมาก นี่เป็นปัญหาที่ทุกประเทศ ทุกภาคส่วนต้องเตรียมป้องกัน คาดว่าถ้าเกิดการระบาดใหญ่ขึ้นในประเทศไทย ประชากร 10-40% หรือประมาณ 6.5-26 ล้านคนจะป่วย และในจำนวนนี้ 1% จะเสียชีวิต หรือประมาณ 65,000-260,000 คน ซึ่งเป็นการคาดการณ์โดยทั่วๆ ไป"
นพ.ศุภมิตร กล่าวถึงโอกาสที่เชื้อหวัดนกจะกลายพันธุ์ติดจากคนสู่คนว่า ขณะนี้ได้เกิดขึ้นแล้วที่ประเทศอินโดนีเซีย ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.ที่ผ่านมา กรณีครอบครัวมีผู้ป่วยด้วยเชื้อหวัดนก 8 ราย เสียชีวิต 7 ราย องค์การอนามัยโลกชี้ว่า เกิดจากการติดต่อจากคนสู่คน แต่เนื่องจากเชื้อไวรัสเปลี่ยนไม่มาก องค์การอนามัยโลกจึงยังประกาศให้ประเทศอินโดนีเซียอยู่ในภาวะที่คนติดเชื้อจากสัตว์อยู่ แต่จุดนี้ก็ยืนยันว่าโอกาสการติดเชื้อจากคนสู่คนมีสูงและเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้นี้ กรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นที่อินโดนีเซียเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในทุกประเทศ การเตรียมพร้อมจึงสำคัญ
ด้านนาย
นายวัชระ ยืนยันว่าภาครัฐมีระบบเฝ้าระวังและควบคุมโรคไข้หวัดนกตามเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก โดยสำรองยาต้านไวรัสไข้หวัดนกไว้ 1.5 ล้านแคปซูล วัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 300,000 โด๊ส มีห้องปฏิบัติการตรวจยืนยันเชื้อไวรัสไข้หวัดนก เอช5 เอ็น1 ภายใน 24 ชั่วโมง และชุดทดสอบรู้ผลเร็ว 30-60 นาที
ด้านเรืออากาศโทสุรพล อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารภาวะวิกฤติ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนการเตรียมพร้อมรับมือการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่ของการบินไทยวง่า ทางบริษัทมีเป้าหมายทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศที่ไม่นำผู้ป่วยเข้ามาในประเทศไทย หมายความว่าไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคไข้หวัดนกจากที่ไหนก็ไม่นำเข้ามาในประเทศไทย โดยจะเน้นมาตรการเข้มข้นในพื้นที่ที่มีการระบาดชุกชุม ซึ่งจะมีการตรวจอุณหภูมิ เช็คความดัน ในรายที่ป่วยไข้ อย่างไรก็ตามถ้ามีการหลุดรอดขึ้นมาได้บนเครื่อง ก็จะกันพื้นที่ส่วนหนึ่งแยกผู้ป่วยออกมาเฉพาะ และมีแพทย์ พยาบาลดูแลเป็นกรณีพิเศษไม่ปะปนกับผู้โดยสารท่านอื่น
"ที่สำคัญขณะนี้เครื่องบินของการบินไทยทุกลำได้มีการเปลี่ยนระบบการกรองอากาศ โดยไส้กรองมีความละเอียดสูงสุด คือ 0.001 ไมครอน ขณะที่เชื้อโรคซาร์สมีขนาดแค่ 0.1 ไมครอนเท่านั้น ดังนั้นแม้แต่เชื้อโรคซาร์ส ไข้หวัดนก ก็ไม่สามารถหลุดรอดได้ ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่ทางบริษัทยอมลงทุนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประเทศไทย เพราะหากมีการระบาดเกิดขึ้นจริง การเดินทางจะได้รับผลกระทบอย่างมาก เรามองเห็นตรงนี้ จึงต้องสร้างตรงจุดนี้มารองรับว่า เมื่อมีการระบาดของโรคไข้หวัดนกที่เกิดจากคนสู่คนเกิดขึ้นจริง หากจำเป็นต้องเดินทาง การบินไทยสามารถรองรับตรงจุดนี้ได้ เพราะเราเป็นสายการบินที่มีความปลอดภัยและมีสะอาดสูงสุด"
เรืออากาศโทสุรพล กล่าวต่อว่า มาตรการของการบินไทยมีทั้งมาตรการระดับใต้ดินและบนดิน โดยมาตรการใต้ดินจะไม่มีการประกาศเพราะจะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่จะใช้วิธี เช่น หากประเทศไหนมีการระบาดของโรคไข้หวัดนกเกิดขึ้น ถ้าเคยสั่งไก่จากประเทศนั้น การบินไทยก็จะงดการสั่ง เพื่อต้องการให้อาหารบนเครื่องบินมีความปลอดภัยมากที่สุด โดยได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินติดตามทุกวันในเรื่องนี้
พญ.
ส่วนการเตรียมพร้อมของไทย มีการดำเนินการทั้งเรื่องงบประมาณ มาตรการรักษาพยาบาล ได้สำรองยาต้านไวรัสโอเซลทามีเวีย (Oseltamivir) 1.5 ล้านแคปซูล ซึ่งในไทยยังใช้การได้ดี ไม่มีปัญหาดื้อยา เตรียมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 300,000 โด๊ส และให้ทุกจังหวัดซักซ้อมการเตรียมความพร้อมทุกด้าน โดยเฉพาะจังหวัดที่เคยเกิดการระบาด เพื่อความแม่นยำและสร้างความมั่นใจ
นสพ.นริทร์ ร่มลำดวน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านสุขภาพสัตว์ บริษัท กรุงเทพผลิตผลอุตสาหกรรมเกษตร จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนธุรกิจอาหารสัตว์ว่า ในส่วนของบริษัท ซี.พี. ว่า ในส่วนของบุคลากรที่ต้องสัมผัสสัตว์ปีกทุกวัน เช่นเจ้าหน้าที่ที่ต้องเข้าฟาร์ม ทางบริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือไม่ให้นำเชื้อติดต่อไปยังผู้อื่น โดยในส่วนของสัตว์ปีกนั้นได้วางมาตรการลดความสูญเสีย เพราะหากฟาร์มไก่ที่เลี้ยงไก่ส่งบริษัทมีปัญหา ภาพของซีพีก็จะเสียหายไปด้วย
ทั้งนี้บริษัทได้เตรียมมาตรการไว้แล้ว เพราะหากเกิดการระบาดที่รุนแรงจะเกิดความวุ่นวายขึ้นได้ จึงได้แบ่งสถานการณ์ออกเป็น 5 สี ได้แก่ "สีเขียว" คือ สถานการณ์ขั้นปกติถึงการระบาดเล็กน้อย มีการฝึกอบรมพนักงานกันไม่ให้เชื้อเข้าสู่ฟาร์ม และมีการเตรียมทีมงานเพื่อจัดการและประเมินความเสี่ยง โดยพนักงานส่วนหนึ่งอาจให้ทำงานที่บ้านเพื่อลดภาวะความรุนแรง "สีเหลือง" หากประเทศไทยมีการระบาดในระดับนี้ ทางบริษัทจะทำการสต๊อกยาฆ่าเชื้อ ยาทามิฟูล อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ และยังจัดทีมงานเพื่อจัดการกับภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะ
"สีส้ม" คือ สถานการณ์ระบาดรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะมีการพ่นยาฆ่าเชื้อภายในฟาร์มวันละ 2 ครั้ง และกักตัวพนักงานในฟาร์ม และผู้ที่สัมผัสสัตว์ปีก โดยจะมีการประสานไปยังโรงพยาบาลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง "สีแดง" คือ ภาวะระบาดรุนแรง ในขั้นตอนนี้ต้องแยกผู้ป่วยออกจากผู้อื่น และสุดท้าย "สีดา" จะมีการให้ยาในคนและวัคซีนในไก่ หากเกิดการระบาดในขั้นนี้จริง โดยพนักงานที่เคยเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง จะให้หยุดงาน 5 วันเพื่อดูอาการ และให้งดการเข้าประชุมใหญ่
นอกจากนี้ยังจะให้ที่เทอร์โมมิเตอร์แก่พนักงานคนละ 1 อัน เพื่อคอยวัดความผิดปกติอุณหภูมิในร่างกาย สำหรับในเรื่องการติดต่อนั้น ในส่วนของพนักงานขายจะไม่ให้พบลูกค้า แต่ให้ติดต่อทางโทรศัพท์แทน และหากมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น หัวหน้าจะต้องทราบเรื่อง โดยทางบริษัทจะเตรียมห้องทำงาน แยกพนักงานไม่ให้ปะปนกัน
......................................................................
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)