Skip to main content
sharethis

25 พ.ค. 2549 ศาลอาญา รัชดาฯ ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกามานิต มะมะ อายุ 47 ปี อาสาสมัครรักษาดินแดนประจำ อ.สุไหงปาดี, นายอนุพงษ์ พันธชยางกูร อายุ 48 อดีตกำนัน ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส, นายอาซีซาน หรืออาแซ หรืออีแซ หรือแว สุเด็ง อายุ 29 ปี และนายซอบัร หรือซอบ๊ะ สรีฟ อายุ 28 ปี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่า จ.ส.ต.ปัญญา ดารมฮิม ตำรวจ สภ.อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน, ฐานใช้จ้างวานให้ฆ่าเจ้าพนักงานเพราะเหตุที่ได้กระทำการตามหน้าที่ โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันมีและพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนที่ไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง


 


ตามฟ้องโจทก์บรรยายสรุปว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค. -6 ก.พ.2547 จำเลยที่ 1-3 ร่วมกันมีอาวุธปืนกลเล็กอาก้า 1 กระบอก พร้อมด้วยเครื่องกระสุนหลายนัด และแมกกาซีนบรรจุเครื่องกระสุน 1 อัน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยวันที่ 6 ก.พ.2547 จำเลยที่ 1 และ 3 ร่วมกันพกพาอาวุธปืนดังกล่าวเข้าไปใน หมู่บ้านนาโงฮูมอ ต.กาวะ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส โดยจำเลยที่ 2 ได้จ้างวานให้ จำเลยที่ 1, 3 และ 4 ฆ่า จ.ส.ต.ปัญญา ด้วยเหตุที่จำเลยที่ 2 ถูกราชการกล่าวหาว่า เป็นผู้มีอิทธิพล แล้ว จ.ส.ต.ปัญญา ได้ปฏิบัติราชการตรวจติดตามพฤติการณ์และความเคลื่อนไหวของจำเลยที่ 2 และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการปล้นอาวุธปืนเอ็ม 16 ของกองพันพัฒนาที่ 4 กระทั่งจำเลยที่ 2 ถูกเจ้าหน้าที่ทหารเข้าตรวจค้น 2 ครั้ง เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 โกรธแค้น


 


จำเลยที่ 1, 3 และ 4 เจตนาฆ่า จ.ส.ต.ปัญญา โดยดักซุ่มยิงด้วยอาวุธปืนกลเล็ก อาก้า ขณะที่ต้องไปส่งบุตรและภรรยาจนถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ 5 มี.ค.2547 ตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 และ 2 ได้ พร้อมกับยึดเงินสด 1 หมื่นบาท ได้ ซึ่งเป็นค่าจ้าง ให้ฆ่าผู้ตาย ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพ


 


ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้วเห็นว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนจัดทำสำนวนคำให้การแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ต้องหาเข้าไปมีส่วนร่วม และในชั้นสืบพยานฝ่ายโจทก์ก็ไม่ได้นำนายมะยูโซ๊ะ หะยีมามะ อดีตผู้ต้องหาคดีปล้นที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องพยานที่เห็นเหตุการณ์ มาเบิกความให้ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 2 จ้างวานให้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย รวมทั้งไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 และ4 เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด มีเพียงพยานแวดล้อมระบุว่าจำเลยที่ 3 และ4 มีความสนิทสนมกับจำเลยที่ 2 เท่านั้น


 


ส่วนกระสุนปืน 20 นัดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดได้จากบ้านพักของจำเลยที่ 1 ก็เป็นคนละขนาดกับปลอกกระสุนปืนที่พบในที่เกิดเหตุ ขณะที่เงินสด 10,000 บาท ที่ตรวจยึดได้จากที่เดียวกันโจทก์ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นเงินที่จำเลยที่ 2 ใช้จ้างวานจำเลยที่ 1 ให้ฆ่าผู้ตาย


 


ส่วนภรรยาของ จ.ส.ต.ปัญญา ผู้ตายแม้จะอยู่ในเหตการณ์แต่พยานก็ไม่เห็น ใบหน้าของคนร้ายได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นจำเลยที่ 1 หรือไม่ หลักฐานโจทก์เป็นเพียง พยานแวดล้อมไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้ง 4 กระทำผิดจริง พิพากษาให้ยกฟ้อง และมีคำสั่งให้ยึดกระสุนปืนของกลาง ส่วนเงินสดของกลางให้คืน


 


ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว นายอนุพงศ์แสดงอาการดีใจโดยโผเข้ากอด ภรรยาและญาติพี่น้องที่เดินทางมาให้กำลังใจกว่า 30 คน พร้อมเปิดเผยว่า ดีใจที่ได้รับความยุติธรรมจากศาล เพราะที่ผ่านมาได้ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองมาโดยตลอด ซึ่งต่อจากนี้อยากจะกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ จ.นราธิวาส


 


ส่วน นางวันนอรียะห์ ภรรยานายอนุพงศ์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ศาลให้ความ ยุติธรรมกับครอบครัวของตน ทำให้การรอคอยตลอด 2 ปีที่ผ่านมาไม่สูญเปล่า

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net