Skip to main content
sharethis


โดย ชำนาญ  จันทร์เรือง

 


ในยุคสมัยที่การเมืองอยู่ในสภาวะมืดมิดไม่มีทีท่าว่าจะพบแสงสว่างเมื่อใด ต่างฝ่ายต่างก็โทษกันไปมา ไทยรักไทยก็กล่าวโทษประชาธิปัตย์ , ประชาธิปัตย์ก็กล่าวโทษไทยรักไทย ,กลุ่มคนรักชาติก็กล่าวโทษพันธมิตรแล้วเลยไปถึงศาลว่าทำเกินหน้าที่, พันธมิตรก็กล่าวโทษนายกทักษิณและ กกต. , กกต.ก็กล่าวโทษว่าเป็นเหตุมาจากพรรคฝ่ายค้านที่ไม่ยอมลงเลือกตั้ง  ฯลฯ พัลวันพัลเกอีนุงตุงนังกันจนมั่วไปหมด  จนหลายคนเลิกอ่านหรือฟังข่าวสารบ้านเมือง เพราะมีแต่ข่าวคราวของการทะเลาะกัน


ว่ากันตามทฤษฏีแล้ว พรรคการเมืองไทยเราควรที่จะเป็นองค์กรกลางที่เชื่อมโยงระหว่างเจตนารมณ์ของประชาชนเข้าด้วยกันโดย


1.  ประกาศหรือแถลงนโยบายหลักของพรรคการเมือง  เพื่อที่ประชาชนจะได้นำไปศึกษาพิจารณา  แล้วตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง


2.  ปลุกเร้าและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งเพราะพรรคการเมืองมีบทบาทสำคัญในการสร้างหรือปลุกเร้าความคิดความเห็นทางการเมืองของประชาชน


3.  ส่งผู้แทนเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง


4.  จัดตั้งรัฐบาล หากได้รับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และปฏิบัติภารกิจตามนโยบายที่ได้วางไว้


5.  ควบคุมรัฐบาล  หากไม่สามารถได้เสียงข้างมากในสภาอาจจะต้องทำหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน  คอยควบคุมการทำงานของรัฐบาล  โดยการตั้งกระทู้ถาม  หรือเสนอญัติติ
ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ  นอกจากนี้ยังสามารถวิพากษ์วิจารณ์
การทำงานของรัฐบาลผ่านทางสื่อมวลชน การประชุมสัมมนา และช่องทางอื่น ๆ เพื่อควบคุมมิให้รัฐบาลใช้อำนาจตามอำเภอใจ


6.  ประสานระหว่างกลุ่มผลประโยชน์กับรัฐบาล  โดยการพยายามเสนอข้อเสนอของกลุ่มผลประโยชน์ของตัวเอง  และไกล่เกลี่ยผลประโยชน์ให้ได้เพื่อผลประโยชน์ของชาติ  และในขณะเดียวกันต้องไม่ขัดกับผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเองให้ได้มากที่สุด


แต่ในสภาวการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบัน จากข้อมูลที่ปรากฏตามสื่อสารมวลชนต่าง ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมที่สองพรรคการเมืองใหญ่นั้นไม่เป็นไปตามหลักวิชาการที่ยกมาข้างต้น
แต่อย่างใด ปรากฏแต่การนำข้อมูลมาแฉและโจมตีกันเหมือนตกอยู่ในสภาวะสงครามที่ต่างฝ่าย
ต่างพยายามห้ำหั่นเอาเป็นเอาตายถึงขนาดวางเดิมพันด้วยการยุบพรรคเลยทีเดียว


ข้อหาที่ทั้งสองพรรคยกมาโจมตีกันก็คือพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กลงสมัครและ
พรรคเก่าแก่จ้างพรรคเล็กล้มพรรคใหญ่นั้น ทำให้ผมนึกถึงสภาพการณ์เจ้าพ่อหรือมาเฟียครองเมืองที่มีการเล่นกลอุบายเชือดเฉือน เชือดคม ชิงไหวชิงพริบกันทุกชั่วโมงอย่างห้ามกระพริบตา  ซึ่งหากปรากฏว่าเป็นความจริงตามข้อกล่าวหาแล้ว พรรคการเมืองเหล่านี้ก็ไม่ผิดอะไรกับการเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจรที่สมควรถูกขจัดออกไปจากระบบการเมืองไทยเสียให้สิ้น


จริงอยู่การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์พรรคการเมืองเป็นตัวแทนของความต้องการของประชาชน จำเป็นที่จะต้องชิงไหวชิงพริบ ชิงความได้เปรียบในการเข้าสู่อำนาจเพื่อที่จะสามารถนำนโยบายที่รับปากไว้กับประชาชนที่เลือกตนเข้ามาไปปฏิบัติ แต่ไม่ได้หมายความว่าพรรคการเมืองจะได้รับอภิสิทธิ์หรือข้อยกเว้นให้อยู่เหนือกฎหมายหรือจริยธรรมศีลธรรมอันดีงามโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์หรือล้มล้างการปกครองในระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


ผมดูข่าวการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของตัวแทนของทั้งพรรคใหญ่และพรรคเล็กในการกล่าวหากันนี้ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียน และคลื่นไส้จนแทบอยากอาเจียนออกมา หากไม่นึกถึงความรู้และจิตสำนึกของตนเองที่คอยกระตุ้นเตือนตลอดเวลาว่า "อยากได้ประชาธิปไตย ต้องอดทน" หรือ "บ้านเมืองดีไม่มีขาย อยากได้ต้องสร้างเอง" แล้วไซร้ คงได้มีการคายของเก่าทิ้งออกมาบ้างไม่มากก็น้อย


ผมไม่เสียดายวิวัฒนาการของสองพรรคการเมืองใหญ่ที่สั่งสมมาเลย หากทั้งสองพรรค
ที่กำลังรบกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่ในบ้านเมืองนั้น มีหลักฐานว่าผิดจริงถึงขั้นยุบพรรคกันแล้ว ก็สมควร
ที่จะยุบทิ้งทั้งสองพรรคนั้นแหล่ะ  แล้วเรามาเริ่มกันใหม่โดยถือเสียว่าเริ่มจากศูนย์ดีกว่าเริ่มจากติดลบจนแทบล้มละลายในปัจจุบัน


จึงอยากจะกระตุ้นให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเร่งที่จะทำความจริงให้ปรากฏด้วยความกล้าหาญ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของประธาน  กกต. (ไม่ว่าจะเป็นชุดใดก็ตาม) ตาม มาตรา 66 และ 67แห่ง พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองที่มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองในฐานกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


หรือกรณีที่กำลังเป็นข่าวฮิตก็คือบทบาทของอัยการสูงสุด ตาม มาตรา 63 แห่งรัฐธรรมนูญฯ ที่บัญญัติให้ผู้รู้เห็นการกระทำที่เป็นการจ้างพรรคเล็กลงสมัครหรือการจ้างพรรคเล็กล้มพรรคใหญ่ ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าจะเข้าข่ายการกระทำที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  โดยผู้รู้เห็นมีสิทธิเสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุดเพื่อเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการจนอาจถึงให้ยุบพรรคเลยก็ได้


ไหน ๆ ก็ล้มกระดานหรือล้างไพ่กันแล้วก็ควรที่จะทำให้เสร็จสิ้นเสียในคราวเดียวกันเสียจะได้เป็นคุณูปการต่อประเทศชาติบ้านเมือง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าใครจะมาเป็น กกต. จัดการเลือกตั้งอีกกี่ครั้งกี่หนก็ตาม ก็จะได้แต่พรรคการเมืองหน้าเก่า ๆ ที่มีข้อหาที่กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นชนักติดหลังอยู่เช่นนี้แล้ว บ้านเมืองเราอาจจะต้องถึงคราวอัปปางจนถึงกับจะต้องกู้ชาติกันจริง ๆ เสียแล้ว  เรามาช่วยกันกู้ชาติเสียก่อนที่ชาติจะล่มไปต่อหน้าต่อตาไม่ดีกว่าหรือ


ใครเห็นด้วยช่วยยกมือสูงๆด้วยครับ


 


 


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net