Skip to main content
sharethis

โดย ผู้จัดการรายวัน 1 พฤษภาคม 2549 14:18 น.


 


 


การเมืองขณะนี้ความคุกรุ่นทุเลาลงไปบ้าง แต่ยังไม่มีใครไว้วางใจเสียทีเดียว เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นไฟสุมขอนที่รอจังหวะปะเหมาะฮือโหมขึ้นมาอีกหรือไม่ คงต้องรอดูว่า 3 ศาลจะมีทีท่าออกมาอย่างไร?


      


เอาเป็นว่าช่วงนี้ระหว่างพักหายใจหายคอ ดื่มน้ำดื่มท่า และลดอัตราการเต้นของหัวใจ 'ผู้จัดการปริทรรศน์' ขอชวนคุณผู้อ่านทำใจร่มๆ มาจับเข่านั่งคุยสบายๆ ใต้ต้นไม้ครึ้มๆ กับผู้ชายผิวเข้มๆ วัย 30 ต้นๆ


      


สุริยะใส กตะศิลา กับมุมที่ไม่ต้องเคร่งครัดจริงจังมากมาย มีกลิ่นรสน้ำผึ้งปนมะนาว กับเรื่องราวหลายแง่ที่มากกว่าเรื่องการเมืองและการโค่นระบอบทักษิณ ก็อย่างเช่นเรื่องการพักผ่อน เรื่องแม่ยก (ที่ได้ข่าวว่ามีไม่น้อย) เรื่องกิ๊กๆ (นี่ก็ลือว่ามีไม่น้อย) และเรื่องเล่าลือกุ๊กกิ๊กของเขากับ เก๋-สุภิญญา กลางณรงค์


      


ก็มนุษย์นี่นะ ตึงเครียดอย่างเดียวไม่ได้หรอก ปวดหัวแย่....


      


เหนื่อยนะ


      


เป็นช่วงที่ได้นอนน้อยที่สุด ตั้งแต่เคลื่อนไหวต่อต้านระบอบทักษิณมา ช่วงเดินสายต่างจังหวัดเป็นช่วงที่ได้นอนน้อยที่สุด ใช้วิธีนอนบนรถแท็กซี่บ้าง บนเครื่องบินบ้าง บนรถโดยสารบ้าง เรียกว่าตั้งแต่ทำงานด้านนี้มาคราวนี้หนักที่สุด เพราะเดิมทีช่วงที่ม็อบตรึงอยู่ที่ท้องสนามหลวง แยกมิสกวัน หรือมัฆวานก็ไม่หนักมาก เพราะถึงจะนอนดึกแต่ว่าสามารถตื่นสายได้ แต่พอต้องเดินทางต่างจังหวัด ต้องขึ้นเครื่อง ขึ้นรถ มันจะสตริกเวลา ทำให้บางคืนแทบจะไม่ได้นอน ย้อนกลับไปถึงการทำงานในอดีต ผมคิดว่าครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่ออกแรงเยอะ ทั้งแรงกาย แรงใจ


      


เรื่องความรู้สึกเบื่อๆ ก็มีแว้บๆ เข้ามานะ ถามตัวเองว่าเมื่อไหร่มันจะจบวะ เป็นคำถามที่มวลชนถามเราว่าเมื่อไหร่จะจบ เมื่อไหร่จะชนะ แต่บางทีเราก็เจอคำถามนี้กับตัวเราเอง หนักแล้ว รู้สึกว่ามันออกแรงไปเยอะ แต่ว่าอาการท้อไม่มีนะ จะมีก็อาการมึนๆ ตึงๆ เบลอๆ อยู่เหมือนกัน


      


บางจังหวะก็ไม่อยากเจอนักข่าวเลย ปิดมือถือ บางช่วงเปิดโทรศัพท์ไว้แต่ไม่รับโทรศัพท์มีมิสคอลเข้ามาตั้ง 50-60 มิสคอล เพราะนักข่าวจะชอบสัมภาษณ์ช่วงเช้าซึ่งเป็นช่วงที่ผมนอน ก็จัดระเบียบชีวิตยากเหมือนกัน เพราะบางทีในฐานะผู้ประสานงานต้องสื่อสารกับนักข่าวบ้าง กับมวลชนบ้าง เรียกว่าวิถีชีวิตเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ตอนนี้ก็เข้าที่เข้าทางแล้วนะ


      


แต่ก็คุ้ม


      


ชีวิตเปลี่ยนไปมากมายมหาศาล มีทั้งคนทัก มีทั้งคนมองหน้าแบบเอาเรื่อง แต่ยังไม่มีคนตะโกนด่านะ จุดที่เปลี่ยนก็เช่นเราต้องระมัดระวังตัวเองสูงมากขึ้น อย่างเรื่องโทรศัพท์ขู่นี่มีทุกวัน อย่างเมื่อวานตี 4 ก็มีโทรศัพท์มาขู่แบบว่าเตรียมโลงศพไว้ หรืออย่างสถานที่ที่จะไปก็ต้องเลือกมากขึ้น เช่น ถ้าเป็นเมื่อก่อนอยากไปไหนก็ไป มีใครเชิญไปที่ไหนก็ไป หลังๆ ก็ต้องเลือกมากขึ้น แล้วเวลาอยู่ในที่สาธารณะพอมีคนมาทัก บางทีเราต้องวางตัวให้เป็น คือคนที่เดินรี่เข้ามาทักเรา เราไม่รู้ว่าเขามาดีหรือมาร้าย เราต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา สมมติถ้าเจอฝ่ายตรงกันข้ามเราจะพูดอะไรกับเขา ซึ่งถึงตอนนี้ยังไม่เกิดการปะทะอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิด ถ้าเจอฝ่ายที่อยู่ข้างเรามันก็ง่าย ตรงนี้มันเหมือนเป็นจุดที่เราสูญเสียอะไรบางอย่างในชีวิตไป


      


เคยนั่งคิดเหมือนกัน เพิ่งคิดเมื่อคืนด้วยว่ามันคุ้มหรือเปล่า เอ๊ะ! ทำไมชีวิตดูมันยากอย่างนี้วะ เป็นไปได้อยากกลับไปอยู่แบบเดิม เราไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ก็จัดการชีวิตลำบากเหมือนกัน แต่ผมก็คิดว่าเมื่อมันมาถึงขั้นนี้เราทำงาน ถ้าวันนี้เราจัดการเรื่องแบบนี้ไม่ได้ก็เกรงว่างานจะเสีย


      


มันตอบยากอยู่เหมือนกันว่าคุ้มหรือเปล่า เพราะผมคิดว่าเราทำงาน มันมีปัจจัยแวดล้อม มีตัวชี้วัดหลายจุด แต่ถ้าเราเอางานเป็นตัวตั้ง ถ้าประเมินปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ผมว่าคุ้ม เราทำงานมวลชน ก็ต้องพร้อมที่จะรับมือกับมวลชนร้อยพ่อพันแม่ วันนี้ก็เป็นบททดสอบว่าเราจะฝ่าข้ามไปได้อย่างไร โดยไม่เสียทิศทางและเป้าหมาย ซึ่งถ้าฝ่าข้ามไปได้เราก็จะเพิ่มความแข็งแกร่ง มีศักยภาพ มีประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ มันท้าทายผมด้วย ตรงนี้มันจะไม่มีอะไรที่คุ้มหรือไม่คุ้มในชีวิตหรอก แต่เมื่อคุณเลือก คุณสู้แล้ว คุณก็ไม่อยากแพ้ คุณก็ต้องไปให้ถึง แค่นั้นเอง


      


ผู้หญิง ผู้หญิง


       


เรื่องแฟน...ก็มีดูๆ กันอยู่นะ ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่มีเวลาให้เขา แต่ผมจะระมัดระวังเรื่องผู้หญิงเพราะเคยมีบทเรียน มีความเจ็บปวดมาจากอดีต คบผู้หญิงคนหนึ่ง 2-3 ปี ตอนนั้นก็ถือว่าตัวเองโตแล้วนะเพราะเพิ่งหมดวาระเลขาธิการ สนนท. (สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย) คิดว่าน่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ แต่ยังจัดการชีวิตตัวเองลำบากเลย เป๋อยู่เกือบปีกว่าจะจัดชีวิตตัวเองให้เข้าที่ ตอนนั้นคิดหนีไปบวช เลิกทำงาน ขนาดคนที่เรารักที่สุด ให้เขาที่สุด เขายังไม่อยู่กับเราเลย แล้วเราจะไปให้ใครอีก ครั้งนั้นถือเป็นบทเรียนที่เจ็บปวด แล้วมันก็กลายเป็นเกราะกำบังโดยที่เราไม่รู้ตัว


      


วันนี้ถ้าถามว่ามีแฟนมั้ย ผมก็ไม่กล้าตอบว่าเป็น ก็มีดูๆ ใจกัน ใช้คำนี้ดีกว่า ส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์คุยกัน นานๆ เจอกันที เขาไม่บ่นนะ เขาเข้าใจและเห็นใจผมมากกว่า คือหลังจากอกหักก็มีผู้หญิงเข้ามาในชีวิตบ้าง ลองคบกันอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็ไป เพราะมันไม่ใช่ เป็นเพื่อนกันดีกว่า


      


ส่วนตัวผมจะไม่ชอบอยู่อย่างคือไปเดินกับแฟน 2 คน พาเขาไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่เหมือนคู่อื่นๆ ถ้ามาเขาก็มานั่งฟังผมพูดเรื่องการเมือง ซึ่งผมก็ไม่ชอบให้แฟนผมมานั่งแบบนั้นอีกนั่นแหละ ก็เลยคิดว่าเรามีปัญหากับเรื่องความรักอยู่ การนิยามความรักของตัวเอง รักแล้วจะทำยังไง มันไม่ลงตัวในทัศนะผม


      


ความคิดทางการเมืองผมอาจจะก้าวหน้า เป็นเสรีได้ แต่ว่าเรื่องชีวิต เรื่องครอบครัวผมยอมรับว่าผมอนุรักษนิยม ถ้าจะให้เลือกผู้หญิง ผมก็จะไม่อยากให้แฟนผมต้องมานั่งฟังผมพูดเรื่องเครียดๆ หรือเรื่องการบ้านการเมืองกับผมหรอก ผมอยากให้เขาดูแลครอบครัวอยู่ข้างหลังผม เวลาผมเจ็บกลับไปที่บ้านแล้วเขาปลอบผมได้ ทำให้ผมหยุดร้องไห้ ผมว่าแฟนผมน่าจะทำหน้าที่ตรงนี้มากกว่ามายืนอยู่แถวหน้ากับผม ฉะนั้น ผมจึงอยากไปไหนมาไหนคนเดียว


      


ผมสอบตกเรื่องโรแมนติก


      


ถ้าในนิยามทั่วๆ ไปของอารมณ์โรแมนติก ผมสอบตกนะ มีพรรคพวกบ่นเยอะ ผมว่ามันเป็นสูตรในการบริหารจัดการชีวิตของแต่ละคนที่อาจจะไม่เหมือนกัน โรแมนติกของผมอาจจะเป็นการคุยเรื่องการเมืองให้เป็นเรื่องสนุก ผมกลับรู้สึกว่ามันสนุกกว่า


      


แต่ที่ไปนั่งฟังเพลง กินเบียร์เย็นๆ อยู่ดาดฟ้าโรงแรมสูงๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา หรือขึ้นไปบนดอยที่หนาวที่สุดในฤดูหนาวกับผู้หญิงสักคน ผมไม่เคยคิดในหัวเลย คือมุมที่โรแมนติกสำหรับผมมันเป็นอีกสูตรหนึ่งที่ไม่เหมือนใคร


      


ที่เคยโรแมนติกที่สุดก็ให้ดอกกุหลาบแฟนคนนั้น คนที่เขาทิ้งผมไป ครั้งแรก ครั้งเดียวที่ผมบอกรักและให้ดอกไม้เขา คือมีความพยายามให้ดอกไม้ผู้หญิงคนที่เรารักครั้งหนึ่งเหมือนกัน ตอนเรียนเกษตร จีบสาวสัตวแพทย์ ผมไปดักรออยู่สี่แยก เผอิญเจ้าตัวดันมากับเพื่อน 3 คน ผมก็ไปกับเพื่อน 3 คนเหมือนกัน เจออย่างนั้นผมทิ้งดอกไม้ เลิกเลย ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่จีบผู้หญิงคนนั้นอีก เราไม่กล้าแล้ว ยังจำได้เลย เขาชื่อแอ อยู่สัตวแพทย์ เพราะเป็นผู้หญิงคนแรกที่จีบตอนเรียนปริญญาตรี


      


เรื่องแบบนี้ผมจะขี้อาย อย่างแฟนคนที่ผมเล่าไป เขาก็เป็นน้องสาวของแฟนเพื่อน ทั้งเพื่อน ทั้งแฟนเพื่อนก็จัดการให้หมด เป็นคนออกแบบนัดให้


      


แม่ยกกับเรื่องกิ๊กๆ


      


ยังบ่นกับพวกพี่ๆ เขาว่าไม่เห็นมีสาวๆ เข้ามาเลย มีแต่แม่ยก เยอะมาก ผมเข้าใจว่าคนเหล่านี้เอ็นดูผมเหมือนลูกเหมือนหลาน ในแกนนำพันธมิตรเขาก็เป็นผู้อาวุโสกันหมด เข้าถึงได้ยากด้วยมั้ง แต่ผมเป็นเด็ก บางทีไม่รู้ได้เบอร์โทรศัพท์ผมไปได้ยังไงก็โทร.มาให้กำลังใจบ้าง ได้ต่อว่า ได้ตำหนิ ได้ปลอบ มีหลายอารมณ์ เลยเหมือนเราเป็นคนที่ลดช่องว่างระหว่างแกนนำทั้ง 5 กับมวลชนด้วย


      


มีนะครับ ที่ถ่ายรูปแบบกอดไม่ปล่อยเลย (หัวเราะ) กำลังจะบอกว่าถ้ามีลูกสาวน่าจะยกลูกสาวให้ เราเองก็ตกใจกับปรากฏการณ์แบบนี้เหมือนกัน ซึ่งเราก็ต้องคิดต่อว่าแม่ยกเขามา เขาชอบ เขาเอ็นดูเราเพราะอะไร หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ และที่ผมสนใจคือความคิดทางการเมืองของคนเหล่านี้คืออะไร ผมคิดถึงขั้นว่าอุดมคติของแม่ยกผมเขาเป็นกันยังไง ไม่รู้ผมคิดมากไปหรือเปล่า ผมกำลังหาโอกาสคุยกับหลายคน


      


ส่วนเรื่องกิ๊ก ถ้ากิ๊กในความหมายแบบที่เขานิยามกัน ไม่ใช่ ....ผมว่าผมไม่มี หมายความว่าก็มีคนที่เราอยากสื่อสารและเขาก็อยากสื่อสารกับเราด้วย มีอยู่ แต่ไม่ได้เยอะอะไร แต่ว่าถึงจุดหนึ่งก็จะหลุดไปเอง มันเหมือนกับเรียนรู้ที่จะเข้าหากัน แต่พอถึงจุดหนึ่งถ้าไม่ใช่ก็หายไป


      


ผมเจอแบบนี้บ่อย เหมือนคนที่จะค้นหา จะเรียนรู้ จะทำความรู้จักกัน ไม่ใช่กิ๊กในความหมายทั่วไป ไอ้คำว่ากิ๊กเยอะ รุ่นพี่เขาแซวผม เป็นคำล้อกันสนุกๆ ทำให้ผมยิ้มหน่อย เขาคงอยากให้ผมหายเครียด เพราะเวลาเขาล้อผมเรื่องนี้ทีไรผมจะยิ้มปากกว้าง ดูไม่เครียด จริงๆ แล้วกิ๊กในความหมายทั่วไป ไม่มีหรอก คนเดียวก็ไม่มีสาบานได้


      


แต่ถ้าถามว่าผู้หญิงที่เรากำลังศึกษา สื่อสารพูดคุย เพื่อที่จะพัฒนาไต่เต้าเป็นแฟนน่ะ มี ตอนนี้มีคนเดียว


       


เรื่องเก๋ๆ


      


เป็นคำถามอมตะอีกแล้ว (หัวเราะ) เก๋กับผมมันเป็นคนวัยเดียวกัน ทำกิจกรรมไล่ๆ กันมา เมื่อก่อนออฟฟิศอยู่ตึกเดียวกัน เนื้องานของเก๋กับเนื้องานที่ผมทำแต่ก่อนมันมีมิติทางการเมือง เป็นมุมที่ต้องต่อสู้ในเชิงการเมืองด้วย


      


เดิมทีเก๋เขาเป็นเอ็นจีโอในเชิงอุดมคติ ทำงานกับชาวบ้านในชนบท เมื่อต้องเปลี่ยนบทบาทมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเก๋เขาก็อาจจะไม่คล่องตัวหรือไม่ถนัดนัก ในขณะที่ผมผ่านประสบการณ์จากการเคลื่อนไหวสนนท.มาก่อน ผมก็กลายเป็นพี่เลี้ยงของเก๋โดยอัตโนมัติ มันก็มีความผูกพันในมุมแบบนี้ ผมเห็นเก๋เขาร้องไห้ หัวเราะร่า ทุกอารมณ์ เรา 2 คนต้องถือเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดกัน ถ้าจะเอามุมแบบนี้ไปนิยามว่ากุ๊กกิ๊กๆ กันก็คงนิยามได้ แต่ถามว่ามากกว่านั้นมั้ย เป็นแฟน จับคู่กันไปแล้ว อะไรขนาดนั้นมั้ย ผมคิดว่าไม่ใช่ แต่ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่.... ผมคิดว่าผมเข้าใจเก๋มาก เก๋ก็เข้าใจผมมาก คือมันอธิบายยากจริงๆ แต่ก็ยอมรับว่า...เอ่อ...(คิดคำตอบสักพัก) มันมี...อะไร ยอมรับว่ามันมีมุมที่แบบอาทรซึ่งกันและกันอยู่ คือเป็นห่วงเป็นใยกันอยู่ ก็พยายามให้กำลังใจกัน เก๋ก็ยังไม่มีแฟน ผมก็ยังไม่มีแฟน ก็อาจจะมีคนจับคู่ให้


      


แต่วันนี้ผมกล้าพูดได้นะว่าเก๋เป็นเพื่อนผู้หญิงที่ใกล้ชิดและเข้าใจผมมากที่สุดคนหนึ่ง


      


 (เราถามเขาว่า สาวที่ว่าดูๆ ใจกันอยู่กับสุภิญญา ใช่คนคนเดียวกันหรือเปล่า? เขาตอบว่า...)


      


ไม่ตอบได้มั้ย (หัวเราะ) ไม่ตอบจริงๆ นะ ให้ค้นคว้าดีกว่า


      


อนาคตอันใกล้


      


ตอนนี้ยังไม่คิดจะเล่นการเมือง ถ้าจะเล่นต้องอยู่ในเงื่อนไขที่เข้าไปแล้วทำงานได้ดีกว่านี้ เช่น มีพรรคการเมืองทางเลือกจริงๆ มีช่องทางที่เป็นประโยชน์กับการหนุนเสริมการเมืองภาคประชาชน แต่ตอนนี้ยังไม่มี


      


คิดว่าถ้าเสร็จงานนี้อาจจะหายไป 3-5 ปี ไม่ที่อเมริกาก็ที่อังกฤษ ภายในปีหน้าคงตัดสินใจไม่ทางใดก็ทางหนึ่งระหว่างเรียนต่อกับก่อตั้งพรรคการเมืองทางเลือก


      


เพราะผมอยากมีหน่วยองค์กรทางการเมืองของประชาชน จะเรียกว่าพรรคหรือสถาบันอะไรก็แล้วแต่ แต่มันต้องเป็นหน่วยทางการเมืองที่เป็นที่ปรึกษา เป็นพี่เลี้ยง เป็นกำลังของภาคประชาชนได้อย่างเข้มแข็ง ต่อเนื่อง ผมก็พยายามทำให้ ครป. (คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย) เป็นสถาบันทางการเมืองอยู่


      


 


 


****************************


เรื่อง - กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net