คอลัมน์ "หอกข้างแคร่" : สุริยะใสไม่ใช่บีบี๋

โดย "นายหอกหัก"

 

 

การให้สัมภาษณ์ของบรรดากลุ่มคนที่จัดตัวเองว่าเป็นเอ็นจีโอ หรือนักพัฒนาองค์กรเอกชนคงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันบนพื้นที่สาธารณะของสังคมไทย ในฐานะของการเป็นตัวแทนความเห็นของอีกกลุ่มหนึ่ง อันนี้คงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายตระหนักและยอมรับกันอยู่

 

สิ่งที่คุ้นเคยกันอยู่ก็คือทรรศนะที่มักตรงกันข้ามหรือต่างไปจากผู้มีอำนาจรัฐ โดยเฉพาะมักเป็นความเห็นจากมุมที่ว่ากันว่าเป็นของประชาชน "รากหญ้า", "คนอื่น", "ผู้ไร้สิทธิไร้เสียง" หรืออะไรที่ดูก้าวหน้า เห็นใจ มีมนุษยธรรม และ "รักเด็ก" ทำนองนี้ การให้ความคิดเห็นในลักษณะนี้เป็นประโยชน์อย่างแน่นอนในการสะท้อนมุมมองจากด้านอื่นๆ ที่มักถูกละเลย

 

แต่วันนี้ดูเหมือนว่า นอกจากทำหน้าที่ตัวแทนของประชาชนแล้ว เริ่มมีบางคนในองค์กรพัฒนาเอกชนหันมาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่เป็น "ส่วนตัว" จริงๆ โดยไม่ได้สัมพันธ์กับอะไรที่ว่ามาข้างต้นเลย และดูจะมีความถี่มากขึ้น จนควรที่ต้องหยิบมาพูดกันก่อนจะปล่อยให้เป็นวัฒนธรรมที่แพร่ระบาดในหมู่ เอ็นจีโอไปกว้างขวางกว่านี้

 

ยกตัวอย่างให้เห็นเลยก็ได้ "โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อนายกฯ พระราชทาน" หรือ สุริยะใส กตะศิลา นั่นแหละ ในช่วงระยะหลังได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับชีวิตของตัวเองบ่อยมากขึ้น ล่าสุดก็บทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ว่าด้วยเรื่องชิลๆ กับเอ็นจีโอหญิงบางคนที่มักมีข่าวคราวว่าเป็นแฟนกัน ด้วยการพยายามทำให้รู้สึกว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่เท่ห์อย่างมาก (สุริยะใส สไตล์ชิล ชิล ผู้จัดการรายวัน 1 พฤษภาคม 2549)

 

มีสามคำถามสำคัญดังนี้

หนึ่ง ทุกวันนี้ สำหรับองค์กรพัฒนาเอกชน หรือองค์กรชาวบ้าน มีพื้นที่สำหรับสื่อสารเรื่องราวของตนเองมากเพียงพอแล้วใช่หรือไม่ ถ้าสุริยะใสคิดว่า ยังไม่เพียงพอ ก็ควรต้องหยุดเรื่องให้สัมภาษณ์ที่ไม่มีสาระใดๆ เช่นนี้ลงเสียเถอะ

 

สอง คำให้สัมภาษณ์นี้เกี่ยวพันกับการเคลื่อนไหวหรือการทำงานขององค์กรประชาชนอย่างไร

 

สาม มีประโยชน์หรือสาระอันใดแก่ผู้ที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของสุริยะใส หรือเป็นกระดาษเปื้อนหมึกอีกแผ่นหนึ่งเท่านั้น

 

อย่าลืมว่าโอกาสในพื้นที่สื่อของภาคประชาชนไม่ได้อยู่ในสถานะขาขึ้นแบบนี้ตลอดไป ยังจำวันที่ต้องแถลงข่าวกันทุกวันอาทิตย์ได้หรือไม่ พอแถลงไปแล้วบังเอิญมีข่าวนายกฯ ตีกอล์ฟ มาเบียดข่าวที่แถลง ก็พากันตีอกชกหัวว่า นักข่าวไม่รู้จักการให้ความสำคัญกับข่าวที่เป็นประโยชน์ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ในวันที่กระแสการเมืองขาลงจะได้ไม่มานั่งเสียดายกัน

 

แน่นอนว่าในปัจจุบัน มีการสัมภาษณ์ผู้คนที่อาจเป็นเอ็นจีโอหลายคน แต่บทให้สัมภาษณ์เหล่านั้นส่วนใหญ่จะสะท้อนให้เห็นการก่อตัวทางความคิด หรือคำอธิบายที่มีต่อสังคมของปัจเจกบุคคลคนหนึ่งที่เลือกเส้นทางที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไปว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมถึงไม่ไปทำงานเป็นนักธุรกิจ ทำไมถึงไม่เป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน แต่กลับมาทำงานในด้านที่คนในสังคมจำนวนไม่น้อยมีทัศนคติในเชิงลบ หรือไม่ได้สร้างความมั่งคั่งอะไรให้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง

 

คำให้สัมภาษณ์ทำนองนี้ทำให้ผู้อ่าน ไม่เพียงได้เข้าถึงแง่มุมที่แตกต่าง แต่ยังได้อ่านประสบการณ์ของคนอีกคนหนึ่ง และเป็นการสื่อสารความเข้าใจกับสังคมในวงกว้างกับองค์กรหรือคนทำงานภาคประชาชน

 

สำหรับการให้สัมภาษณ์ของสุริยะใส ไม่ต่างอะไรไปจากการให้สัมภาษณ์ของดาราหนังที่เป็นกันอยู่เลยครับ คือพอฟังแล้วก็จะรู้ว่า ดาราคนไหนจีบใครอยู่ ดาราคนไหนฟันใครมาบ้าง คนไหนถูกฟันแล้วท้อง คนไหนฟันแล้วไม่ท้อง พูดง่ายๆ คือ รู้แล้วเก็บไว้เมาท์เอามันกันอย่างเดียว ยิ่งในวงเหล้ายิ่งมันเข้าไปใหญ่

 

อาจโยนบาปให้กับนักข่าวก็ได้ครับ ว่าเป็นต้นเหตุของคำถามที่ไม่ควรถาม แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าทั้งหมดเกิดขึ้นโดยไม่ได้มีมีดมาจ่อคอคุณสุริยะใสแต่อย่างใด

 

ดังนั้น แทนที่จะกระหยิ่มยิ้มย่องก็ควรให้การเรียนรู้กับสื่อด้วยว่า คนทำงานทางสังคมให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆ ไม่เหมือนกับดารา ไม่ใช่ว่าพร้อมจะพูดทุกเรื่องที่ถูกถาม ถ้าอย่างนั้นคนที่ทำงานด้านการปฏิรูปสื่อก็ควรต้องหันมาให้การเรียนรู้กับผู้คนในแวดวงเดียวกันบ้าง สำหรับแนวทางในการให้ข้อมูลข่าวสารที่จะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะมากกว่าพยายามขายความเป็นดาราของบางคน

 

แน่นอนว่าในฐานะของการเป็น "โฆษกพันธมิตรฯ" ได้ทำให้สุริยะใสเป็นที่รู้จักกว้างขวางมากขึ้น ได้ออกโทรทัศน์บ่อยขึ้น ให้สัมภาษณ์ถี่ขึ้น และดังขึ้น แต่อย่าลืมว่าระหว่างการเป็นดารากับเอ็นจีโอ มีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

 

(ต้องหมายเหตุไว้ว่าไม่ได้หมายความว่าการเป็นดาราคือสิ่งที่น่ารังเกียจนะครับ แต่การจัดวางสถานะในสังคมของคนสองกลุ่มนี้อยู่กันคนละบทบาท)

 

บางทีอาจเป็นความตื่นตาตื่นใจกับกล้องทีวี ไมโครโฟนของสื่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นดารามากกว่าคนทำงานทางสังคม รวมถึงเลยเถิดคิดว่า ทุกย่างก้าวของตนเองเป็นที่จับตามองของสังคมอยู่ตลอดเวลา จะไปทานข้าวกับใคร จะเดทกับใคร

 

อันที่จริง ถ้าจะว่าไป การให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ถึงกับมีอะไรเลวร้ายมากนัก แต่ถ้าหากพอมีสติอยู่บ้างก็ควรหันกลับมาสื่อสารในประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าการทำตัวเป็นดาราเอ็นจีโอ ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดความงอกงามอันใดขึ้นกับสังคมไทยเลย

 

(คำเตือน : เนื่องจาก ขณะนี้มีสถานการณ์ที่มีการโจมตีพันธมิตรฯ เกิดขึ้นมากพอสมควร บทความชิ้นนี้จึงลดความดุดันลง เพื่อมิให้กลายเป็นแนวร่วมมุมกลับของฝ่ายตรงกันข้าม พึงระลึกว่า นี่มิใช่ทัศนะจากฝ่ายตรงกันข้าม แต่เห็นว่าการแสดงตัวบางอย่างของบรรดาเอ็นจีโอ กำลังเตลิดเปิดเปิงไป จึงต้องมีการวิพากษ์ให้เกิดสำนึกถึงจุดยืนและตัวตนของตนเองขึ้นมา เพื่อให้สุริยะใส (และรวมถึงคนอื่นที่อยู่ในแนวทางเดียวกัน) นั้นไซร้ได้ตระหนักว่า ตนเองไม่ใช่ดารา แต่ว่าเป็นนักพัฒนาภาคประชาชน)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท