Skip to main content
sharethis

นักเขียนคนโปรดของบิน ลาเดน, อเมริกันเอ็มไพร์ และสิ่งที่มีความหมายกว่า "ชื่อเสียง 15 นาที"


(ตอน 2)


 


โดย  อุทัยวรรณ เจริญวัย


 


        


 


อาชญากรรม อาชญากร และโครงการ WMD เอื้ออาทร


หลังสหภาพโซเวียตล่มสลายไปในปี 1991 อเมริกาขึ้นแท่น "มหาอำนาจเดี่ยว" อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางซาวน์แทร็คประกอบ - เพลง "Wind of Change" ของ Scorpions  ที่ดังกระหึ่มไปทั่วโลก


           


ก่อนหน้านั้น กำแพงเบอร์ลินเริ่มตกสะเก็ดกลายเป็นเศษคอนกรีต (ที่ระลึก) มาตั้งแต่ปลายปี 1989 หนุ่มสาวที่เคยอยู่คนละข้างของกำแพง...ต่างก็สูดหายใจเอาคำว่าเสรีภาพเข้าไปจนแทบจะสำลัก วินาทีแรก ของยุค 90 ยุโรปตะวันออกเริ่มฉีกปฏิทินเก่าๆ ทิ้งและนับหนึ่งใหม่ เนลซัน แมนเดลาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสรภาพ เฮติผ่านการเลือกตั้งครั้งแรกไปอย่างสวยสดงดงาม 


 


ในชั่ววินาทีที่อากาศกำลังเปลี่ยนนี่เอง ชาวโลกจำนวนไม่น้อยเริ่มนอนหลับฝันดี เพราะถูกไวรัส "มองโลกในแง่ดี" เล่นงานเข้าให้


 


แต่มหาอำนาจคับซอยอย่างอเมริกา ก็ไม่ปล่อยให้เชื้อไวรัสดังกล่าวแพร่ระบาดอยู่นานเกินไป


           


ไม่กี่สัปดาห์หลังกำแพงเบอร์ลินเลิกกิจการ จะมีคอมมิวนิสต์หรือไม่...ไม่สำคัญ อเมริกาตัดสินใจเดินหน้าโครงการ American Holocaust (Post-Berlin Wall) ต่อไปอย่างเร้าใจยิ่ง เริ่มต้นด้วยการบุกถล่มและทิ้งระเบิดใส่ปานามา  แทรกแซงการเลือกตั้งในนิการากัว ล้มรัฐบาลใหม่เอี่ยมของอัลเบเนียและบัลแกเรีย (อดีตชาติคอมมิวนิสต์ซึ่งเพิ่งจะเปลี่ยนระบอบมาเลือกตั้ง แต่ดันได้รัฐบาลไม่ถูกใจวอชิงตัน) บอมบ์อิรักแบบสยองขวัญอีก 40 วัน (บอมบ์แม้กระทั่งเตาปฏิกรณ์ปรมาณูที่กำลังทำงานอยู่) บอมบ์โซมาเลีย บอมบ์ซูดาน ขณะเดียวกัน ก็ยังคงบอมบ์อิรักเป็นระยะๆ ต่อเนื่องมาอีกหลายปี


 


ข้ามไปอีกมุมหนึ่งของแผนที่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า อเมริกายังคงแทรกแซงการเมืองในละตินอเมริกาเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในยุค 60, 70, 80 การเคลื่อนไหวของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในเปรู เม็กซิโก เอกวาดอร์ และโคลัมเบีย จึงถูกปราบหนักไปตามระเบียบ


 


ยังไม่นับคิวบา...ที่ต้องเจอเข้ากับมาตรการปิดล้อมทางเศรษฐกิจทุกชนิด


 


อเมริกาปิดท้ายศตวรรษที่ 20 อย่างอึกทึกครึกโครม ด้วยมหกรรมกระหน่ำบอมบ์ยูโกสลาเวียกว่า 2 เดือนติดต่อกัน และรับขวัญศตวรรษใหม่ด้วย "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" ที่เริ่มต้นเฟสแรกในอัฟกานิสถาน


ปี 2002 ในการบรรยายที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด บลัมได้สรุปเหตุการณ์กว่าทศวรรษที่ผ่านมา...ไว้อย่างสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า


           


"แล้วไงน่ะเหรอ? โซเวียตก็สลายไปแล้ว วอร์ซอว์ แพค (Warsaw Pact - องค์กรความร่วมมือทางทหารของชาติคอมมิวนิสต์ยุโรปที่ตั้งขึ้นมาเพื่อถ่วงดุลเนโต) ก็ยุบเลิกไปแล้ว เมืองบริวารในยุโรปตะวันออกต่างก็เป็นอิสระ อดีตคอมมิวนิสต์ก็กลายมาเป็นแคปปิตัลลิสต์ไปตามๆ กัน...แล้วไง? นโยบายต่างประเทศของอเมริกาก็ยังไม่เปลี่ยนอยู่ดี แม้แต่ เนโต ก็ยังอยู่ - เนโตที่อ้างว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องยุโรปตะวันตกจากภัยโซเวียตเนี่ยนะครับ - แม้แต่เนโตก็ยังอยู่ แถมขยายใหญ่ขึ้น มีอำนาจมากขึ้นตลอดเวลา กลายเป็นเนโตที่มีภารกิจครอบคลุมไปทั่วโลก ในกฎบัตรปัจจุบันของเนโต ชาติสมาชิกยังอุตส่าห์หาข้ออ้างเข้าร่วมสงครามได้...แม้แต่ในประเทศอัฟกานิสถาน


 


และทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่เล่ห์กลตบตาชาวบ้านไปวันๆ สหภาพโซเวียต รวมทั้งลัทธิคอมมิวนิสต์แบบที่มันเป็นจริงๆ ไม่เคยใช่เป้าหมายในการโจมตีของอเมริกา ไม่เคยมีอะไรอย่างที่...ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์โลกว่าไว้ด้วยซ้ำ ศัตรูจริงๆ และศัตรูที่ยังคงเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็คือ  รัฐบาล ขบวนการภาคประชาชน หรือปัจเจกบุคคลที่ไหนก็ตาม...ที่กล้าดีมายืนขวางทางอเมริกันเอ็มไพร์ ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะถูกเรียกขานว่าอะไรก็แล้วแต่ : คอมมิวนิสต์, โรกสเตท (rogue state), นักค้ายา หรือว่า...ผู้ก่อการร้าย"


 


โรกสเตท เป็นคำที่อเมริกาเคยนิยมใช้เรียกศัตรูของตัวเองอยู่พักหนึ่ง หลังจากค้นพบว่าศัตรูหลายราย...ไม่สามารถยัดเยียดข้อหาคอมมิวนิสต์ให้ดูเป็นธรรมชาติได้ (ยัดยังไงก็ไม่ขึ้น แถมหมดยุคอีกต่างหาก) อเมริกาจึงต้องหันไปหมกมุ่นกับคำอื่นๆ แทน สำหรับข้อหา "โรกสเตท" นี้ ศัตรูที่เข้าข่ายจะมีลักษณะเด่นๆ ร่วมกันบางอย่างก็คือ เป็นระบอบปกครองแบบรวบอำนาจหรือเผด็จการที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนสูง ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย ตลอดจนมีความหื่นกระหายที่จะครอบครองนวัตกรรมโหดๆ อย่าง "อาวุธทำลายล้างสูง" (WMD - Weapon of Mass Destruction) เป็นพิเศษ


 


(อันที่จริง "โรกสเตท" ในภาคภาษาไทย พอจะมีคำที่ใช้แทนกันได้ก็คือ รัฐอันธพาล รัฐอันตราย รัฐตัวแสบ รัฐวายร้าย หรือ รัฐก่อการร้าย อะไรประมาณเนี้ยค่ะ แต่ศัพท์ที่ "โดน" จริงๆ ดิฉันยังคิดไม่ออก ขออภัยที่ต้องใช้คำต้นฉบับคำนี้ไปก่อน)


           


ปลายยุค 90 รัฐที่ถูกอเมริกาชี้นิ้วว่าเป็นโรกสเตทได้แก่ อิรัก อิหร่าน อัฟกานิสถาน ลิเบีย และเกาหลีเหนือ จนมาถึงยุคประธานาธิบดีบุช ได้มีการคิดคำใหม่ๆ เอาไว้เรียกศัตรูเพิ่มขึ้น (เพื่อเหตุผลทางการตลาดนิดนึง) อิรัก อิหร่าน และเกาหลีเหนือ จึงถูกยกระดับให้เป็น "อักษะแห่งความชั่วร้าย" (Axis of Evil) ในเวลาต่อมา


           


อย่างไรก็ตาม สำหรับบลัมแล้ว เมื่อพิจารณาคุณสมบัติทั้งหลายทั้งปวงของโรกสเตทอย่างมีสติ บลัมก็ตรัสรู้ได้ภายใน 1 วินาทีว่า ไม่มีรัฐไหนในโลกนี้...ที่จะคู่ควรกับตำแหน่งนี้มากไปกว่า "อเมริกา"


           


หลังยุคสงครามเย็น วิลเลียม บลัมจึงได้เขียนหนังสือเพื่อโป๊เปลือย "โรกสเตทตัวจริง" ตามมาอีก 2 เล่ม นั่นก็คือ Rogue State : A Guide to the World's Only Superpower  และ Freeing the World to Death : Essays on the American Empire


 


หนังสือ Rogue State ถูกเขียนขึ้นในช่วงส่งท้ายศตวรรษที่ 20 ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2000 หลังบิล คลินตันยึดห้องทำงานชื่อเซ็กซี่ (ห้องทำงานรูปไข่) มาได้เกือบครบ 8 ปี หนังสือเล่มนี้จึงมีแรงบันดาลใจมาจาก "ฝีมือบริหาร" ของบิล คลินตันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเทศกาลสังหารโหดในยูโกสลาเวียปี 1999 ที่คลินตันอ้างว่าเป็นการแทรกแซง "เพื่อเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม"


 


"การแทรกแซงเพื่อมนุษยธรรม" (Humanitarian Intervention) จัดเป็นภาษาดอกไม้เท่าที่ก้อน creativity ของนักพีอาร์ชั้นเซียนของโลกจะคิดขึ้นมาได้ ทั้งนี้ เพื่อ "ส่งเสริมภาพลักษณ์" ของการใช้  WMD (ในการระเบิดและย่างสดเด็กๆ แบบไม่รับผิดชอบ) ให้ดูดีขึ้น ให้ดูเหมือนมี "ความเอื้ออาทร" ที่แทรกตัวอยู่ในสะเก็ดระเบิดคลัสเตอร์บอมบ์...ขนาด 2 สนามฟุตบอลมากขึ้น


 


ให้ดูเหมือนมี "ความปรารถนาดี" แผ่อยู่ในกัมมันตภาพรังสี...จากจรวดและมิสไซล์ที่มีกากยูเรเนียม (depleted uranium) มากขึ้น


 


และให้ดูเหมือนมี "การเสียสละอันยิ่งใหญ่" ระอุอยู่ในเปลวเพลิงหลอมละลาย...จากนาปาล์ม (Mk-77) และ  WP (white phosphorous) มากขึ้น


 


โดยนิยาม การแทรกแซงเพื่อมนุษยธรรม อาจหมายถึง "ปฏิบัติการทางทหาร" จากต่างประเทศ เพื่อ "ยับยั้งหรือป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน" ในประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยที่รัฐบาลในประเทศเป้าหมายไม่ได้ยินยอมพร้อมใจแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ลึกลงไปภายใต้คำนิยามสวยหรู การยับยั้ง "อะไรสักอย่าง" ด้วยอาวุธและกองทัพของต่างชาติ จะนำมาซึ่งผลลัพธ์อันเลิศประเสริฐและส่งเสริมความเป็นมนุษย์จริงหรือไม่? เสมอไปหรือไม่?


 


เด็กๆ แขนขาด และเด็กๆ ไม่มีพ่อแม่เหลือ ในยูโกสลาเวีย อัฟกานิสถาน ตลอดจนอิรัก อาจจะพอให้คำตอบได้


 


ปี 1999 ภายใต้ข้ออ้างเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล สโลโบดาน มิโลเชวิจ (Slobodan Milosevic) เนโต-ภายใต้การนำของอเมริกา ได้ปฏิบัติการ "โปรยระเบิดเพื่อสันติภาพ" ในยูโกสลาเวียอย่างยืดเยื้อยาวนาน 78 วัน ผลลัพธ์ออกมาปรากฏว่า 60% ของเป้าหมายที่ถูกโจมตีเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆ ประกอบด้วย 33 โรงพยาบาล 344 โรงเรียน 144 โรงงานอุตสาหกรรมหลักๆ ตามด้วยอีก 1 โรงงานปิโตรเคมีที่ผลของระเบิดทำให้เกิดหายนะจากมลพิษขนาดใหญ่


 


นอกจากนี้ ส่วนของที่อยู่อาศัย โรงแรม ห้องสมุด โรงหนัง พิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน โบสถ์ พื้นที่การเกษตร และพืชผลในไร่นา ต่างก็ได้รับความพินาศเสียหายจากการถล่มของเนโตถ้วนหน้า


 


บ่อยครั้งที่อเมริกาคุยนักคุยหนาถึง "ความแม่นยำ" ในอาวุธไฮเทค (สมาร์ทบอมบ์ลูกละหลายล้าน) ของตัวเอง แต่ผลลัพธ์ของการบอมบ์ทางอากาศทุกสนามรบ...ดูจะออกมาตรงกันข้าม


 


รัฐบาลอเมริกาพยายามจะนิยามว่าอาวุธ WMD หมายถึง อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธเคมี และอาวุธชีวภาพ ที่มีลักษณะการทำลายล้างแบบครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง หรือ "ไม่แยกแยะเป้าหมาย" แต่วิลเลียม บลัมแย้งว่า ยังมีอาวุธอีกมากมายที่อเมริกาใช้ทุกวันนี้...แม้จะหลีกเลี่ยงคำว่า WMD แต่กลับมีผลทำลายล้างไม่แยกแยะเช่นเดียวกัน อาทิ คลัสเตอร์บอมบ์หรือระเบิดดาวกระจาย และอาวุธที่มีกากยูเรเนียมเป็นส่วนประกอบทั้งหลาย


           


นอกจากจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธ WMD ประเภท "ติ๊กผิด"  แล้ว ในหนังสือ Rogue State บลัมยังได้พูดถึง  WMD ประเภท "ติ๊กถูก-มั่นใจมาก" (อาวุธเคมีและชีวภาพ) ของอเมริกาไว้ด้วยเช่นกัน


           


และเพื่อให้ครบสูตรของความเป็นรัฐซูเปอร์วายร้ายตัวจริง บลัมจึงได้อุทิศพื้นที่ 1 ใน 3 ของเล่ม เปิดโปงความสัมพันธ์อันโรแมนติกระหว่าง "ซีไอเอกับผู้ก่อการร้าย" จำนวนหนึ่ง ก่อนที่อัล-ไกดา (ศิษย์เก่าอัฟกานิสถาน) จะประกาศทำจีฮัดกับอเมริกาอย่างทุกวันนี้ อเมริกานั่นเองที่เคยเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ให้พวกมูจาฮิดีนในอัฟกานิสถาน ยันพอลพตแห่งกัมพูชา


           


แต่โป๊เปลือยขนาดนี้...ก็อาจจะไม่ระทึกใจพอ บลัมจึงได้ลงทุนคิดบัญชี  "อาชญากร" รายใหญ่ๆ แถมพกมาด้วย


 


และก็ไม่ใช่อาชญากรพื้นๆ ในแฟ้มเอฟบีไอทั่วไป  แต่เป็น "อาชญากรสงคราม"  ที่กฎหมายระหว่างประเทศไม่เคยทำอะไรได้


 


หนึ่งในนั้นก็คือ เจ้าของแคมเปญคลัสเตอร์บอมบ์เอื้ออาทร ที่ประสบความสำเร็จในการพีอาร์ตัวเอง...จนกลายเป็น "พระเอก" ในใจของใครหลายคน (รวมทั้งโมนิกา ลูวินสกี - อดีตพนักงานฝึกหัดแถวห้องทำงานชื่อเซ็กซี่)


           


"วิลเลียม คลินตัน, ประธานาธิบดี, สำหรับอาชญากรรมสงครามเหล่านี้ : กรณีบอมบ์ยูโกสลาเวียอย่างไร้ความปราณี 78 วัน 78 คืน ปี 1999 ทำให้พลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก (ไม่ได้ระบุตัวเลข) และสร้างหายนะทางสิ่งแวดล้อมครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ; กรณีมาตรการแซงก์ชันทางเศรษฐกิจและการโจมตีทางอากาศในอิรักที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ; กรณีทิ้งบอมบ์อย่างผิดกฎหมายและสร้างความบาดเจ็บล้มตายในโซมาเลีย บอสเนีย ซูดาน และอัฟกานิสถาน"


 


8 ปีของรัฐบาลคลินตัน เฉพาะผลลัพธ์จากมาตรการแซงก์ชัน เด็กอิรักต้องเสียชีวิตทั้งๆ ที่ไม่เคยทำอะไรผิด-ไม่ต่ำกว่า 500,000 คน


   


หลังอ่านพาร์ตนี้จบลง ถ้าผู้อ่านของบลัมจะเริ่มมึนงงสับสน แยกไม่ออกว่า บิล คลินตัน (หรือบุชพ่อ บุชลูก) ต่างจากบิน ลาเดนตรงไหน...ผู้ก่อการร้ายต่างจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังไง?


 


บลัมมีคำตอบให้คุณคลิกได้ง่ายๆ


 


"ผู้ก่อการร้ายก็คือ ใครสักคนที่มีระเบิด...แต่ไม่มีกองทัพอากาศ"


           


        


 


ทำไมผู้ก่อการร้ายไม่นึกอยากบอมบ์ "สวีเดน" ?


กว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา นกแก้วนกขุนทองทั่วโลกต่างท่องจำต่อๆ กันมาว่า อเมริกาเป็น "ผู้นำแห่งโลกเสรี"


           


อยู่มาวันหนึ่ง บลัมจึงตั้งคำถามกลับว่า ถ้าอเมริกาเป็นผู้นำจริง...แล้วใครล่ะเป็นผู้ตาม?


           


ไม่ว่าจะสงครามเกาหลี เวียดนาม มาจนถึงอิรัก ฯลฯ กว่าจะได้ผู้ตามแต่ละครั้ง ผู้นำอย่างอเมริกาก็ทั้งตบ ทั้งจูบ ทั้งขู่ ทั้งปลอบ โดยเฉพาะ...ติดสินบนกันอยู่หลายรอบ


           


บนเวทีใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ ที่ซึ่งสมาชิกทั่วโลกมาร่วมประชุมกัน (ล่าสุด 191 ประเทศ) อเมริกาได้เล่นบทผู้นำในเรื่องดีๆ (เสรีภาพ สันติภาพ สิทธิมนุษยชน ฯลฯ) อย่างที่เขาเล่าลือกันจริงหรือไม่? อเมริกามีผู้ตามมากน้อยแค่ไหน? ตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ผลโหวตของ "มติยูเอ็น" จากเวทีใหญ่ (General Assembly) ซึ่งเป็นการรวมตัวที่ไม่ได้มีอำนาจจริงจังอะไร และไม่ได้มีการแทรกแซงก้าวก่ายเท่าเวทีอื่นๆ น่าจะให้คำตอบได้ดีพอสมควร


 


ว่าแล้ว วิลเลียม บลัม ผู้มีวิริยะอุตสาหะเป็นเลิศ - ก็ได้ไปรวบรวมผลโหวตมติยูเอ็นย้อนหลัง โดยสุ่มเอาช่วง 1978-1987 มาให้ดู (ยุคคาร์เตอร์/เรแกน) ผลปรากฎว่า บ่อยครั้งมากเลย...บนเวทีใหญ่ยูเอ็น ที่อเมริกาต้องเล่นบทผู้นำอันแสนจะโดดเดี่ยว โหวต No สวนกระแสโลกอยู่รายเดียว หรือไม่ก็โหวตคู่กับ "รัฐที่ 51" ของตัวเองเท่านั้น ส่วนขาจรหน้าตาเจ้าเล่ห์...มีแวะเวียนมาแจมบ้างเป็นบางวัน


           


ว่าแต่ว่า เรื่องที่ผู้นำอเมริกา...หาคนตามแทบไม่ได้นั้น...มีอะไรบ้าง?


 


ต่อไปนี้...เป็นเพียงหนังตัวอย่างแว้บเดียวสั้นๆ ท่ามกลางลิสต์จริงสุดตระการตา


 


1980 ผลโหวตบางส่วน


5 ธ.ค. ประณามอิสราเอลเรื่องสภาพความเป็นอยู่ของชาวปาเลสไตน์ (เห็นด้วย 118 ไม่เห็นด้วย 2 คือ อเมริกา อิสราเอล)


11 ธ.ค. มาตรการด้านสิทธิมนุษยชนสำหรับอิสราเอลที่ควรปฏิบัติต่อดินแดนภายใต้การยึดครองของตน (118-2, อเมริกา อิสราเอล)


12 ธ.ค. หยุดการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ทุกชนิด (112-2, อเมริกา อังกฤษ)


12 ธ.ค. คำประกาศไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีรัฐที่ปราศจากนิวเคลียร์ (110-2, อเมริกา อัลเบเนีย)


15 ธ.ค. การเน้นว่าการพัฒนาชาติและพัฒนาปัจเจกบุคคล เป็นสิทธิมนุษยชนอย่างหนึ่ง (120-1, อเมริกา)


16 ธ.ค. การให้ความช่วยเหลือแก่ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพที่ถูกปราบปรามในประเทศแอฟริกาใต้ (137-3, อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส)


           


1981 ผลโหวตบางส่วน


28 ต.ค. ประณามรัฐและบรรษัทข้ามชาติที่ยังร่วมมือหรือให้การสนับสนุนรัฐบาลในแอฟริกาใต้ (124-1, อเมริกา)


9 พ.ย. รับรองสิทธิของรัฐทุกรัฐในการเลือกระบบเศรษฐกิจและสังคมให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชนในประเทศ โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก ไม่ว่ารูปแบบใดๆ (126-1, อเมริกา)


13 พ.ย. ประณามอิสราเอลในการทิ้งระเบิดใส่เตาปฎิกรณ์ปรมาณูเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์ของอิรัก (109-2, อเมริกา อิสราเอล)


4 ธ.ค. ประณามอิสราเอลเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของชาวปาเลสไตน์ (109-2, อเมริกา อิสราเอล)


9 ธ.ค. หยุดการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ทุกชนิด (118-2, อเมริกา อังกฤษ)


9 ธ.ค. ก่อตั้ง "เขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์" ในตะวันออกกลาง (107-2, อเมริกา อิสราเอล)


9 ธ.ค. เรียกร้องให้อิสราเอลยกเลิกการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ (101-2, อเมริกา อิสราเอล)


10 ธ.ค. รับรองสิทธิของชาวปาเลสไตน์ (121-2, อเมริกา อิสราเอล)


14 ธ.ค. การประกาศว่า เรื่องของการศึกษา งาน บริการสุขภาพ การพัฒนาประเทศ ฯลฯ เป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน (135-1, อเมริกา)


16 ธ.ค. รับรองสิทธิของชาวปาเลสไตน์อพยพพลัดถิ่นที่จะกลับคืนสู่บ้านเกิดตัวเอง (121-3, อเมริกา อิสราเอล แคนาดา)


16 ธ.ค. ประณามอิสราเอลกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนในดินแดนภายใต้การยึดครอง (111-2, อเมริกา อิสราเอล)


16 ธ.ค. ประณามอิสราเอลกรณีปิดมหาวิทยาลัยในดินแดนภายใต้การยึดครอง (111-2, อเมริกา อิสราเอล)


17 ธ.ค. ประณามท่าทีแข็งกร้าวของแอฟริกาใต้ต่อแองโกลาและรัฐอื่นๆ ในแอฟริกา (136-1, อเมริกา)


17 ธ.ค. ให้ปาเลสไตน์และดินแดนอาหรับอื่นๆ ภายใต้การยึดครองของอิสราเอล มีอำนาจอธิปไตยในการจัดการทรัพยากรของตนเองอย่างถาวร (115-2, อเมริกา อิสราเอล)


 


นับเป็นผลโหวตสั้นๆ ที่สามารถอธิบายการเมืองเรื่อง "สันติภาพในตะวันออกกลาง" ได้ดีกว่าพิธีกรซีเอ็นเอ็นทุกคนรวมกัน


 


และนับเป็นผลโหวตสั้นๆ ที่ทำให้เอกสาร "โรดแมพ" เพื่อสันติภาพทุกเล่มของอเมริกา กลายเป็นเรื่องไร้สาระไปอย่างไม่น่าเชื่อ


 


อเมริกาเป็นผู้นำในโลกเสรี โลกประชาธิปไตย หรือเป็นผู้นำใน "โลกใบไหน" กันแน่? ไม่จำเป็นต้องเกิดเป็นผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ หรือแม้แต่เหยื่อที่ถูกปราบโหดของรัฐบาลแอฟริกาใต้ ก็คงจะตอบคำถามนี้ได้ไม่ยาก


 


แต่เนื่องจากผลโหวตทั้งหมดของยูเอ็น ไม่เป็นที่นิยมตีพิมพ์เท่าสปีชของผู้นำประเทศ มายาคติที่มีอายุยืนยาวกว่า 2-3 ชั่วคน จึงไม่ใช่เรื่องที่จะลบล้างกันได้ง่ายๆ ชั่วข้ามคืน ด้วยเหตุนี้ หลังวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 เมื่อถูกตั้งคำถามว่า "ทำไมผู้ก่อการร้ายถึงโจมตีอเมริกา?" คำอธิบายเวอร์ชันทางการ ตั้งแต่ประธานาธิบดีบุช ไล่มายังคอนโดลิซา ไรซ์, คอลิน พาวล์ จึงล้วนออกมาในแนวเดียวกันว่า


 


"ก็เพราะผู้ก่อการร้ายเกลียดชังในสิ่งที่อเมริกายึดถือนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น เสรีภาพ ประชาธิปไตย และคุณค่าพื้นฐานทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (basic human values)"


 


หลังการโจมตี 9/11 อเมริกาได้ค้นพบข้ออ้างสำคัญ (หาไม่ได้ง่ายๆ) ในการละเมิดสิทธิพลเมืองตัวเองและพลเมืองคนอื่นให้มากยิ่งขึ้น อเมริกาได้เปิดฉากปฏิบัติการทางทหารโครงการใหญ่ ภายใต้ป้ายชื่อ "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" (War on Terrorism) ซึ่งยืดเยื้อยาวนานมาถึงปัจจุบัน บลัมพูดถึงอเมริกาและการเมืองโลกหลัง 9/11 ไว้ในหนังสือ Freeing the World to Death ที่ออกมาในปี 2004 และใน Rogue State ฉบับปรับปรุงแก้ไข ที่ได้รับการพิมพ์ใหม่ครั้งที่ 2 และ 3


 


ในงานเขียนที่ว่านี้ บลัมเป็นอีกคนหนึ่งที่มอง 9/11 ด้วยคำถามเบื้องต้นว่า "ทำไม" เหมือนๆ กัน เพียงแต่คำตอบที่ได้นั้น บังอาจเป็น "คนละเวอร์ชัน" กับพวกผู้นำที่นิยมเป็นอัลไซเมอร์สอย่างสิ้นเชิง


 


ชาวมุสลิมหรือชาวตะวันออกกลางโดยทั่วไป ไม่ได้จงเกลียดจงชังคนอเมริกัน ไม่ได้ขี้อิจฉาในเสรีภาพ ประชาธิปไตย หรือกางเกงยีนส์ลีวายส์ของคนอเมริกันแม้แต่ตัวเดียว สิ่งที่คนอาหรับเกลียด สิ่งที่เป็นปัญหา ก็คือ "นโยบายต่างประเทศของอเมริกา" ต่างหาก ความรู้สึกประมาณนี้บลัมไม่ได้เดาสุ่มหรือว่าเอง แต่สะท้อนอยู่ในโพลและคำพูดของคนที่อเมริกาเรียกว่า "ศัตรู" มาตลอด


 


ในรอบกว่า 20 ปีมานี้ นโยบายอเมริกาต่อชาติอาหรับได้แสดงถึงความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และนี่ก็คือตัวอย่างที่รวบรัดที่สุด รวบรัดมากๆ (ก่อนที่คนเขียนจะลืมตัว นึกว่ากำลังเขียนพ็อคเกตบุคอยู่)


 


      


 


ทำไมอเมริกา?


ยิงเครื่องบินลิเบีย 2 ลำในปี 1981, บอมบ์เบรุตจนราบคาบในปี 1983 และ 1984, ระหว่างสงครามอิรัก-อิหร่าน 1980-1988 พี่แกแอบให้ความช่วยเหลือทางทหารและข่าวกรองแก่ทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อคู่กรณีจะได้สร้างความเสียหายยับเยินให้แก่กันและกันมากที่สุด, บอมบ์ลิเบีย 1986, บอมบ์เรืออิหร่านจนจมในปี 1987, ยิงเครื่องบินอิหร่าน ปี1988, ยิงเครื่องบินลิเบียอีก 2 ลำในปี 1989, บอมบ์อิรักวายป่วงในปี 1991, บอมบ์และแซงก์ชันอิรักอย่างหน้ามืดต่อมาอีก 1991-2003, บอมบ์อัฟกานิสถานและซูดานในปี 1998


 


ในอีกด้านพร้อมกันนั้น พี่มะกันกลับทุ่มความช่วยเหลือให้น้องอิสราเอลเต็มที่มาตลอด แม้ว่าอิสราเอลจะทำลายล้างผลาญละเมิดสิทธิชาวปาเลสไตน์อย่างไม่หยุดหย่อน, ประณามการต่อต้านของชาวปาเลสไตน์อีกต่างหาก, เที่ยวไปจับตัว "ผู้ต้องสงสัย" ตามใจชอบจากชาติมุสลิมทั่วโลก แล้วส่งไปทรมานฝากขังตามที่ต่างๆ อาทิ อียิปต์ ซาอุ, เที่ยวสร้างฐานทัพและศูนย์บัญชาการไฮเทคตามที่ที่ชาวมุสลิมไม่ยินดีให้สร้าง, ทำลายล้างและบุกยึดอัฟกานิสถานปี 2001 และอิรักปี 2003


 


(ยังไม่หมดนะคะ เพราะเวลามีน้อย และเราขึ้นไทม์แมชชีนไปแค่ยุค 80 เอง)


 


ด้วยเหตุนี้เอง สำหรับบลัมแล้ว 9/11 จึงไม่ได้เริ่มต้นในปี 2001 และก็ไม่ได้เป็นผลลัพธ์ของผู้ก่อการร้าย ชนิดที่อเมริกาพยายามวาดภาพให้เป็นด้วย (ขี้อิจฉา บ้า เสียสติ ไม่ชอบใส่ลีวายส์หรือไนกี้ ฯลฯ) ยิ่งกว่านั้น ถ้าเพียงแต่ "เหยื่อรายใหญ่" อย่างละตินอเมริกา จะมีความเชื่อทางศาสนา (จีฮัด) เหมือนมุสลิมเคร่งลัทธิบางกลุ่มแล้วล่ะก็ บลัมแอบประชดว่า งานนี้...อเมริกาอาจจะไม่ได้เจอเข้ากับ "บอมบ์พลีชีพ" ที่ส่งตรงจากโลกมุสลิมอย่างเดียว


 


จากยุคคอมมิวนิสต์ถึงยุคผู้ก่อการร้าย บลัมสรุปถึงอเมริกัน เอ็มไพร์ตามประสา "คนรู้ใจกันดี" ว่า


 


"จริงๆ แล้ว...เราพูดได้มั้ยว่าสงครามเย็นจบลงแล้ว? ถ้าสงครามเย็นหมายถึงการต่อสู้ชิงดีระหว่างอเมริกากับโซเวียตเพื่อที่จะชนะใจโลกที่สาม (ไม่ว่าแรงจูงใจจะเป็นอะไรก็ตาม) มันก็จบสนิทจริงๆ แต่ถ้าสงครามเย็นไม่ใช่เรื่องของการต่อสู้ระหว่างตะวันออก-ตะวันตก แต่เป็นการต่อสู้ของสองซีกโลก "เหนือ-ใต้" ล่ะ? ก็อย่างที่เราได้เห็นไปแล้วว่า...อเมริกาพยายามที่จะกีดกันไม่ให้สังคมที่พอจะเป็นทางเลือกซึ่งพ้นไปจากโมเดลทุนนิยม ก้าวขึ้นมาเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จได้ รวมทั้งกีดกันไม่ให้อำนาจในภูมิภาคใดๆ ก้าวขึ้นมาท้าทายอำนาจสูงสุดของตัวเองได้ ซึ่งถ้าเป็นสงครามเย็นในความหมายนี้แล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่า แผนที่แผ่นนั้น...ที่ปักหมุดไว้อย่างดีบนผนังวอร์รูมของเพนตากอน...ยังอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อก่อน"


 


เกมนี้ยังอีกยาวค่ะ และชื่อบนป้ายผ้าก็อาจจะทำให้เราสับสนได้เรื่อยๆ แต่ไม่ว่าคุณจะกำลังยืนอยู่ตรงจุดไหน : Anti-War, Anti-Imperialism, Anti-Capitalism หรือ Anti-Globalization - - ถึงที่สุดแล้ว เราต่างก็กำลัง "ต่อสู้" กับศัตรูรายเดียวกัน


 


 


(จบตอน 2, ตอนสุดท้ายจะตามมาในเร็วๆ นี้)


 


 


หมายเหตุ - - บอกอประชาไทเค้าเลิกเชื่อคำว่า "เร็วๆ นี้" หรือ "พรุ่งนี้" ของดิฉันไปแล้วค่ะ แต่หวังว่าคุณผู้อ่านซึ่งมีหน้าตาเชื่อคนง่ายและพร้อมให้อภัยคนอื่นตลอดเวลา คงจะไม่ถือสานักเขียนที่ชอบเดินเล่นไป เขียนงานไป และดูแดจังกึมฉบับ re-run ไป อย่างดิฉันหรอกนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ


 


 


 


 


........................................................................................................................


อุทัยวรรณ เจริญวัย : เป็นนักเขียนหญิงที่ "ประชาไท" ต่อสร้อยให้ว่า "แสบสัน" ส่วนจะจริงหรือไม่ ขอให้ผู้อ่านพิจารณากันเอาเอง เธอปวารณาตัวต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกันในงานเขียนต่างๆ ที่ตีพิมพ์ในสื่อกระแสหลักหลายฉบับ ก่อนจะกบดานซ่อนตัวไปซุ่มเขียนพ็อกเก็ตบุ๊คหลายเล่ม


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net