Skip to main content
sharethis

โดย ประเวศ  วะสี (๒๖ เมษายน ๒๕๔๙)


 


 


 


๑.ความยุ่งเหยิงทางการเมือง - ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง


การเมืองขณะนี้ยุ่งเหยิงจับต้นชนปลายไม่ได้ และเคลื่อนเข้าไปสู่ความน่าทุเรศและตีบตันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะขาดความเคารพเชื่อถือไว้วางใจ (Trust)


 


ในสถาบันทางการเมือง เช่น ขาดความเชื่อถือไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ไม่เชื่อในความเป็นกลางของ กกต. ของสภาผู้แทนราษฎร ของวุฒิสภา ของศาลรัฐธรรมนูญ ของ ป.ป.ช. ของกรมสรรพากร ของกระบวนการยุติธรรมบางส่วน และของการสื่อสารของรัฐ เพราะเชื่อว่าถูกแทรกแซงครอบงำด้วยอำนาจรัฐและอำนาจเงิน


 


ความเชื่อถือไว้วางใจกันเป็นทุนอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เกิดความสุขและทำอะไรสำเร็จได้ง่าย แต่ถ้าขาดความเชื่อถือไว้วางใจกันเสียแล้วทุกอย่างจะยากหรือทำไม่ได้ ยิ่งพยายามแก้ไขภายใต้ความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมเก่าๆ ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง


 


การแก้ไขด้วย "กลไก" ต่างๆ แก้ไม่ได้แล้ว


เราต้องการปัญญา จิตสำนึก และวิธีคิดใหม่


มนุษย์เข้าไปสู่ความลำบากและยุ่งยากเพราะเห็นผิด และคิดผิด


แต่ก็ไม่เข้าใจว่าตัวเห็นผิดและคิดผิด เพราะเข้าใจยาก


ต้องเรียนรู้จากระบบที่ดีที่สุด คือระบบร่างกายของมนุษย์


 


๒.ความเป็นหนึ่งเดียวกัน


ระบบร่างกายมนุษย์นั้นหลากหลายและซับซ้อนกว่าสังคมเป็นอันมาก มีอณูของสารต่างๆ ด้วยจำนวนล้านล้าน เซลล์ต่างๆ ตั้งแต่เซลล์สมอง เซลล์หัวใจ เซลล์ตับ เซลล์ปอด เซลล์ตับอ่อน เซลล์ไต ฯลฯ ซึ่งแตกต่างหลากหลายสุดประมาณ


 


แต่ทั้งหมดที่แตกต่างหลากหลายเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน


ถ้าตับไปทาง ปอดไปทาง หัวใจไปทาง เราเป็นคนอยู่อย่างนี้ไม่ได้


 


เซลล์ทุกเซลล์มี "สำนึก" แห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ได้ทอดทิ้งกันหรือเอาเปรียบกัน เพราะถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหรือแม้แต่เซลล์เซลล์เดียวป่วยไป ย่อมกระทบกระเทือนถึงร่างกายทั้งหมด เพราะร่างกายทั้งหมดมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน


 


ความเป็นหนึ่งเดียวกันของร่างกายทั้งหมดทำให้เกิดดุลยภาพ หรือความเป็นปรกติ หรือความมีสุขภาพดี เมื่อใดขาดความเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่น เซลล์มะเร็งมันจะเอาแต่ตัวมันโดยเอกเทศ ไม่คำนึงถึงร่างกายทั้งหมด ระบบร่างกายจะรวนไปหมดและป่วยอย่างยิ่ง หรือถ้าเซลล์ในหัวใจเกิดไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งหมด เราอาจจะตายอย่างเฉียบพลัน


 


ความเป็นหนึ่งเดียวกันของทั้งหมดเป็นบ่อเกิดของความเป็นปรกติ แม้เพราะเหตุนี้


 


๓.เพราะขาดสำนึกแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน สังคมจึงวิกฤต


ในความเป็นจริงมนุษย์ทั้งหมดและธรรมชาติทั้งหมดล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของ "ร่างกาย" ของสังคมก็มีผลกระทบถึงสังคมทั้งหมด


 


แต่มนุษย์จิตยังไม่ใหญ่พอที่จะมีสำนึกแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน ยังคิดถึงตัวเองเป็นเอกเทศ ไม่คำนึงถึงคนทั้งหมดและธรรมชาติทั้งหมด จึงทอดทิ้งกัน เอาเปรียบกัน แย่งชิงกัน นำไปสู่การทำลายและความเจ็บป่วยทางสังคมสุดเยียวยา ลองนึกถึงร่างกายของเรา ที่เมื่อมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นเซลล์หนึ่ง แล้วทำตัวเป็นเอกเทศ ไม่คำนึงร่างกายทั้งหมด แบ่งตัวออกลูกออกหลานมาเป็นประชากรเซลล์มะเร็ง ซึ่งในที่สุดทำให้ระบบร่างกายล้มเหลวลง ในเมื่อในสังคมของเรามีคนที่คิดเฉพาะตัวไม่คำนึงถึงสังคมทั้งหมด ประดุจเป็นมนุษย์เซลล์มะเร็งอยู่จำนวนมากด้วยกัน สังคมจะไม่เจ็บป่วยสุดๆ ได้อย่างไร


 


ในขณะที่คนจำนวนมากทำงานเหนื่อยยากและจนสุดๆ ไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ ในขณะที่เด็กผู้หญิงเป็นแสนๆ คนต้องไปเป็นโสเภณีหรือให้เสี่ยเปิดบริสุทธิ์จึงจะมีข้าวกิน ฯลฯ คนเหล่านี้ล้วนเป็นร่างกายของสังคมเดียวกัน ถ้าเขาเจ็บป่วยเราก็เจ็บป่วยด้วย แต่เราก็ยังไม่มีสำนึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน


 


การศึกษาก็ดี การสื่อสารก็ดี ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีก็ดี ยังไม่เป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์เกิดสำนึกแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือกลับจะตรงข้ามมากกว่า คือทำให้คนคิดถึงตนและประโยชน์ของตนเป็นเอกเทศ ทำให้มนุษย์แตกต่างกันมากขึ้นและโลกเสียดุลยภาพมากขึ้น จึงขัดแย้งรุนแรงและวิกฤตอย่างไม่มีทางออก


 


ท่ามกลางการคิดและพัฒนาแบบแยกส่วนอย่างนี้ จึงมีคนที่จนสุดๆ และรวยสุดๆ ที่มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท จึงไม่เป็นการแปลกอะไรที่มีคนที่รวยสุดๆ จำนวนหนึ่งอยากจะมีอำนาจมากขึ้น แล้วใช้เงินอันมหึมาเป็นเครื่องมือเข้าไปยึดอำนาจทางการเมือง เข้าแทรกแซงครอบงำสถาบันทางการเมือง ทางราชการ และธุรกิจ จนหมดเกียรติ หมดศักดิ์ศรี และหมดความน่าเชื่อถือ เกิดความยุ่งเหยิงสับสนไปทั้งแผ่นดินอย่างไม่มีทางออก และไม่มีประโยชน์อะไร เยี่ยงปัจจุบัน


 


๔.การแก้ไขแบบ "กลไก" แก้ไม่ได้แล้ว


เราใช้รัฐธรรมนูญแบบเป็น "กลไก" จึงเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาจนวิกฤต


รัฐธรรมนูญเป็นมากกว่ากลไก


รัฐธรรมนูญเป็นปัญญา จิตสำนึก เจตนารมณ์ ศีลธรรมจริยธรรม กรอบกติกา และกลไก เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีเกียรติและเป็นธรรม


 


การมองรัฐธรรมนูญแบบศรีธนญชัยก็จะมองแต่กลไก เพื่อหากลโกงเท่านั้นว่ากูจะเอาเปรียบใครอย่างไรได้บ้าง โดยไม่คำนึงถึงปัญญา จิตสำนึก เจตนารมณ์ ศีลธรรมจริยธรรม และเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีเกียรติและเป็นธรรม ของรัฐธรรมนูญ การเมืองจึงเข้าไปสู่ความเละเทะ เกิดความบาดหมาง ขัดแย้ง กันไปทั่วแผ่นดิน


 


เราไม่มีทางออกจากความบาดหมางขัดแย้ง ด้วยการต่อสู้กันเชิงกลไกหรือด้วยการคิดและพฤติกรรมแบบเดิมๆ หรือด้วยการเรียกร้องความสามัคคี


 


ในขณะที่ความไม่ถูกต้องยังดำรงอยู่ ประดุจว่าเมื่อมีคนกำลังข่มขืนลูกสาวเราหรือข่มขืนชาติ ถ้าเราเรียกร้อง "สามัคคีๆ" มันจะยิ่งข่มขืนลูกสาวเราหรือข่มขืนชาติมากขึ้น เราจะต้องทำอะไรกันมากกว่านั้น


 


๕.จิตสำนึกใหม่ วิธีคิดใหม่


ถ้าเรายังคิดแบบเดิมและมีพฤติกรรมแบบเดิม เราคงไม่สามารถออกจากวิกฤตการณ์ต่างๆ ไปได้ ซ้ำร้ายอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงนองเลือด ถ้าเกิดความรุนแรงนองเลือดคนที่อยากจะรักษาอำนาจก็รักษาไว้ไม่ได้อยู่ดี แต่จะเกิดบาดแผลลึกในสังคมที่กินเวลานานกว่าจะเยียวยาได้            


 


เราต้องสลัดตัวออกจากความมีจิตเล็ก ที่คิดแต่ประโยชน์ของตนเองและหมู่พวกและการสยบยอมทำสิ่งที่ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีคุณค่า อันพาบ้านเมืองไปสู่ความยุ่งยาก บาดหมาง ขัดแย้ง ไปสู่ความมีจิตใหญ่ที่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์


 


เราทุกคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นคน


ในความเป็นคนเราต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีอิสรภาพที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม


 


เราต้องไม่ใช้อำนาจหรือใช้เงินเข้าครอบงำคนอื่น หรือถูกอำนาจและเงินเข้าครอบงำ นั่นไม่ใช่การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนอื่น การไม่มีอิสระที่จะคิดเรื่องดีๆ ทำเรื่องดีๆ เพื่อเพื่อนมนุษย์ เป็นการสูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นคน


 


เป็นมนุษย์ไม่มีเกียรติและไม่มีศักดิ์ศรีไม่ได้


จะมีประโยชน์อะไร ที่จะมีอำนาจ โดยไม่มีเกียรติ


จะมีประโยชน์อะไร ที่จะเป็น กกต. โดยไม่มีเกียรติ


จะมีประโยชน์อะไร ที่จะเป็น ส.ส. โดยไม่มีเกียรติ


จะมีประโยชน์อะไร ที่จะเป็น ส.ว. โดยไม่มีเกียรติ


จะมีประโยชน์อะไร ที่จะเป็นอะไรๆ โดยไม่มีเกียรติ


           


คนไทยทุกคนจะต้องมีเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน


ถึงจะจน ถึงจะไม่มีอำนาจ แต่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนสำคัญกว่า


 


จริงๆ แล้ว เกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนคืออำนาจ


เห็นไหม คุณทักษิณมีอำนาจมากที่สุดและมีเงินมากที่สุด แต่กลับแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ได้ และทำให้บ้านเมืองเกิดปัญหายุ่งเหยิงแบบสุดๆ


 


ถ้าคนไทยทุกคนมีสำนึกแห่งเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นคน จะเกิดอำนาจชนิดใหม่ขึ้นในสังคม ที่ทำให้พบทางออกจากปมวิกฤต อำนาจแบบเก่าๆ พาสังคมไทยเข้าไปสู่วิกฤตการณ์มากขึ้นๆ ทุกทีแล้ว


           


เพื่อนคนไทย ที่เป็นนักการเมืองก็ดี เป็นกกต.ก็ดี เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ดี เป็น ป.ป.ช.ก็ดี หรือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ อะไรอื่นก็ดี ท่านมีเกียรติและมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน ขณะนี้ท่านอาจจะหลับใหลและฝันไป แต่เป็นฝันร้ายของบ้านเมือง ได้เวลาที่จะตื่นแล้ว สลัดความฝันออกไป ดึงความเป็นไทกลับคืนมา ในความเป็นไทท่านมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีอิสรภาพที่จะทำอะไรดีๆ ได้


           


ถ้าท่านตื่นและเป็นไท บ้านเมืองจะเกิดความสงบและสร้างสรรค์ แต่ถ้าท่านเลือกที่จะหลับใหลต่อไป บ้านเมืองไม่มีทางออกและจะเข้าไปสู่ความรุนแรงนองเลือดแน่นอน


 


ในพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" นั้น หมายความว่าแผ่นดินต้องมีธรรมครอบครองหรือมีความถูกต้อง จึงจะเกิดความร่มเย็นเป็นสุขได้ ความไม่ถูกต้องไม่สามารถนำพาบ้านเมืองไปสู่ความสงบสุขได้แล้ว


 


เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะรณรงค์สร้างความถูกต้องในแผ่นดินเพื่อให้บ้านเมืองของเราเกิดความร่มเย็นเป็นสุข ลูกหลานของเราจะต้องสามารถอยู่บนแผ่นดินนี้อย่างคนที่มีเกียรติ และมีศักดิ์ศรี


 


การเมืองต้องเป็นศีลธรรม ไม่ใช่ความสามานย์


 


การเมืองภาคประชาชนต้องเป็นพลังขับเคลื่อนทางศีลธรรม ให้ความดีเข้าไปจับจิตจับใจของผู้คน จนกระบวนการทางศีลธรรมขยายตัวแผ่ซ่านทั่วถึงทุกส่วนของสังคม เกิดธรรมาประชาธิปไตยเข้าแทนที่ประชาธิปไตยแบบอันธพาล หรือประชาธิปไตยแบบอธรรม บ้านเมืองจึงจะเกิดความสงบสุข


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net