พระบรมราโชวาท 25 เมษายน 2549 เป็นอีกครั้งที่อัจฉริยภาพและความเป็นพระมหากษัตริย์ประชาธิปไตยปรากฏขึ้น และเป็นครั้งที่มีเนื้อหาทางการเมืองที่ชัดเจนมากที่สุดครั้งหนึ่ง
สถานการณ์ ณ บัดนี้น่าจะปรากฏชัดแล้วว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยอย่างไรเกี่ยวกับการร้องขอให้มีการใช้มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อการมีนายกฯพระราชทาน
ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เปิดประเด็นขึ้นโดยนักวิชาการ โดยการนำของ ชัยอนันต์ สมุทวณิช รับลูกโดยสนธิ ลิ้มทองกุล พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพรรคประชาธิปัตย์ น่าจะถึงเวลาที่ต้องรับผิดชอบด้วยการหยุดข้อเรียกร้องนี้ เหตุเพราะสิ่งที่อยู่ในพระบรมราชวินิจฉัยนั้นเป็นหลักการของประชาธิปไตยที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ หาใช่เพียงเพราะนี่คือพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพียงเท่านั้น
กระนั้นเราเห็นว่า นักวิชาการ สนธิ พันธมิตร และพรรคประชาธิปัตย์ หรืออื่นๆ ยังคงมีสิทธิเต็มภาคภูมิที่จะเดินหน้ารณรงค์ทางการเมืองต่อไปตามวิถีทางภายใต้หลักการประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ และภายใต้หลักการเพื่อสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ และสร้างสรรค์
เพราะการเคลื่อนไหว การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เสรีภาพในทางความคิด ทางวิชาการ เป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และ "หลักการประชาธิปไตย" เช่นเดียวกับหลักการเรื่อง มาตรา 7 - นายกพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชวาท เช่นเดียวกัน
เราไม่ปรารถนาที่จะเห็นการอ้างพระบรมราโชวาทนี้ เพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และสยบการแสดงความเห็นต่าง ไม่ว่าจะด้วยอำนาจใดๆ เพราะลำพังปัญหาความไม่พอใจในความเห็นต่างและท่าทีที่แตกต่างโดยไม่มีการพาดพิงหรืออ้างอิงเกี่ยวกับ "เบื้องสูง" ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์คุกคามเสรีภาพหนักอยู่แล้ว ดังกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นกับแกนนำพันธมิตรฯ ที่จังหวัดอุดรธานี อันเป็นเหตุการณ์ที่ควรประณาม
เราขอเรียกร้องให้พรรคไทยรักไทยได้ทบทวนการทำหน้าที่และสมาชิกภาพของสมาชิกสองคนของพรรคผู้มีบทบาทในการปลุกระดมมวลชนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อุดรธานี
และเราขอเรียกร้องให้พันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ พรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคไทยรักไทย และภาคประชาชน ร่วมกันเดินหน้าผลักดันปฏิรูปการเมืองให้เกิดขึ้นโดยเร็ว