โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
การเลือกตั้งที่กำหนดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2549 นี้ นับเป็นการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยข้อครหามากที่สุด นับแต่เริ่มมีการเลือกตั้งมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ไม่ต้องกล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีผู้สมัครสังกัดพรรคฝ่ายค้าน หรือพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เคยมี ส.ส.อยู่ในสภาเมื่อสมัยที่แล้ว ลงสมัครแข่งขันด้วยเลยแม้แต่พรรคเดียว แต่เป็นการเลือกตั้งที่มีเพียงพรรคไทยรักไทยเป็นพรรคใหญ่พรรคเดียว ที่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งทั่วประเทศ โดยมีกว่า 271 เขตเลือกตั้งทั่วประเทศที่พรรคไทยรักไทยได้ส่งผู้สมัครโดยไม่มีคู่แข่งเลย
นอกจากนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้นับการเลือกตั้งที่มีระยะเวลาเตรียมการสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในกรณียุบสภา คือมีเวลาให้พรรคการเมืองอื่นๆ ได้ทราบก่อนวันเลือกตั้งแค่ 30 กว่าวัน
ยิ่งกว่านั้น การยุบสภาของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด ว่าเป็นการผลักภาระปัญหาและประเด็นข้อครหาที่สังคมมีต่อตัวนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภาโดยไม่มีเหตุอันชอบด้วยครรลองของระบบรัฐสภา
การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 2 เมษายนนี้ จึงถูกครหาอย่างมากว่า จะเป็นการสร้างความชอบธรรมและฟอกความผิดเฉพาะตัวให้แก่ พ.ต.ท.
นั่นเป็นเพราะ "ระบอบทักษิณ" ที่ยึดกุมสังคมการเมืองอย่างถึงแก่น ได้ทำให้ระบบราชการ ระบบตรวจสอบ และระบบการทำงานขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้ง ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมทุกฝ่ายว่าจะสามารถทำหน้าที่อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่เอนเอียงเข้าข้างรัฐบาล
กล่าวเฉพาะตัว กกต. ก็ปรากฏว่า มีข้อครหาหลายประเด็น ที่ กกต. จะต้องให้ความกระจ่างแก่สังคมให้ได้เสียก่อน ไม่เช่นนั้น ย่อมจะเป็นเหตุแห่งการไม่ยอมรับในตัวองค์กรผู้ดำเนินการการเลือกตั้ง และนำไปสู่การไม่ยอมรับรัฐบาลหลังเลือกตั้ง
แทนที่การเลือกตั้งจะเป็นทางออกของความขัดแย้ง ก็จะกลายเป็นชนวนเหตุและเงื่อนไขแห่งความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมต่อไป
กกต. จะต้องเร่งชี้แจงในข้อครหาต่อไปนี้
1) กรณีที่ กกต.ชุดนี้ มีการออกระเบียบขึ้นเงินค่าตอบแทนให้แก่ตนเองในลักษณะเดียวกันกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งบัดนี้ ป.ป.ช.ชุดที่กระทำการดังกล่าว ได้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ต้องโทษจำคุก เป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
กกต. ชุดนี้ ซึ่งมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันกับ ป.ป.ช. จะยังมีความชอบธรรม และยังสมควรจะได้รับการเชื่อถือให้ปฏิบัติหน้าที่อันเกี่ยวข้องกับการยุติธรรมในกระบวนการเลือกตั้ง อีกต่อไปหรือ?
2) กกต. ชุดนี้ ได้มีพฤติกรรมในการออกระเบียบและการเบิกจ่ายงบลับอย่างน่าเคลือบแคลงสงสัย โดยเมื่อคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบ หลังจากที่นาย
3) การจงใจไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในการสรรหา กกต.คนใหม่ หลังจากที่นาย
4) กกต.ชุดนี้ ได้มีการแบ่งพื้นที่ดูแลตามภาค ในขณะที่ กกต.ชุดที่แล้วแบ่งกันรับผิดชอบตามหน้าที่ จึงมีข้อกังขาว่า กกต.เจ้าของพื้นที่จะให้ใบแดง ใบเหลือง กับใครก็ได้ อาจเกิดช่องว่างในการวิ่งเต้น
5) กกต. ได้กำหนดวันเลือกตั้งโดยร่วมกันกับหัวหน้าพรรครัฐบาลและที่ปรึกษากฎหมายเพียงฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่ กกต.ชุดที่แล้ว ได้กำหนดวันเลือกตั้งโดยเชิญหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรคมาร่วมกำหนด นำไปสู่การกำหนดให้มีการเลือกตั้งอย่างกระชั้นชิดที่สุดในประวัติศาสตร์
6) มีข้อสงสัยในเรื่องการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ที่ให้กองสลากเป็นผู้จัดพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ทำให้มีปัญหา เพราะที่ผ่านมา มีครหาเรื่องการพิมพ์บัตรเลือกตั้งเกิน เคยมีบัตรเลือกตั้งออกจากหน่วยเลือกตั้งไปถูกเผาได้ อีกทั้งยังมีการมัดบัตรเลือกตั้งเป็นมัดๆ ละ 500 ใบ ซึ่งเป็นการง่ายต่อการสับเปลี่ยน และมีผลการลงคะแนนที่ปรากฎว่า บนกระดานมี 500 คะแนนที่เลือกเบอร์และใช้หมึกสีเดียวกัน กาแบบเดียวกันบนบัตรเลือกตั้ง ในภายหลังเมื่อถูกท้วงติงก็มาใช้ตรายางลงคะแนนแทน
7) ในการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมา ปรากฏว่า กกต. เคยมีมติให้ใบเหลืองใบแดงแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่ประธาน กกกต. กลับมีการประกาศใบเหลืองใบแดงไม่ตรงกับมติของคณะกรรมการ กกต. ทั้งๆ ที่ การลงมติจะต้องเป็นมติเอกฉันท์ แต่บางกรณี กรรมการ กกต.บางคนยังไม่ได้ลงชื่อ ก็นำไปประกาศ
8) คุณ
ทั้ง 8 ประเด็นนี้ กกต.ควรจะต้องชี้แจงอย่างกระช่างชัดต่อสาธารณะให้ได้
มิเช่นนั้น การเลือกตั้ง 2 เมษายน ก็จะไม่ใช่เพียงการเลือกตั้งสีเทา แต่จะเป็นการเลือกตั้งสีดำ เป็นรอยเปื้อนอยู่บนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยสืบไปอีกนานเท่านาน