วันที่ 17 มี.ค. มูลนิธิฟอรั่มเอเชีย จัดการประชุม "ไทย - พม่า หุ้นส่วนภาคประชาชน" ที่มูลนิธิกองทุนไทย เพื่อหารือกันระหว่างองค์กรภาคประชาชนในการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า
นาย
แต่หลังจาก พ.ต.ท.
ส่วนความสัมพันธ์นั้นก็แย่ลง เพราะนายกรัฐมนตรีเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับ พล.อ.
นอกจากนี้ นาย
การกดดันจากภาคประชาชนหรือการต่อต้านภายในนั้น ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากเช่นกัน เพราะคนมีความกลัวอำนาจทหารมาก อีกทั้งต้องคิดถึงเรื่องปากท้องของแต่ละวันเป็นอันดับแรก การยอมทำตามรัฐบาลพม่า หมายถึงการมีงานทำ ดังนั้นการเคลื่อนไหวที่มากที่สุดทำได้เพียงการต่อต้านผ่านทางการทูตของคนที่หนีออกนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงที่สุดแล้ว ในการกู้ชาติพม่าจากเผด็จการทหาร เป็นเรื่องที่คนพม่าต้องทำเอง ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย สามารถทำได้เพียงเห็นใจและรองรับคนที่ได้รับผลกระทบจนต้องหนีมาเท่านั้น
อีกประเด็นที่รัฐบาลทหารพม่ากลัวมากคือ นาง
ด้านนายศุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ซึ่งติดตามสถานการณ์ในพม่ามาอย่างต่อเนื่อง เห็นไปในทิศทางเดียวกับนายอัษฎาว่า สถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่ายังดูมืดมนแบบไม่เห็นทางออก และการที่จะรอให้ทหารรุ่นใหม่มาปฏิวัติ พล.อ.
ทั้งนี้ นายศุภลักษณ์ระบุว่า ตั้งแต่กลุ่มทหารหัวก้าวหน้าอย่าง พล.อ.ขิ่นยุ้นต์ ถูก พล.อ.ตานฉ่วยโค่นล้มไป ก็ทำให้เกิดการสับเปลี่ยนกำลังครั้งใหญ่สุดกว่า 1,000 นาย ผู้มาแทนที่ล้วนเป็นเครือข่ายของ พล.อ.
นอกจากนี้ พล.อ.ตานฉ่วย ยังได้วางตัวผู้ดูแลเขตภาคเหนือของพม่าให้เป็นคนของตัวเองเพื่อลดอำนาจของ พล.อ.หม่องเอ ซึ่งถือเป็นผู้มีอำนาจอันดับ 2 ของพม่าลง ตอนนี้ทำให้มีกองกำลังเพียงไม่กี่กองทัพในภาคใต้
การสับเปลี่ยนกองกำลังดังกล่าว ทำให้เกิดการเลื่อนยศตำแหน่งของทหารด้วย จึงลดความกดดันในการช่วงชิงอำนาจ กลายเป็นการเกิดเป็นดุลอำนาจที่ไม่ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เป็นวิธีการบริหารอำนาจที่ทำให้อำนาจของ พล.อ.ตานฉ่วย อยู่ต่อไปได้ สำหรับทหารรุ่นใหม่ที่คิดจะล้มล้างก็มีตัวอย่างให้เห็นจากชะตากรรมของกลุ่ม พล.อ.ขิ่นยุ้นต์
สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อต้านทหารพม่าด้วยกำลังทหาร และเคยมีอำนาจต่อรองบ้างนั้น ในปัจจุบันมีกองกำลังเพียงพอในการป้องกันตัวเองได้เท่านั้น
สำหรับประเทศไทย คงทำได้เพียงการรองรับหรือช่วยเวลาที่มีผู้หนีความตายเข้ามา ส่วนแนวคิดว่าสามารถกดดันพม่าโดยภาคประชาชน คิดว่าถ้าจะทำได้ก็ต้องมีคนต่อต้านในปริมาณที่เยอะมากๆแต่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นแบบนั้น
วิธีเดียวที่น่าจะคาดหวังได้ก็คือ อาจมองหามหาบุรุษเข้าไปแก้สถานการณ์โดยชาวพม่าเอง ซึ่งในกลุ่มแรงงานพม่าที่มาอยู่ในไทย หากได้รับการศึกษาเพื่อเปิดโลกทัศน์ในการคิดด้านประชาธิปไตยหรือเห็นสังคมไทยพอสมควรจนทำให้รู้สึกอยากแสวงหาสังคมในลักษณะนี้ ก็อาจเกิดคนที่อยากกลับไปแก้ไขสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในพม่าตอนนี้
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดในพม่าคงต้องใช้เวลาสั่งสมไม่น้อยกว่า 20 ปี คนกลุ่มแรกๆที่กล้าเข้าไปทำอาจเสียชีวิต แต่คนกลุ่มที่ 2 หรือ 3 จะตามมา