คำตัดสินโดยละเอียด ชี้มูลความผิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

คำแถลงปิดการไต่สวนมูลฟ้อง

ชี้มูลการกระทำผิดกฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

 

จากการนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีความผิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้ง ๔ นัดที่ผ่านมา เมื่อได้รับฟังคำเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญ และเอกสารหลักฐานที่โจจทก์และพยานเสนอต่อศาลเพื่อประกอบการไต่สวนคดี ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่มีมูลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่รับฟังได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการกระทำที่สื่อว่าเป็นความผิดกฎหมาย ดังต่อไปนี้คือ

 

๑.ในกรณีบริษัทแอมเพิลริชอินเวสเมนท์ ปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กระทำการอันมีลักษณะเป็นการ "เข้าไปบริหารหรือจัดการใดๆ เกี่ยวกับหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท" อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๐๙ ซึ่งเป็นความผิดที่ถึงขั้นต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๑๖ (๖) นอกจากนี้การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่แจ้งรายการเกี่ยวกับหุ้นในบริษัทแอมเพิล ริชฯ ทั้งก่อนและหลังการเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทั้งสองสมัยต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ยังเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๕ ซึ่งนอกจากจะมีผลทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังมีผลทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ เป็นเวลาอีก ๕ ปีอีกด้วย

 

๒.ในการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นให้กับกองทุนเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ ปรากฏข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวได้กระทำการอันเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา ๓๗ แห่งประมวลรัษฎากร ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดโดยความเท็จ หรือโดยการฉ้อโกงหรือโดยวิธีอื่นใดทำนองเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร" ซึ่งเป็นความผิดที่ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท

 

๓.ปรากฎข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้กับธุริกจของตนเองและครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีดังต่อไปนี้ กรณีที่หนึ่ง การออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต ซึ่งส่งผลให้บริษัทแอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิส ที่เป็นบริษัทของครอบครัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับประโยชน์เป็นจำนวนเงินนับหมื่นล้านบาท กรณีที่สอง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้อำนาจในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ยกเว้นภาษีให้บริษัทชินแซทเทิลไลท์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น ได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเวลา ๘ ปี เป็นจำนวนเงินถึง ๑๖,๔๕๙ ล้านบาท กรณีที่สาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรแก้ไขพระราชบัญญัติกิจการโทรคมนาคมขยายการถือหุ้นของคนต่างด้าวจากไม่เกินร้อยละ ๒๕ เพิ่มขึ้นเป็นไม่เกินร้อยละ ๔๙ ทำให้ครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นซึ่งเป็นกิจการโทรคมนาคมให้กับกองทุนเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ได้ นอกจากนี้ยังมีการกระทำต่างกรรมต่างวาระในลักษณะใช้อำนาจทางการเมืองเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัวอีกหลายต่อหลายครั้ง การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการ "ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต" ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

๔.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการกระทำที่ส่อว่ามีการทุจริตและกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ และนับตั้งแต่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภา เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการกระทำผิดมาตรา ๔๔ และมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา คือเพื่อ "จูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ตนเอง... หรือพรรคการเมืองใด" โดย "จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด" ตามมาตรา ๔๔ (๑) และ "ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน... วัด สถาบันการศึกษา... หรือสถาบันอื่นใด" ตามมาตรา ๔๔ (๒) ทั้งยังละเมิดมาตรา ๔๗ ซึ่งบัญญัติ "ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง" ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนรับฟังได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯ ได้มีการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรคไทยรักไทยที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค การกระทำความผิดตามมาตรา ๔๔ และ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ นี้เป็นความผิดที่มาตรา ๑๐๑ บัญญัติให้ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทและให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี

 

จากการรับฟังทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายทั้งสี่ประเด็นดังกล่าว ศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ที่ฟ้องว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปกปิดทรัพย์สิน เลี่ยงภาษี ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและทุจริตเลือกตั้ง เป็นคำฟ้องที่มีมูลการกระทำผิดกฎหมาย

ศาลจึงมีคำสั่งชี้มูลการกระทำผิดกฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และสั่งรับคดีนี้ไว้พิจารณา เพื่อนำไปสู่การพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองต่อไป

 

ผู้พิพากษาศาลจำลอง

ศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท