เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2549 คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาเรื่องหลักประกันทางสังคมในคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา จัดสัมมนาโต๊ะกลมเรื่อง "แนวทางการจัดการระบบประกันสังคมแบบถ้วนหน้า" เพื่อเสนอต่อรัฐบาล หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนระบบประกันสังคมของประเทศไทย
นาย
"กองทุนประกันสังคมเองก็มีปัญหาเยอะ ความเป็นเจ้าของของผู้ประกันตนก็ยังไม่เกิดขึ้น เหมือนกระทรวงเป็นเจ้าของมากกว่า ด้านสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเองตอนนี้ก็มีปัญหาเรื่องงบประมาณ การพัฒนาคุณภาพบริการให้ได้มาตรฐานที่เป็นที่พอใจ เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาใช้บริการ เพราะขณะนี้คนที่จะใช้บริการจะอยู่ในกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำมากกว่าคนที่มีรายได้พอที่จะซื้อบริการจากโรงพยาบาลเอกชนทั่วๆ ไป หรือซื้อประกันจากบริษัทเอกชน"
นายจอน กล่าวเพิ่มเติมว่า เท่าที่คุยกัน 4-5 ครั้งที่ผ่านมา สรุปได้โมเดล 3 รูปแบบคือ โมเดลจากฮิโรชิ ยามาบานาและ ILO โดยรัฐบาลเป็นผู้จัดประกันสังคมถ้วนหน้าแก่ประชาชนโดยใช้ภาษีอากรเฉพาะในบางเรื่องที่จำเป็น เช่น เรื่องชราภาพ รวมถึงการเลี้ยงดูบุตรของผู้ปกครองที่ยากจน โมเดลที่สองเป็นของอาจารย์
และโมเดลสุดท้ายเสนอโดยอาจารย์
น.พ.สุรเดช วลีอิทธิกุล จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า อยากให้ดูแลคนที่อยู่ในระบบประกันสังคมให้ได้รับการประกันสุขภาพเมื่อป่วยหลังจากเกษียณและได้รับการประกันรายได้หากตกงานด้วย เพราะถือว่าพวกเขาก็อยู่ในระบบมาตลอด และมีส่วนร่วมในระยะเวลาหนึ่ง ไม่อยากให้มองว่าเป็นภาระของรัฐแล้วไปผลักภาระให้โครงการ 30 บาทฯ เพราะจะเป็นการผลักภาระให้สังคม ดังนั้นต้องทบทวนตรงนี้กันใหม่
ฮิโรชิ ยามาบานา ผู้เชี่ยวชาญด้านประกันสังคมจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายของระบบประกันสังคมอยากให้ช่วยเหลือคนชราและทุพพลภาพก่อน เพราะจากการศึกษาพบว่า 1 ใน 4 ของแรงงานที่ยากจนนั้นเป็นคนชรา
"นอกจากนี้ อยากสนับสนุนให้การรักษาพยาบาลครอบคลุมถึงครอบครัวของผู้ประกันตนด้วย (หมายถึง คู่ครองและบุตรของผู้ประกันตน) โดยจากการศึกษาของ ILO พบว่าสามารถนำ 4.5% ของเงินที่เก็บได้มาใช้ได้เลย โดยไม่ต้องเก็บเพิ่ม แต่ปัญหาก็คือ บางคู่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันจึงไม่รู้จะใช้หลักเกณฑ์อะไรในการจ่าย นอกจากนี้หากนำส่วนนี้ไปจ่ายจริง ก็ไม่แน่ใจว่าต้องโยกเงิน 30 บาทของคู่มาไว้รวมกับประกันสังคมไหม อย่างไร"
ผศ.ดร.
ดร.