Skip to main content
sharethis


 

         คดีหมายเลขดำที่     ๕๔๘/๒๕๔๗


คดีหมายเลขแดงที่  ๑๗๓/๒๕๔๙


 


 


ศาลจังหวัดอ่างทอง


 


 


                                    วันที่      7          กุมภาพันธ์           พ.ศ. 2549


                                                            ความอาญา


 


 


ระหว่าง               พนักงานอัยการจังหวัดอ่างทอง                                            โจทก์


 


                        นายเสถียร จันทร                                                              จำเลย


 


 


เรื่อง                  ความผิดต่อพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม


 


 


โจทก์ฟ้องขอลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 4, 6, 11, 22, 23 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบเครื่องส่งวิทยุคมนาคม 1 เครื่อง เสาอากาศชนิดรอบตัว 1 ต้น และสายนำสัญญาณวิทยุคมนาคม 1 เส้น ของกลางเพื่อให้ไว้ในการราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข


 


จำเลยให้การปฏิเสธ


 


ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า โจทก์มีประจักษ์พยานมายืนยันว่าจำเลยจัดตั้งสถานีวิทยุชุมชน มีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมจริง โดยจำเลยร่วมจัดรายการด้วย ทั้งจับกุมได้พร้อมของกลาง ซึ่งของกลางดังกล่าวเป็นเครื่องวิทยุคมนาคม ตามมาตรา 4, 6 จะต้องได้รับอนุญาต แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม จึงทำให้ทางนำสืบของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องจริง การที่จำเลยอ้างว่ามีสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น เห็นว่า สิทธิดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่บัญญัติไว้ คือ ต้องมีกฎหมายออกมารองรับซึ่งเป็นกฎหมายประกอบกฎหมายรัฐธรรมนูญ ก็คือ พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 ซึ่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ได้กำหนดให้มีสถานีวิทยุกระจายเสียงในระดับท้องถิ่นให้เพียงพอ โดยให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเป็นคณะกรรมการร่วมทำหน้าที่บริหารคลื่นความถี่และมีอำนาจออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนด และเมื่อได้ประกาศราชกิจจานุเบกแล้วใช้บังคับได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่า ในขณะนี้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) ยังไม่ได้รับโปรดเกล้าสนองพระบรมราชโองการ ก็ถือได้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้น ต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 ที่นำมาใช้บังคับไปพลางก่อน แต่พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 80 ไม่ได้เปิดช่องให้ทางราชการพิจารณาจัดสรรคลื่นความถี่ออกใบอนุญาตประกอบกิจการได้ จำเลยก็ไม่สามารถที่จะดำเนินการจัดตั้งสถานีวิทยุชุมชนได้ และการที่จำเลยอ้างว่ากระทำโดยสุจริต แม้จำเลยจะมีสิทธิตามที่กำหนดในกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่การมีสิทธิดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฏหมายเฉพาะเรื่อง ทั้งจำเลยตอบถามค้านว่า ได้ทราบในขณะที่ประชุมคณะทำงานกำหนดมาตรการเพื่อควบคุมดูแลการใช้คลื่นความถี่ของวิทยุชุมชนว่า ในการจัดตั้งศูนย์กระจายเสียงชุมชนและการจัดตั้งสถานีวิทยุชุมชนจะต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมาย จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ทราบว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายแล้ว การที่จำเลยยังดำเนินการต่อไปหลังจากวันที่ทราบเรื่องดังล่าว ถือว่าจำเลยกระทำโดยสุจริตหาได้ไม่ ซึ่งการกระทำของจำเลยตั้งแต่แรกจนถึงวันดังกล่าวได้สิ้นสุดขาดตอนไปแล้ว การที่จำเลยดำเนินการต่อไปถือว่าจำเลยได้กระทำความผิดอีก ถึงแม้ว่าการดำเนินการต่างๆ ของจำเลยจะได้เงินจากสำนักงานการลงทุนเพื่อสังคม และเจ้าหน้าที่ส่วนราชการต่างๆ ให้คำแนะนำและช่วยเหลือ ในการดำเนินการของจำเลยก็ต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายเช่นกัน จำเลยไม่อาจกล่าวอ้างได้เช่นกัน ส่วนที่จำเลยอ้างว่ามีมติคณะรัฐมนตรี เพื่อผ่อนผันเกี่ยวกับวิทยุชุมชน เห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีนั้นไม่ใช่กฎหมาย เป็นเพียงให้อำนาจนายกรัฐมนตรีที่จะออกคำสั่งหรือกระทำใดๆ โดยมติคณะรัฐมนตรี ในเมื่อนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรเท่านั้น และการจะให้มติคณะรัฐมนตรีมีผลใช้บังคับได้ต้องมีกฎหมายรองรับด้วย กรณีนี้เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับ การจับกุมผู้กระทำความผิดต่อกฎหมายก็ยังดำเนินต่อไป และการที่จำเลยอ้างว่าทางจังหวัดอ่างทองไม่มีหนังสือหรือคำตักเตือนไปยังจำเลยนั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยกระทำความผิดตามกฎหมาย จึงไม่จำเป็นต้องมีหนังสือหรือคำตักเตือน ดังนั้น ข้อกล่าวอ้างของจำเลยไม่มีเหตุผลที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้


 


พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน และปรับ 30,000 บาท ฐานตั้งสถานีวิทยุโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน และปรับ 30,000 บาท รวมจำคุก 6 เดือน และปรับ 60,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน ปรับ 40,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และริบของกลาง


 


 


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net