โดย นิตยสารรายสัปดาห์ "พลเมืองเหนือ"
โครงการสร้างโรงงานยาสูบแห่งใหม่ ที่บ้านแม่โจ้ ต.หนองหาร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ผ่านความเห็นชอบและได้รับอนุมัติในหลักการจากคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2547 ด้วยวงเงินลงทุนที่สูงถึงเกือบ 18,000 ล้านบาท มีกำลังผลิตที่มีกำลังการผลิต 25,000 ล้านมวนต่อปี
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวสืบเนื่องมาจากมติคณะรัฐมนตรีในปี 2534 ที่มีมติให้ย้ายโรงงานยาสูบไปสู่ภูมิภาคและพัฒนาพื้นที่เดิมไปเป็นสวนสาธารณะ
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องการสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ตามที่กระทรวงการคลังเสนอแล้วมีมติว่า อนุมัติให้โรงงานยาสูบฯ ดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่พร้อมเครื่องจักรที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยวิธีการจัดหาผู้รับจ้างแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลระหว่างประเทศไทยกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและใช้ดำเนินการการค้าต่างตอบแทนตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้นามในสัญญาระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G To G)
และได้ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อกำหนดตัวบุคคลและมอบอำนาจลงนามในสัญญาทั้งระดับรัฐบาลและระดับผู้ดำเนินการ ทั้งนี้ ผู้ลงนามในระดับผู้ดำเนินการนั้น ผู้อำนวยการยาสูบได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว
โดยบริษัทที่จะเข้ามาดำเนินการก่อสร้างร่วมกับประเทศไทยคือบริษัท ซีวายซี จากประเทศจีน
สำหรับวงเงินลงทุนโครงการ อนุมัติปรับเพิ่มวงเงินลงทุนสำหรับโครงการก่อสร้าง โรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ (จังหวัดเชียงใหม่) ตามรายการที่ปรากฏใน TOR จาก 13,014.00 ล้านบาท เป็น 14,733.50 ล้านบาท เพิ่มจำนวน 1,719.50 ล้านบาทอนุมัติวงเงินลงทุนเพิ่มเติมจำนวน 2,736.30 ล้านบาท ตามระบบในกระบวนการผลิตบางระบบ ซึ่งบริษัท ซีวายซี เสนอเพิ่มเติมจาก TOR เนื่องจากเป็นระบบที่จะช่วยทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพและมีความสมบูรณ์โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและช่วยลดต้นทุนในการผลิตและรองรับการแข่งขันในอนาคต
ขณะเดียวกันยังได้อนุมัติวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาจำนวน 200 ล้านบาท รวมเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 17,749.80ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่เกี่ยวข้องกับโครงการและเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการบริการโครงการ พร้อมทั้งอนุมัติให้โรงงานยาสูบฯเบิกจ่ายเงินสำหรับวงเงินลงทุนที่เปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นผลจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามอัตรแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เกิดขึ้นจริง
ความคิดเห็นของหน่วยงานภาครัฐต่อโครงการนี้ เช่น กระทรวงการคลัง แสดงความเห็นว่า โรงงานยาสูบเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่เหมาะสมที่จะตั้งอยู่บนพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร การก่อสร้างโรงงานยาสูบแห่งใหม่ที่บ้านแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้กับแหล่งผลิตใบยาจึงเป็นเรื่องที่มีความเหมาะสม และการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ที่มีเครื่องจักรทันสมัยจะสามารถช่วยลดต้นทุนในการผลิตและการสูญเสีย ทำให้โรงงานยาสูบมีศักยภาพในการแข่งขันได้สูงขึ้น ซึ่งสถานที่ตั้งของโครงการก็เป็นที่ดินของโรงงานยาสูบ
เช่นเดียวกับกระทรวงสาธารณสุข ก็ไม่ขัดข้องในการสร้างและย้ายโรงงานใหม่ของโรงงานยาสูบ แต่ไม่ควรเป็นการดำเนินการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนความต้องการยาสูบ ในเรื่องการพัฒนาสูตรส่วนประกอบของยาสูบ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนติดบุหรี่มากขึ้นส่งผลให้จำนวนและอัตราการสูบบุหรี่ของประชากรไทยเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ การพัฒนาศักยภาพของเทคโนโลยีและขยายโรงงานยาสูบใหม่ ควรจะเป็นไปตามขอบเขตแห่งกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ และพระราชบัญญัติควบคุมทั้ง 2 ฉบับ
ด้านกระทรวงอุตสาหกรรม เห็นชอบในหลักการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับการย้ายโรงงานไปตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม จะสามารถควบคุมไม่ให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่า ส่วนการจัดจ้างเป็นในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล จะเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ
ในส่วนของสำนักงบประมาณ เห็นชอบในหลักการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สอดคล้องกับสภาพัฒน์ ที่ระบุว่าเห็นควรสนับสนุนข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เพราะการย้ายและลงทุนใหม่ของโรงงานยาสูบมายังจังหวัดเชียงใหม่ แม้เป็นโครงการที่มีการลงทุนสูง แต่แหล่งเงินจะมาจากรายได้ของโรงงานยาสูบเอง โดยจะขอกันเงินนำส่งคลังจากผลกำไรประจำปี ซึ่งเพียงพอต่อการลงทุน โดยผลประโยชน์จากการลงทุนดังกล่าวจะก่อให้เกิดการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมบุหรี่และสร้างรายได้ให้แก่โรงงานยาสูบ และรัฐบาลต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ ยังได้นำเสนอประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาคือ พิจารณาความเหมาะสมด้านความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ เนื่องจากแนวโน้มในเรื่องการรักษาสุขภาพ และสภาวะการแข่งขันของบุหรี่จากต่างประเทศในอนาคต อาจส่งผลต่อความคุ้มค่าของโครงการ
ขณะที่การก่อสร้างโรงงานยาสูบในพื้นที่บ้านแม่โจ้ ต.หนองหาร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตชุมชนอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนควรมีการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ และควรมีการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย
หวั่นขบวนการคอรัปชั่น จับตา ซีวายซี เป็นใคร ?
ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 9 ที่จัดขึ้นที่สวนลุมพินี เมื่อวันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นาย
นายสนธิ ชี้ให้เห็นว่ามูลค่าเงินลงทุน 18,000 ล้านบาทในการก่อสร้างโรงงานยาสูบ ได้มีการร้องเรียนขึ้นมา การร้องเรียนครั้งนี้มาจากบริษัทที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโรงงานการผลิตยาสูบที่มีชื่อว่า เมสเซติ พาร์ตเนอร์ส โทแบ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลติ้ง ได้ทำหนังสือถึงท่านนายกฯ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2548 ที่ผ่านมา ในจดหมายร้องเรียนบระบุว่า จากประสบการณ์เป็นเวลานาน ทางที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโรงงานยาสูบ ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโรงงานยาสูบทั่วโลก และยืนยันว่าไม่เคยเห็นประสบการณ์ของบริษัทซีวายซีเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยเห็นว่าซีวายซี อยู่ในสารบบของเขา
ขณะที่ ซีวายซีไม่เคยมีความทันสมัยทั้งในด้านเครื่องจักร เทคโนโลยีใดๆ ทั้งสิ้นที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ และผลผลิตให้ได้มีคุณภาพ ซึ่งราคาในการลงทุนที่ซีวายซีเสนอกับโรงงานยาสูบของประเทศไทยนั้นมีอยู่ 2 ข้อ ข้อแรกคือ ค่าก่อสร้างตัวโรงงาน ข้อที่ 2 เครื่องจักรในสายการผลิตทั้งหมดรวมเบ็ดเสร็จเป็นมูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 450 ล้านเหรีญสหรัฐ โดยเฉพาะเครื่องจักร เครื่องจักรอย่างเดียวเป็นมูลค่าถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทั้งหมด เครื่องจักรมีมูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งราคาที่ว่านี้ที่ปรึกษาดังกล่าวบอกว่าผิดทั้งหมดอย่างแน่นอน
นายสนธิ กล่าวว่า บริษัทที่ปรึกษายกตัวอย่างให้ฟังว่า เมื่อปี 2543 และ 2544 บริษัทในระดับนานาชาติ อย่างฟิลิปมอ ริส ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่างดีในธุรกิจโรงงานยาสูบ ได้ลงทุนสร้างโรงงานยาสูบใหม่ด้วยกำลังการผลิตที่เท่ากับเชียงใหม่ที่ปัจจุบันลงทุน 1.8 หมื่นล้าน เขาลงทุนแค่ 8.8 พันล้านบาทเท่านั้น โรงงานนี้อยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ มีเครื่องจักรที่ทันสมัยมากกว่าเครื่องจักรที่ซีวายซีเสนออีก ทั้งๆ ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2543 และ 2544 หากจะคิดจากอัตราค่าเงินที่ปรับเพิ่มขึ้นในปัจจุบันปรับไปแล้ว จาก 8,800 ล้านบาทที่ฟิลิปมอริส ลงทุนไปเมื่อเกือบ 6 ปีก่อน ปัจจุบันเงินลงทุนอาจเพิ่มเป็น1.2 หมื่นล้าน ส่วนโรงงานที่เชียงใหม่สร้างกันถึง 1.8 หมื่นล้าน เป็นสัดส่วนที่ต่างกันถึง 50 เปอร์เซ็นต์ คำถามถามว่า ส่วนต่าง 6 พันล้านเข้ากระเป๋าใคร
ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2548 นาย
ด้านนาย
โครงการก่อสร้างโรงงานยาสูบมูลค่าเฉียด 18,000 ล้านบาท เป็น 1 ในโครงการเมกกะโปรเจ็กต์ของรัฐบาลที่จะนำมาถมที่จังหวัดเชียงใหม่ ทว่า บทเริ่มต้นของโครงการนี้คงต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแบบรอบด้าน และต้องพิสูจน์ความโปร่งใส เพราะการตั้งข้อสังเกตของผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เกี่ยวกับกรณีนี้ ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องหยุดรับฟัง เป็นอีก 1 คำถาม ที่รัฐบาลต้องรีบออกมาตอบ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)