ประชาไท8 ก.ย. 48 กรรมการกอส.ใต้ ระบุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตอกย้ำความหวาดกลัวของประชาชนในพื้นที่ เผยหลังประกาศใช้เพียง10 วัน ผู้นำศาสนาอิสลามถูกยิงดับ 8 ราย แต่ถูกปิดข่าวเงียบ พร้อมแฉโรงเรียนสอนศาสนาปอเนาะถูกคุกคามไม่เว้นวัน แต่รัฐไม่เคยตรวจสอบ
วันนี้ นายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคมในพื้นที่ ในคณะกรรมการเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ได้เข้าชี้แจงในฐานะนักวิชาการที่ทำงานในพื้นที่ ต่อคณะกรรมาธิการต่างประเทศ กรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกรรมาธิการวิสามัญภาคใต้ เพื่อรายงานปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เผยหลังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 10 วัน ผู้นำศาสนาเดี้ยง 8 ราย
"ข้อสงสัยที่เกิดขึ้นคือ ผู้นำศาสนาเหล่านี้เป็นจำเลยของรัฐมากกว่าผู้ก่อการร้ายหรืออย่างไร" นายอัฮหมัดสมบูรณ์ กล่าวขึ้น
นายอัฮหมัดสมบูรณ์ กล่าวว่า หลังประกาศใช้พ.ร.บ.บริการราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ได้เพียง 10 กว่าวันเท่านั้น มีผู้นำศาสนาอิสลามเสียชีวิตไป 8 ราย แต่ไม่ได้เป็นข่าวโดยทางราชการน่าจะตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเป็นของจริงหรือข่าวลือ ถือเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องทำให้เกิดความกระจ่างแก่ประชาชน"
ทั้งนี้ ประเด็นข้างต้นเป็นการพูดที่หนาหูสำหรับประชาชนในพื้นที่ แต่ไม่ปรากฏเป็นข่าว เนื่องจากหลังมีการใช้ พ.ร.ก.นี้ ได้มีเหตุระเบิดใน จ.นราธิวาส ทำให้นักข่าวถูกห้ามไม่ให้ไปทำข่าว และนักข่าวชาวต่างประเทศก็ถูกกักไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ โดยมีการหน่วงเหนี่ยวถึง 2 ชั่วโมง
นายอัฮหมัดสมบูรณ์ กล่าวต่อไปว่า "ไม่แปลกที่ 8 คนที่ตายไป ชาวบ้านไม่มีความสงสัยเลยว่าเป็นการกระทำของใคร เพราะจากการวิเคราะห์อย่างเป็นธรรมในพื้นที่ ถือเป็นเหตุการณ์ที่ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นน้อยมาก เพราะเป็นการทำลายฐานชุมชน รัฐต้องแสวงหาความเป็นจริงให้ประชาชน แต่ที่ผ่านมารัฐบาลกลับปล่อยปละละเลยไม่เคยเอาจริงเอาจัง"
อย่างไรก็ตาม นายอัฮหมัดสมบูรณ์ เห็นว่า ผู้นำศาสนาได้มีการเสียชีวิตตั้งแต่ 4 ม.ค. 2547 เป็นต้นมา และยังคงเป็นความสงสัยของประชาชน ในการที่รัฐไม่สามารถหาตัวคนผิดมาลงโทษได้แม้แต่คนเดียว แม้กรณีที่เกิดขึ้นกับคนไทยพุทธก็ตาม ซึ่งกระบวนการก่อการร้ายในระดับพื้นที่ก่อนมีการใช้กฎหมายนี้ไม่ปรากฏถี่ดังในปัจจุบัน
2 เหตุการณ์ไฟใต้ เหนือธรรมชาติ?
นายอัฮหมัดสมบูรณ์ กล่าวว่า "ในความรู้สึกของประชาชนเชื่อว่า การเกิดเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดจากการกระทำของผู้ก่อการร้าย แต่น่าจะมีการวางแผนเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับคดีปล้นปืนเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547 ที่ค่ายพัฒนาที่ 7 จ.นราธิวาส
ทั้งนี้ กรรมการกอส. อธิบายเหตุการณ์ว่า เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547 ช่วงหลังเที่ยงคืนในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง มีการเคลื่อนย้ายปืนถึง 300 กว่ากระบอก แม้มีทหารประจำอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม แสดงว่าผู้ก่อการมีศักยภาพสูงมากที่ทำได้ขนาดนี้ เท่ากับว่ายกเลิกกำลังทหารไปได้เลย ซึ่งความสามารถอย่างนั้นมันเหนือความเป็นจริง หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกอย่างเต็มรูปแบบ
"เช่นเดียวกับเหตุลอบวางระเบิดหลายจุดในพื้นที่จ.ยะลา เมื่อวันที่14 ก.ค.ที่ผ่านมา แม้ว่าทางการจะมีการเตรียมการและเฝ้ามองอย่างระมัดระวัง ผมเชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธกว่า 30,000 นาย ใน 3 จ.ภาคใต้ ที่สามารถปกป้องความปลอดภัยได้ แต่กลับปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นซึ่งไม่เป็นธรรมชาติ โดยในคืนนั้นเจ้าหน้าที่ไม่กล้าออกมาดับเพลิงเพราะถูกวางตะปูเรือใบ นั่นเป็นเจตนาแอบแฝง ผมว่าอ้างว่ากลัวไม่น่าจะใช่ เพราะเหตุการณ์ระเบิดใน 2-3 จุดใน จ.ยะลา ถูกกระทำให้เหมือนเป็นธรรมชาติ" กรรมการกอส. อธิบาย
จี้รัฐตรวจสอบยิงโต๊ะอิหม่าม-131 มุสลิม
นาย
นายอัฮหมัดสมบูรณ์ มองว่า กรณี นาย
นอกจากนี้ นายอัฮหมัดสมบูรณ์ ชี้ว่า โต๊ะอิหม่ามเป็นบุคคลที่มีความรู้ ซึ่งมักจะตกเป็นเป้าของเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น โดย 2 วันหลังจากที่โต๊ะอิหม่ามเสียชีวิตก็เกิดเหตุการณ์ 131คน หลบหนีเข้ามาเลเซีย และมีข่าวว่าจะเข้าไปอีก 100 คน ซึ่งรัฐต้องเร่งตรวจสอบในเรื่องนี้
"การเคลื่อนย้ายของ 131 คน บ่งบอกถึงการเคลื่อนย้ายเพื่อความปลอดภัย ไม่ใช่ว่าไทยต้องไปบีบคั้นให้มาเลเซียส่งคนกลับ แต่ที่สำคัญสาเหตุที่หนีนั้นเป็นเรื่องใหญ่กว่า แต่รัฐบาลก็มักมีคำตอบอยู่แล้ว" กรรมการกอส. กล่าว
อย่างไรก็ตาม นาย
"ปอเนาะ" เหยื่อ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน
"หลังประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นการตอกย้ำความกลัวและความหวาดระแวงของเด็กๆ และผู้ปกครองในความปลอดภัยของชีวิตมากขึ้น" นายอัฮหมัดสมบูรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นร.ร.สอนศาสนาปอเนาะ ใน อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ซึ่งเท่ากับเป็นตักศิลาของชุมชนมานับ 100 ปี กำลังถูกทำลายมากขึ้น
"ภาพนักเรียนที่ต้องนั่งยองๆ ขณะที่บนหัวมีทหารพร้อมอาวุธปืนร้ายแรง เด็กๆ ถูกจับไปสอบสวน 5 คน นานกว่า 30 วัน และยังมีผู้ปกครองแจ้งว่ามีนักเรียนระดับ 9-10 ได้หนีออกจากชั้นเรียนเพราะกลัวโดนเหวี่ยงแหไปด้วย" กรรมการกอส. เล่าเหตุการณ์
ขณะที่ ร.ร.ในอ.ยะรัง ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นแนวร่วมการก่อการร้ายในทันที เนื่องจากเจ้าหน้าที่อ้างหลักฐานว่าพบภาษายาวี แผนที่ ซึ่งนายอัฮหมัดสมบูรณ์ เห็นว่า "ที่จริงแล้วเป็นเรื่องพื้นๆ ไม่แตกต่างกรณีที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎ จ.ยะลา ซึ่งพบกางเกงทหาร และหาว่าเป็นซ่องโจร เท่ากับเป็นการทำของธรรมดาให้กลายเป็นหลักฐานสำคัญขึ้นมา"
เหตุการณ์ดังกล่าว แสดงถึงความกังวลในความปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้นหลังประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารตั้งด่านอยู่บริเวณหน้าร.ร.มากขึ้น เท่ากับเป็นการกระทำที่ไม่ส่งเสริมความสมานฉันท์ปลอดภัยแต่อย่างใด
"ร.ร.จีฮาด ถูกสั่งยุบโดยผู้ว่าฯ จ.ปัตตานี ผมมองว่าการสั่งปิดนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การคุ้มครองความรู้สึกของนักเรียนและผู้ปกครองเป็นเรื่องใหญ่มาก ขณะที่รัฐไม่เคยตระหนักด้านสังคมจิตวิทยาเลย แต่กลับให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านดินแดนเป็นเป้าหมายหลัก" นักวิชาการในพื้นที่ ระบุ
อย่างไรก็ดี นายอัฮหมัดสมบูรณ์ แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "ความปลอดภัยในอนาคตของประชาชนอยู่ในความมืดมาก เจ้าหน้าที่เห็นรูด้วงตามต้นไม้ ก็มองว่าเป็นรูกระสุน เห็นต้นไม้โน้มก็ว่าเป็นสถานที่ฝึกยิงปืนไปหมด"
ความกลัวที่รัฐหยิบยื่นให้
"รัฐต้องเข้าใจว่าตอนนี้เกิดวิกฤตความศรัทธาของประชาชนต่อเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ชาวบ้านกลัวไม่กล้าออกไปตัดยาง และเมื่อมีทหารเข้ามาในพื้นที่ทำให้ชาวมุสลิมยิ่งกลัวกันมากขึ้น" นายอัฮหมัดสมบูรณ์ ชี้แจง
ขณะที่ นายอัฮหมัดสมบูรณ์ได้ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือใน จ.ยะลา โดยมีทหารประจำอยู่ทุกซอกซอย แต่กลับมีการยิงกันตายมากที่สุด ซึ่งเห็นได้ชัดว่าแม้มีทหารเต็มไปหมด แต่ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยได้เลย เท่ากับว่ามีทหารมากยิ่งทำให้เกิดความหวาดกลัวมากขึ้น
"ชาวบ้านเกิดความหวาดกลัวต่อเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการ มีการตั้งด่านเกือบทุกเช้า แม้คนไม่เคยทำความผิด เมื่อเห็นทหารมาวนเวียนอยู่ก็กลัวแล้ว พราะชาวบ้านเขาก็กลัวถูกเก็บเหมือนกัน" นักวิชาการในพื้นที่ เผยข้อมูล
"เมื่อ กอส. เข้าไปตรวจในเรือนจำ ผมเห็นความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น โดยพบว่ามีผู้ต้องหาที่ยังไม่ถูกแจ้งข้อหากลับถูกโซ่ตรวน ซึ่งเป็นภาพที่กระทบจิตใจพอสมควร โดยได้แจ้งเจ้าหน้าที่ให้แก้ไขในส่วนนี้แล้ว แต่ยังไม่คืบหน้าแต่อย่างใด โดยความรู้สึกรวมๆ แล้วหลังจากที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินประกาศใช้ ทำให้ประชาชนรู้สึกหนักหน่วงในความปลอดภัย สับสนในการจัดการของรัฐบาล ซึ่งน่าจะสร้างความวุ่นวายเกิดมากขึ้นอีกหรือไม่" นายอัฮหมัดสมบูรณ์ ตั้งคำถาม
แฉ รุนแรงเพราะรัฐหลงทาง
"ผมเข้าใจว่ารัฐวางยุทธวิธีแก้ปัญหาหลงทางมาโดยตลอด โดยไม่เข้าใจรากเหง้าของปัญหาอย่างแท้จริง ผมเห็นว่า 20% เป็นการกระทำของกลุ่มก่อการร้าย นอกนั้น 80% เป็นการสวมรอยทั้งสิ้น" นายอัฮหมัดสมบูรณ์ แสดงความเห็น
ทั้งนี้ ยังได้กล่าวต่อไปว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวทางแก้ไขปัญหาของรัฐ ตั้งแต่ต้นมาผิดทางในการที่มองว่าปัญหาเกิดจากการแบ่งแยกดินแดนทั้งหมด โดยละเลยมิติด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งเป็นมิติที่ยิ่งใหญ่กว่าการแยกดินแดนด้วยซ้ำไป
"รัฐจะลงยึดพื้นที่ให้มากที่สุด เช่น กรณีการตายของโต๊ะอิหม่าม ที่บ้านห้วยละหาน เนื่องจากเพราะความเข้าใจในส่วนของรัฐว่าจะต้องเข้าไปคุมพื้นที่ให้ได้ แต่ถ้าไม่สามารถควบคุมได้ก็จะบอกว่าหมู่บ้านนั้นถูกยึดจากผู้ก่อการแล้ว เป็นต้น" นายอัฮหมัดสมบูรณ์ อธิบาย
อย่างไรก็ดี นาย
ชี้ ใบปลิววันศุกร์ เตือนสติรัฐ
นายอัฮหมัดสมบูรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับใบปลิวหยุดวันศุกร์นั้น เป็นการทำให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำที่สอดรับกับบางกลุ่มต่อการทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจชุมชน เท่ากับเป็นช่องทางการต่อสู้ของผู้ก่อการ ซึ่งน่าจะเป็นการเตือนสติรัฐบาลได้ประการหนึ่งว่ามีความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงต่อการคุ้มครองความปลอดภัยแก่ประชาชน
"การประกาศให้หยุดกิจกรรมในวันศุกร์นั้น น่าจะเป็นสิ่งทำให้รัฐบาลนิ่งคิดและหาทางออกในการแก้ปัญหาจริงๆ และต้องมองว่าการต่อสู้โดยใช้พลังประชาชนเป็นสิ่งที่ได้ผลและรัฐไม่สามารถปฏิเสธได้ โดยเหตุการณ์นี้น่าจะกระตุ้นให้รัฐบาลนำแนวทางสันติวิธีมาใช้มากกว่าอย่างอื่น แต่ว่าการโต้ตอบของรัฐบาลดูจะไม่ส่งเสริมทางสันติวิธีมากนัก เห็นได้ชัดว่าทหารเต็มไปหมดแต่ชาวบ้านก็ยังไม่กล้าออกมาขายของ" กรรมการกอส.เผยมุมมอง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)