ปี2502-2507 กรุงเทพมหานครได้เริ่มดำเนินการโดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อเจรจาจัดซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดิน และทรัพย์สินด้านหลังป้อมมหากาฬตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2502 ซึ่งมีที่ดินจำนวนทั้งสิ้น 21 แปลง และทางกรุงเทพมหานครสามารถติดต่อขอซื้อที่ดินได้ 2 แปลง ในปี พ.ศ.2503 และปี พ.ศ.2507
ปี2515 ก็ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง เรียกว่า "คณะกรรมการดำเนินการเพื่อจัดซื้อที่ดินบริเวณหลังป้อมมหากาฬ อำเภอพระนคร" มีเทศมนตรีเทศบาลนครหลวง เป็นประธาน คณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการเจรจาจัดซื้อที่ดินซึ่งในขณะนั้นเหลือจำนวนที่ดินอีก 19 แปลง และอาคารอีกจำนวน 44 หลัง และสามารถซื้อที่ดินเพิ่มได้อีก 8 แปลง (รวมที่ซื้อไว้เดิมอีก 2 แปลง เป็น 10 แปลง) อาคารจำนวน 8 หลัง ต่อมากระทรวงการคลังได้มอบที่ดินให้เทศบาลเพิ่มอีก 1 แปลง จึงยังคงเหลือที่ดินที่จะต้องเจรจาจัดซื้ออีกจำนวน 10 แปลง อาคารสิ่งปลูกสร้างจำนวน 36 หลัง
ปี2527 มีการจัดตั้งคณะกรรมการชุมชนป้อมมหากาฬเป็นครั้งแรก โดยมีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ 1 ปี คณะกรรมการชุดแรกมีสมาชิกทั้งหมดประมาณ 7 คน โดยมี นายบุญช่วย (ไม่ทราบนามสกุล) เป็นประธานชุมชน
ปี2532 กรุงเทพมหานครได้ส่งนักศึกษาเข้ามาในชุมชนประมาณ 10 คน เพื่อมาสำรวจ พื้นที่ และบ้านเรือนของชาวบ้านในชุมชนอย่างละเอียด ภายในระยะเวลา 5 วัน
ปี2535 ได้มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะทำ
การเวนคืนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสร้างสวนสาธารณะ และอนุรักษ์โบราณสถาน ในการดำเนินการครั้งนี้เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 โดยได้ทำการสำรวจ และประเมินราคาที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างให้ตรงตามราคาที่เป็นจริง ซึ่งทางกรุงเทพมหานครได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาราคาค่าทดแทนที่ดิน และอาคารที่มีอยู่ทั้งหมดในขณะนั้น ซึ่งสามารถเจรจาทำความตกลงกับเจ้าของที่ดินที่เหลือทั้งหมด 10 แปลงได้ ส่วนอาคารสิ่งปลูกสร้างในช่วงนี้ มีจำนวนเพิ่มจากเดิมเป็น 92 หลัง ซึ่งก็สามารถเจรจาทำความตกลงกับเจ้าของได้ทั้งหมดเช่นกัน โดยเจ้าของที่ดินได้รับเงินค่าทดแทนไปครบถ้วน 100% ส่วนอาคารและสิ่งปลูกสร้าง เจ้าของเกือบทั้งหมดได้ทยอยทำสัญญา และรับเงินค่าทดแทนงวดแรกจำนวน 75% สำหรับเงินส่วนที่เหลือจำนวน 25% กรุงเทพมหานครได้นำฝากไว้ที่ธนาคารออมสิน สาขาราชดำเนิน ซึ่งในส่วนนี้จะจ่ายให้ก็ต่อเมื่อเจ้าของอาคารได้ทำการรื้อถอนอาคาร และสิ่งปลูกสร้างออกไปแล้ว คงมีเจ้าของอาคารเพียง 2 นาย ที่ไม่ได้มาทำความตกลง ซึ่งกรุงเทพมหานครได้นำฝากไว้ที่ธนาคารออมสิน
1 ตุลาคม 2536 สำนักนายกรัฐมนตรีออกประกาศกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ลงชื่อนายชวนหลีกภัย นายกรัฐมนตรี
ปี 2536 กรุงเทพมหานครส่งจดหมายแจ้งให้ชาวชุมชนป้อมมหากาฬไปรับเงินค่าทดแทน อาคาร โดยค่าทดแทนอาคารจะอยู่ระหว่างรายละ 5 หมื่นบาท ถึง 5 แสนบาท
ถ้าชาวชุมชนป้อมมหากาฬ ไม่ยอมรับค่าเวนคืนภายใน 3 วัน จะนำรถมาไถให้หมดทั้งชุมชน ด้วยเหตุผลดังกล่าว ชาวชุมชนจึงยอมรับเงินค่าเวนคืนงวดแรกจำนวน 75% บางส่วนมีที่อยู่รองรับที่ดีแล้ว จึงรับ 100%แล้วรื้อถอนบ้านออกไปอยู่ที่อื่น
ปี2536-2537 กรุงเทพมหานครได้แต่งตั้งคณะทำงานรื้อย้ายชุมชนป้อมมหากาฬ โดยมีรองปลัดกรุงเทพมหานครเป็นประธาน และได้ส่งตัวแทนของชุมชน และการเคหะแห่งชาติเข้าเป็นคณะทำงานด้วย
ปี 2538 ชาวบ้านในชุมป้อมมหากาฬทำสัญญา และรับเงินค่าทดแทนเกือบทั้งหมด คงมีเพียงเจ้าของอาคาร 2 รายที่ไม่ได้มาทำความตกลง ซึ่งกรุงเทพมหานครได้นำฝากไว้ที่ธนาคารออมสิน สาขาราชดำเนิน 100% แล้วเช่นกัน
ปลายปี 2538 การเคหะแห่งชาติลงมาในชุมชนเสนอที่ดินของการเคหะฯ ที่ถนนฉลองกรุง เขตมีนบุรี เพื่อจัดเป็นสถานที่รองรับการรื้อย้ายของชาวบ้านในชุมชน มีชาวบ้านจำนวน 44 รายยื่นความจำนงตกลงที่จะย้ายเข้าไปอยู่ในที่ดินของการเคหะ ในจำนวน 44 รายนี้ 14 รายได้ทำสัญญาดาวน์บ้านตามโครงการของการเคหะฯ ส่วนที่เหลืออีก 30 รายยังขอดูท่าที การเคหะฯ แจ้งว่าในอนาคตระบบสาธารณูปโภคทุกอย่างจะพร้อม
ปี2539 14 ตุลาคม ปี 2539 พระราชกฤษฎีกาเวนคืนเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงบวรนิเวศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ 4 ปีได้หมดอายุความลง ระยะเวลาผ่านไป ชาวบ้านในชุมชนไปดูที่ดินในโครงการของการเคหะฯ ที่ฉลองกรุง พบว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวยังไม่มีการพัฒนาในระบบสาธารณูปโภค ประกอบกับความไม่พร้อมของชุมชนที่จะต้องย้ายไปอยู่อาศัยจากวิถีชีวิตแบบเดิม
ปี2540 ชาวบ้านในชุมชนเข้าไปคุยกับทางการเคหะแห่งชาติเพื่อให้การเคหะฯ ลงมาดูแล หลังจากนั้นการเคหะฯ กลับลงมาในชุมชนอีกครั้งพร้อมด้วยแผนผังโครงการที่ฉลองกรุง เพื่อให้ชาวบ้านได้เลือกจับจอง โดยทางการเคหะฯ สัญญาว่าสาธารณูปโภคจะพร้อมทันที่ที่ชาวบ้านเข้าไปก่อสร้างบ้านในพื้นที่
ปลายปี2540 การเคหะฯ แห่งชาติเปลี่ยนสถานที่ส่งเงินผ่อนชำระค่าผ่อนดาวน์จากเดิมที่ธนาคารทหาร สาขาราชดำเนิน เปลี่ยนมาเป็นที่การเคหะฯ มีนบุรี
ปี2541 ชาวบ้านในชุมชนกลับเข้าไปดูที่ดินในโครงการของการเคหะฯ อีกครั้งปรากฏว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นในพื้นที่ ชาวบ้านถ่ายรูปพื้นที่ของโครงการฯ แล้วนำกลับเข้ามาปรึกษาหารือกันภายในชุมชนถึงปัญหาการไม่พัฒนาของโครงการดังกล่าว ประกอบกับความไม่พร้อมของชาวบ้านในชุมชนที่จะต้องย้ายที่อยู่อาศัยไปไกลจากวิถีชีวิตในแบบเดิม ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้เริ่มมีการติดต่อประสานงามความช่วยเหลือจากชุมชนศิริอำมาตย์ ซึ่งประสบกับปัญหาการเวนคืนที่คล้าย
คลึงกัน เริ่มมีคนจากคลองเตย จากสถาบันพัฒนาชุมชนเมือง (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนในปัจจุบัน) เข้ามาให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการต่อสู้
ปี2538-2541 ชาวบ้านในชุมชนยื่นเรื่องต่อทางกรุงเทพมหานครขอผ่อนผันระยะเวลาการรื้อย้ายไว้ชั่วคราว โดยหยิบยกเอาปัญหาเรื่องการศึกษาของบุตรหลานในชุมชนเป็นเหตุผลในการขอผ่อนผัน
กลางปี 2541 สถาบันพัฒนาชุมชนเมือง และองค์กร NGOs ต่างๆ ได้เข้ามาให้ความรู้ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายองค์กรเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน
ปลายปี 2541 ชาวบ้านจัดทำผังบ้านของชุมชนแบบที่ 1 ร่วมกับสถาปนิกจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน พร้อมทั้งเสนอผังชุมชนกับทางกรุงเทพมหานครร่วมกับชุมชนอีก 7 ชุมชน
ปี2542 มีการเลือกตั้งคณะกรรมการชุมชนขึ้นมาใหม่ทดแทนคณะกรรมการชุมชนชุดเดิมภายหลังจากที่ชุมชนถูกถอนสภาพออกจากการเป็นชุมชนโดยทางสำนักงานเขตพระนคร เมื่อปี 2534 คณะกรรมการชุมชนชุดใหม่ ประกอบไปด้วยคณะกรรมการทำงานจำนวน 11 คน และคณะกรรมการกลุ่มออมทรัพย์ 9 คน ซึ่งกรรมการทั้ง 2 ชุดดำรงตำแหน่งวาระละ 2 ปี
2 มีนาคม 2542 เกิดคณะกรรมการกลุ่มออมทรัพย์ชุดแรกภายใต้คำแนะนำของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน โดยมี นางนงลักษณ์ วรมหาคุณ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกลุ่ม ในปีเดียวกันนี้ชุมชนป้อมมหากาฬได้ข้อสรุปแนวความคิดขอแบ่งพื้นที่เช่าในการปลูกสร้างบ้าน พร้อมทั้งได้ยื่นข้อเสนอดังกล่าวต่อกรุงเทพมหานคร ในระหว่างนั้นทางชุมชนได้ทำกิจกรรมพัฒนาชุมชนในด้านต่างๆ ตามแผนข้อเสนอที่ได้ยื่นเอาไว้ สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศเริ่มเข้ามาทำข่าว
ปี2543 นายพิจิตร รัตตกุล ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในขณะนั้นประกาศ แนวความคิด "คนสามารถอยู่คู่กับคลองได้" ชุมชนจึงได้ทำโครงการพัฒนา "คนอยู่ร่วมกับคลอง" ร่วมกับเครือข่ายพัฒนาที่อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมคูคลอง นางบรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย รองผู้ว่าฯ เข้าเยี่ยมดูรายละเอียดชุมชน และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นพร้อมทั้งรับข้อเสนอการขอแบ่งปันพื้นที่เพื่อที่อยู่อาศัย หลังจากนั้นต่อมานางบรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย ได้เสนอที่ดินอีกแปลงในพื้นที่บางแวก เขตภาษีเจริญ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกรมธนารักษ์ให้เป็นพื้นที่รองรับการรื้อย้ายของชาวบ้าน แต่ชาวบ้านในชุมชนป้อมมหากาฬปฏิเสธข้อเสนอ เนื่องจากการคมนาคมไม่สะดวก โดยยังคงยื่นยันในข้อเสนอเดิม ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวชาวบ้านในชุมชนมีการจัดสัมมนาในเวทีต่างๆ
ปลายปี 2544 นักวิชาการจากสถาบันการศึกษา และองค์กร NGOs ต่างๆ เริ่มเข้ามาในชุมชนเพิ่มมากขึ้น
กุมภาพันธ์ 2546 กรุงเทพมหานครติดป้ายประกาศแจ้งกำหนดการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในชุมชนชาวบ้าน 104 รายยื่นเรื่องต่อศาลปกครองกลางเพื่อให้พิจารณาอำนาจในการเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนของกรุงเทพมหานคร ในบริเวณพื้นที่โครงการระยะที่สอง ตามพระราชกฤษฎีกาเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ปี2535 ศาลปกครองกลางรับพิจารณาวินิจฉัย พร้อมทั้งสั่งระงับการรื้อย้ายไว้ชั่วคราว 30 วัน
12 พฤษภาคม 2546 ตัวแทนชุมชนส่งจดหมายเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาแก่คณะกรรมมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ เพื่อขอร้องให้คณะกรรมการชุดนี้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดการไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ
16 พฤษภาคม 2546 คณะกรรมมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติย้ำเตือนรัฐบาลไทยให้ทำตามสนธิสัญญานานาชาติ และหยุดการใช้ความรุนแรงในแผนการไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ
31 พฤษภาคม 2546 จัดเวทีการสัมมนา "ทางแพร่งแห่งการพัฒนา" ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
25 สิงหาคม 2546 จัดเวทีการสัมมนา "สิทธิชุมชนป้อมมหากาฬกับการเมืองเรื่องการท่องเที่ยว อนาคตตัวแสดงนอกภาครัฐในกระบวนการนโยบายสาธารณะ" ที่ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กันยายน 2546 ศาลปกครองกลางพิจารณาพิพากษายกฟ้อง ชาวบ้านในชุมชน 91 ราย ยื่น
อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
14 มกราคม 2547 ชาวบ้านในชุมชนพบกับเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครในประเด็นการเข้าปรับปรุงพื้นที่โครงการระยะที่หนึ่ง จำนวน 2 ไร่
20 มกราคม 2547 กองทัพบกตามการว่าจ้างของกรุงเทพมหานครเข้าปรับพื้นที่ตามโครงการระยะที่หนึ่ง
25 มกราคม 2547 ชาวบ้านชุมชนป้อมมหากาฬจัดกิจกรรมส่งมอบสวนให้กับกรุงเทพมหานครเพื่อเถิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสพระชนมายุครบ 6 รอบ
21-22 กุมภาพันธ์ 2547 ชาวบ้านจัดสัมมนาภายในเพื่อทบทวนปัญหา และแนวทางตลอด
ระยะเวลาที่ผ่านมา ที่จังหวัดระยอง
12 สิงหาคม 2547 กรุงเทพมหานคร เปิดสวนสาธารณะป้อมมหากาฬ (ไม่เป็นทางการ)
4 พฤศจิกายน 2547 เปิดประชุมเรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของกรุงเทพมหานคร" และพิจารณาข้อเรียกร้องของเครือข่ายสลัม 4 ภาค โดยผู้ว่าฯ นายอภิรักษ์กล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ 1 ชุด เพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาและไม่มีนโยบายไล่รื้อ
2 ธันวาคม 2547 กรุงเทพมหานครได้เปิดประชุมครั้งที่ 1 โดยมีคณะกรรมการชุดใหม่ ร่วมประชุมพร้อมเสนอชุมชนนำร่องเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย อันประกอบด้วย ชุมชนเพชรคลองจั่น ชุมชนโรงหวาย ชุมชนหลวงวิจิตร ชุมชนป้อมมหากาฬ ( 4 ชุมชนนำร่องในพื้นที่รับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร) และกรณีชุมชนอื่นๆ
ปีพ.ศ. 2548
1 กุมภาพันธ์ 2548 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายกิติศักดิ์ สินธุวณิชรองเลขาธิการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน พร้อมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงการบ้านมั่นคงในกรุงเทพมหานคร ณ ห้องรับรองศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
24 มีนาคม 2548 ชุมชนป้อมมหากาฬร่วมกับวิทยาลัยการจัดการทางสังคม (วจส.) จัดเวทีอภิปราย เวทีสังคมสนทนา เรื่อง "ความลวงของความจริง ตอน ชุมชนแถลง กำแพงฯ พูด"โดยมีนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาต่างๆ พร้อมด้วยผู้แทนจากกรุงเทพมหานครหลายหน่วยงานร่วมด้วย
29 มีนาคม 2548 ผู้แทนชุมชนป้อมมหากาฬ ยื่นหนังสือต่อประธานในการแก้ปัญหาของเครือข่ายสลัม 4 ภาค ท่านรองผู้ว่าฯ เพ็ญศรี พิชัยสนิธ เพื่อติดตามผลและขอให้เปิดประชุม
23 พฤษภาคม 2548 ผู้แทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค พร้อมผู้แทนจากชุมชนต่างๆ ยื่นหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักพัฒนาชุมชนกรุงเทพมหานคร เพื่อขอให้กรุงเทพมหานครเปิดประชุมเพื่อติดตามผลถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย
22 มิถุนายน 2548 ความพยายามครั้งที่ 3 ที่ชุมชนพยายามติดตามผลเรื่องการยื่นหนังสือเพื่อขอเปิดประชุม
26 กรกฎาคม 2548 ความพยายามครั้งที่ 4 ที่ชุมชนพยายามติดตามผลเรื่องการยื่นหนังสือเพื่อขอเปิดประชุม
2 สิงหาคม 2548 เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร เข้ามาชุมชนป้อมมหากาฬ พร้อมปิดหนังสือประกาศ จากกรุงเทพมหานคร เข้าสำรวจชุมชน เพื่อประเมินราคา ค่ารื้อถอนและค่าขนย้ายให้กับชุมชน โดยอ้างถึงมติคณะกรรมการปรองดอง
8 สิงหาคม 2548 กรุงเทพมหานครเปิดประชุมร่วมกับคณะกรรมการชุดใหม่เพื่อประชุมหาแนวทางในการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยตามข้อเสนอที่ชุมชนได้ยื่นไป
แต่ปรากฎว่า กรณีชุมชนป้อมมหากาฬ กรุงเทพมหานครได้สรุปว่าชุมชนต้องย้ายออกจากพื้นที่โดยอ้างว่าเป็นมติคณะกรรมการปรองดอง
18 สิงหาคม 2548 เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครหลายหน่วยงาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่เทศกิจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 100 นาย เข้าพื้นที่ชุมชนป้อมมหากาฬ เพื่อสำรวจประเมินชุมชน ทั้งนี้ชุมชนฯ ได้อธิบายถึงข้อเสนอและหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ซึ่งผู้ว่าฯ ได้แต่งตั้ง แต่ในกระบวนการเจรจากลับล้มเหลว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่รับฟังเหตุผลและเข้าดำเนินการสำรวจชุมชนทันที ดังนั้น ชุมชนจึงยินยอมให้ดำเนินการ โดยเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครได้ทำการปิดประกาศจากกรุงเทพมหานครว่าจะเข้ามาทำการรื้อย้ายชุมชนตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 เป็นต้นไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ ตัวแทนชุมชนป้อมมหากาฬได้ยื่นแถลงการณ์ การหยุดไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬแก่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
24 สิงหาคม 2548 ตัวแทนชุมชนป้อมมหากาฬเข้าพบผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร จากนั้น ผู้ว่าฯ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน พร้อมคณะทำงานได้เดินทางเข้าพบปะกับพี่น้องชุมชนป้อมมหากาฬ ณ ชุมชนป้อมมหากาฬ เพื่อรับฟังปัญหาและทิศทางแก้ไข โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2548
* รวบรวมสรุป และเรียบเรียงจากเอกสารต่างๆ พร้อมทั้งคำสัมภาษณ์จากแกนนำชุมชนบางคน โดย น.ส.วิภาพรรณ ศิริพรรคชัย (วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2547)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)