ประชาไท26 ส.ค. 48 ประธานกมธ.ภาคประชาชนฯ แฉประชานิยมเป็นพายุร้ายคลอดทุกเช้าวันเสาร์ แถมฟันธงประชานิยมฝังรากในสังคมไทยแล้ว คงต้องรอจนกว่าคนไทยจะดวงตาเห็นธรรม เพื่อนำสู่รัฐสวัสดิการสังคม
นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา ประธานกรรมาธิการ(กมธ.) ภาคประชาชนตรวจสอบนโยบายความยากจนและสังคม ได้วิเคราะห์นโยบายประชานิยมและผลกระทบที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ต่อพี่น้องภาคประชาชนที่ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ทั้งนี้ นายสมเกียรติ กล่าวว่า "นโยบายประชานิยมมีที่ยืนในสังคมแล้ว และจะอยู่ยืนยาวต่อไป การปักหลักของประชานิยมได้ขายมากว่า 5 ปี และต่อไปทุกพรรคจะต้องลงมาเล่นโดยคิดเสนอต่อสังคมเรื่อยๆ นับเป็นองค์ประกอบของรัฐสภาและการเมืองไทยโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้"
ขณะเดียวกัน ประธานกมธ. เห็นว่า ประชานิยมเป็นปัจจัยเพิ่มจากปัจจัยสี่ตามศาสนาพุทธ จากปัจจัยที่ 5 และ 6 คือ ยานยนต์ และโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากประชานิยมได้แจกจ่ายไปทุกภาคส่วนของสังคม โดยคนรวยได้รับแจกมากหน่อย แต่เนื้อแท้แล้วนโยบายประชานิยมไม่มีความมั่นคงไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ลืมง่าย เห็นว่าประชาชนนิยมอันไหนก็ทำอันนั้น
สำหรับ การวิเคราะห์ของนายสมเกียรติ มองนโยบายประชานิยมว่ามีความสืบเนื่องด้านกาลเวลาที่จะมีอีกยาวนาน จนกว่าประชาชนจะดวงตาเห็นธรรมเพื่อปรับให้เป็นรัฐสวัสดิการ ประการต่อมา คือมีความสืบเนื่องด้านปริมาณสูง จากเดิมที่มีเพียง 5 ชุด แต่ปัจจุบันมีเกือบ 30 ชุด จนกลายเป็น "รัฐเอื้ออาทร" ไปเสียแล้ว
"นโยบายประชานิยมคือ พายุร้ายที่พัดสู่สังคมไทยทุกเช้าวันเสาร์ ในรายการนายกทักษิณคุยกับประชาชน เป็นพายุที่คลอดทุกวันเสาร์" นายสมเกียรติ เผยความเห็น
อย่างไรก็ตาม นายสมเกียรติยังมองถึงผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวว่ามีหลายประการ ดังนี้ ประการแรก ทุนทางสังคมและธรรมชาติถูกทำลายกลายทำให้กลายเป็นทุนติดลบ หนี้สินเพิ่มพูนขึ้น ความจริงแล้วประชานิยมต้องเข้ามาแก้ปัญหาในการลดหนี้เพิ่มรายได้ แต่ที่ผ่านมากลับไม่เป็นเช่นนั้น จึงทำให้ภาคประชาชนตั้งข้อสงสัยถึงความไม่สัมฤทธิ์ผล ทั้งยังมองว่าหนี้เหมือนการออกตุ่มตามเนื้อตามตัวอีกด้วย
ประการต่อมา ยังไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ จากรัฐว่าประชาชนสามารถรักษากรรมสิทธิ์ในที่ดินไว้ได้ มีแต่ทำให้ที่ดินหลุดมือไปมากขึ้น โดยเฉพาะการสูญเสียที่ดินในการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากสำนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินที่ดิน การจดทะเบียนที่ดินขายฝาก จะพบว่าประชานิยมมีส่วนสำคัญที่ทำให้ที่ดินภาคเกษตรหลุดมือไป
สำหรับประการที่ 3 นายสมเกียรติ กล่าวว่า "ความมั่นคงของรายได้ภาคเกษตรลดต่ำลง ประชาชนมีรายได้ต่ำและมีหนี้สินสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนมูลค่าส่วนเกินการผลิตว่าอยู่กับนายทุน ส่วนประการที่ 4 ขณะนี้ค่าครองชีพสูงขึ้น เป็นปรากฏการณ์ที่พลังของประชานิยมทำอะไรไม่ได้
"ประการที่ 5 ประชานิยมเปรียบเหมือนความรุนแรงแบบเงียบ สร้างระบบคิดใหม่ในทางที่ผิด การเสกคนจนให้เป็นเถ้าแก่ เท่ากับทำลายรากฐานเศรษฐกิจการพึ่งตนเอง เปลี่ยนความร่วมมือเป็นการแข่งขัน และสร้างระบบอุปถัมภ์ใหม่ที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะทำให้ผู้กู้ต้องสวามิภักดิ์ต่อผู้ให้กู้ และต้องขึ้นต่อนายทุนหมด ทั้งยังมองว่ารัฐบาลเป็นเทพสวรรค์ โดยมีประชาชนเป็นผู้รับส่วนบุญ" นายสมเกียรติ อธิบาย
อย่างไรก็ดี นายสมเกียรติ กล่าวในตอนท้ายว่า "ประชานิยมยังไม่ผ่านพ้นและยังมีข้อสงสัยจากสังคม ประชาชนก็จะเสพต่อไป จนกว่าจะดวงตาเห็นธรรมและปรับสู่รัฐสวัสดิการสังคมต่อไป"