ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ได้รับการยอมรับ มีผู้ใช้ภาษาอังกฤษอย่างแพร่หลายทั่วโลก ความสามารถทางภาษาอังกฤษจึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับอนาคตในการศึกษาและการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรในกลุ่มประเทศโลกที่สาม ความสามารถทางภาษาอังกฤษเป็นปัจจัยซึ่งจะกำหนดโอกาสทางการแข่งขัน ความได้เปรียบ ไปจนถึงการได้รับความนับหน้าถือตาจากสังคมในบางกรณี
การสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษในประเทศไทยปัจจุบัน มีหลายมาตรฐานที่นำมาใช้ทดสอบ บางส่วนเป็นมาตรฐานที่สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษากำหนดขึ้นมาเพื่อใช้วัดความรู้ของผู้ที่สมัครเข้าเรียนในสถานศึกษานั้น ซึ่งแต่ละมาตรฐานจะได้รับการยอมรับมากน้อยแตกต่างกันไป แต่หากพูดถึงมาตรฐานที่เป็นสากลและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ในปัจจุบันมีอยู่ 3 มาตรฐานที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย ได้แก่ Test of English as a Foreign Language (TOEFL), Test of English for International Communication (TOEIC) และ International English Language Testing System (IELTS)
ผลทดสอบระบุชัด คนไทยมีความสามารถต่ำในการใช้ภาษาอังกฤษ
ศ.ดร.อัจฉรา วงศ์โสธร ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ(ศสษ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) เปิดเผยว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตของภาษาอังกฤษ มีผลการเรียนและความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับต่ำ โดยข้อมูลจากอีทีเอส (Education Testing Service : ETS) แห่งสหรัฐอเมริกา ผู้จัดการสอบโทเฟล(TOEFL) ระบุว่าคะแนนเฉลี่ยโทเฟลจากการสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างเดือน ก.ค. 47 - มิ.ย. 48 ของไทยอยู่ในลำดับที่ 8 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย พม่า อินโดนีเซีย เวียดนาม และ ลาว ตามลำดับ โดยไทยมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 201 คะแนน และลาวมีคะแนนอยู่ที่ 203 คะแนน จากคะแนนเต็ม 300 คะแนน อย่างไรก็ตามลาวมีจำนวนผู้เข้าสอบเพียง 33 คน ขณะที่ไทยมีผู้เข้าสอบถึง 9,262 คน
ทั้งนี้ การสอบโทเฟลเป็นการสอบภาษาอังกฤษเพื่อนำคะแนนไปใช้ในการศึกษาต่อต่างประเทศ ลักษณะของข้อสอบมีทั้งส่วนที่เป็นการฟัง การอ่าน การเขียน และโครงสร้างภาษา นอกจากนั้นอีทีเอสยังเป็นผู้จัดการสอบโทอิค(TOEIC) ซึ่งเป็นการสอบภาษาอังกฤษเพื่อนำคะแนนไปใช้ในการสมัครงานต่างประเทศ เช่น ด้านสายการบิน โรงแรม และ ธนาคาร เป็นต้น ข้อสอบจะมีส่วนที่เป็นการฟังและหลักไวยากรณ์ มีคะแนนเต็ม 900 คะแนน คะแนนเฉลี่ยโทอิคระหว่างปี 2547 - 2548 ของไทยเป็นอันดับ 4 ของอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และกัมพูชา ตามลำดับ โดยไทยมีคะแนน 524 คะแนน ขณะที่กัมพูชามีถึง 606 คะแนน
ยิ่งไปกว่านั้น คะแนนเฉลี่ยภาษาอังกฤษจากการสอบเอ็นทรานซ์ตั้งแต่การสอบในเดือน มี.ค. 2545 - มี.ค. 4548 ไม่มีปีไหนที่มีคะแนนเฉลี่ยเกินร้อยละ 50 โดยในการสอบครั้งล่าสุดคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่เพียงแค่ร้อยละ 40.14 ทั้งที่ข้อสอบไม่ได้ยาก
"สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากการส่งเสริมการเรียนภาษาอังกฤษขาดความต่อเนื่อง ครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานอาจจำเป็นต้องสอนภาษาอังกฤษโดยไม่ได้จบวิชาเอกด้านภาษาอังกฤษมาโดยตรง ขณะเดียวกันหลักสูตรในระดับอุดมศึกษาให้ความสำคัญกับวิชาการมากกว่าการนำไปปฏิบัติใช้ในการสื่อสารได้จริง"
เร่งรัดพัฒนาหลักสูตรแก้วิกฤต
รศ.อรุณี วิริยะจิตรา ที่ปรึกษา ศสษ. กล่าวว่า ศสษ. ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับความเห็นชอบโดยมติคณะรัฐมนตรีให้จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือน ธ.ค. 2546 เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานหลักสูตรการฝึกอบรม จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรม ประสานการฝึกอบรมกับเครือข่ายสถาบันการศึกษาและองค์กรต่างประเทศ รวมทั้งติดตามประเมินประสิทธิภาพของการพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ดังนั้นเมื่อประเทศไทยตกอยู่ในภาวะวิกฤตของความสามารถทางภาษาอังกฤษ ศสษ. จะได้เร่งทำหลักสูตรการฝึกอบรมภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่แตกต่างจากหลักสูตรที่มีใช้อยู่ในสถาบันต่างๆตรงที่มีลักษณะจำเพาะเจาะจงในการนำไปใช้งานได้จริงในแต่ละอาชีพ เช่น แพทย์ พยาบาล มัคคุเทศก์ และพนักงานนวด เป็นต้น ทั้งนี้คาดว่าหลักสูตรจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ หลังจากนั้นจะเผยแพร่ไปยังหน่วยงานที่สนใจและมีความพร้อมด้านบุคลากร นำหลักสูตรไปใช้เพื่ออบรมภาษาอังกฤษได้
"นอกจากนั้น ศสษ. ยังได้จัดทำมาตรฐานภาษาอังกฤษสำหรับบุคลากรในกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อให้การฝึกอบรมด้านภาษาอังกฤษมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ รวมทั้งศูนย์ยังให้บริการด้านภาษาอังกฤษ เช่น แบบทดสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ และหลักสูตรการอบรมภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ รวมทั้งได้รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านภาษาอังกฤษเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอการประชุมเพื่อยกร่าง และทำประชาพิจารณ์ จากนั้นจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการบริหาร ศสษ. ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ต่อไป คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้"
นานาทรรศนะ : ชี้การสอบวัดระดับเป็นเพียงใบรับรองทางสถาบัน ไม่อาจบอกได้ถึงความ
สามารถที่แท้จริง
ธีรพงษ์ ลัพธวรรณ์ หัวหน้ากองบรรณาธิการ "Compass" นิตยสารฉบับหนึ่งในเชียงใหม่ซึ่งตีพิมพ์สองภาษา เป็นผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์ทำงานในฐานะล่ามและนักแปลมาอย่างโชกโชน กล่าวว่าการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในสถาบันการศึกษาของไทย มักไม่ค่อยเอื้อประโยชน์ต่อการนำไปใช้จริงเท่าไรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักจะวกวนอยู่กับหลักโครงสร้างภาษาและไวยากรณ์ ซึ่งบ่อยครั้งอาจพบว่าว่าคนไทยหลายคนมีความรู้ด้านหลักโครงสร้างและไวยากรณ์ภาษาอังกฤษดีกว่าเจ้าของภาษาบางคนด้วยซ้ำ แต่กลับไม่สามารถนำไปใช้ในการติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นความรู้ที่มาจากการท่องจำเป็นส่วนมาก แต่ขาดทักษะจากการฝึกฝนเพื่อนำไปใช้ในสถานการณ์จริง
"แต่การสอบวัดระดับของบางมาตรฐานก็สามารถวัดความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษได้ส่วนหนึ่ง แล้วแต่ลักษณะของแบบทดสอบด้วยว่าครอบคลุมทักษะสำคัญครบทุกด้านหรือไม่ แบบทดสอบที่เป็นปรนัยมากก็อาจวัดความสามารถที่แท้จริงได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะสามารถเดาคำตอบที่เป็นตัวเลือกได้ จากที่เคยทำงานเป็นล่ามมายอมรับเลยว่าไม่ได้ฟังรู้เรื่องทั้งหมด และพบว่าคนแต่ละชาติที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา จะมีรูปแบบการใช้ภาษาอังกฤษที่แตกต่างกันออกไป หาได้ยากที่จะใช้ภาษาอังกฤษได้เช่น
เดียวกับเจ้าของภาษา อย่างคนสิงคโปร์ส่วนมากก็จะใช้ภาษาอังกฤษแบบสิงลิช ซึ่งก็เป็นรูปแบบเฉพาะของชาวสิงคโปร์ คนไทยเองก็เป็นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามการใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริงเป็นประจำน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ" ธีรพงษ์ กล่าว
นักศึกษาระดับปริญญาโทรายหนึ่งยืนยันว่า โดยส่วนตัวแล้วเป็นผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสาร ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียน อยู่ในระดับที่พอใช้ได้ เคยสอบวัดระดับการใช้ภาษาอังกฤษซึ่งใช้แบบทดสอบของมหาวิทยาลัยที่ศึกษาอยู่ แต่สอบไม่ผ่านในครั้งแรกจึงต้องเข้าเรียนเพิ่มเติมในหลักสูตรที่ทางมหาวิทยาลัยจัดให้ เมื่อเรียนจบหลักสูตรดังกล่าวและมาสอบใหม่จึงสอบผ่าน แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วกลับพบว่าความสามารถด้านภาษาอังกฤษของตนกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับพนักงานบริษัทรายหนึ่งที่เปิดเผยว่า ตนเองจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาภาษาอังกฤษ แต่งานที่ทำอยู่ในปัจจุบันไม่ค่อยได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาสักเท่าใด ทำให้รู้สึกบ้างเหมือนกันว่าความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของตนถดถอยลงไป "หลังเรียนจบมาตั้งใจไว้เหมือนกันว่าจะสอบโทอิคเก็บคะแนนไว้ เผื่อว่าจะมีประโยชน์สำหรับการทำงานในอนาคต แต่ก็ยังไม่ได้ไปสอบเสียที งานที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ใช้ความรู้ภาษาอังกฤษมากนัก ก็เลยลืมๆไปบ้างแล้วเหมือนกัน แต่ก็พยายามหาโอกาสทบทวนและฝึกฝนอยู่เสมอ"
สันติภาพ อินกองงาม ศิลปินอิสระผู้มีผลงานแสดงในเวทีระดับนานาชาติมาหลายงาน รวมทั้งเคยเป็นอาจารย์พิเศษสาขาวิชาศิลปะและการออกแบบสื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ภาษาอังกฤษที่คนไทยส่วนมากเรียนรู้เป็นภาษาอังกฤษเชิงสถาบัน อ้างอิงอยู่กับหลักสูตรของสถาบันการศึกษาซึ่งค่อนข้างคับแคบและล้าหลัง ในความเป็นจริงแล้วประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองทั่วโลกมีจำนวนมากกว่าประเทศที่เป็นเจ้าของภาษา และการใช้ภาษาอังกฤษโดยผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษามักจะเป็นการใช้ในรูปแบบที่ผิดไปจากต้นตำรับ สรุปคือมีคนใช้ภาษาในรูปแบบที่เรียกว่าไม่ถูกต้องมากกว่าคนที่ใช้ภาษาในรูปแบบที่ถูกต้อง จึงเกิดความคลุมเครือขึ้นมาว่าควรยึดอะไรเป็นมาตรฐาน
"ก่อนหน้านี้ได้ไปลงเรียนหลักสูตรการเขียนเชิงวิชาการกับโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งมา เพราะคาดว่าน่าจะช่วยให้เขียนรายงานในรูปแบบที่ค่อนข้างเป็นทางการได้ดีขึ้น แต่เมื่อเรียนจนจบหลักสูตรก็พบว่าเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองแทบทั้งนั้น" สันติภาพ กล่าว
"ปัญหาของคนไทยอาจเป็นเพราะการเรียนภาษาอังกฤษจากภาษาไทย ทำให้เรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องคิดเป็นภาษาไทยก่อนแล้วจึงมาเปลี่ยนให้เป็นภาษาอังกฤษทีหลัง ขาดการโต้ตอบด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง อีกประเด็นหนึ่งอาจมาจากการที่ระบบการศึกษาไทยไม่ค่อยเอื้อต่อการแสดงความคิดเห็นเชิงอภิปราย เมื่อพูดคุยกับเจ้าของภาษาซึ่งมีเนื้อหาเชิงอภิปรายค่อนข้างสูง ทำให้อาจสื่อสารกันได้ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าที่ควร ความแตกต่างกันอย่างมากทางวัฒนธรรมก็อาจมีผลด้วยเช่นกัน"
อย่างไรก็ตามการนำความสามารถทางภาษาอังกฤษดังกล่าวของคนไทยไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว-เขมร หลายคนบอกว่าชวนให้รู้สึกถึงการเหยียดชาติพันธุ์ที่ยังคงครอบงำความคิดของคนไทยบางส่วนอยู่ไม่น้อย ทั้งที่ในความเป็นจริงความเจริญกว่าทางเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าประเทศไทยต้องเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้านในทุกๆด้านแต่อย่างใด
เช่นเดียวกัน การเรียนภาษาอังกฤษสู้เขาไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะทำให้เราด้อยกว่าเขาไปเสียทุกเรื่อง.