Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis






การรับเด็กมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมเป็นแนวทางหนึ่งสำหรับคนที่ไม่สามารถจะมีลูกได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องการจะมีลูก  การกระทำเหล่านี้เป็นทั้งทางที่จะเติมเต็มความต้องการของคู่สามีภรรยา และได้ช่วยเหลือเด็กที่ไร้พ่อแม่ที่แท้จริงดูแล ทว่า การรับเด็กที่เป็นต่างชาติที่แน่นอนว่าหน้าตาผิวพรรณจะแตกต่างออกไปจากพ่อแม่นั้น ไม่เพียงเฉพาะเด็กๆเท่านั้นที่ถูกตั้งคำถามในตอนโตขึ้น แต่พ่อแม่เองก็ถูกตั้งคำถามมากมายตั้งแต่ตอนต้น  พ่อแม่ชาวอเมริกันจำนวนหนึ่งเปิดเผยว่า เขาเจอคำถามอะไรกันบ้าง

 


พ่อแม่บุญธรรมในอเมริกาที่รับเด็กชาวต่างชาติมาเป็นลูกแทบทุกคนถูกถามว่า "เด็กนี่เป็นลูกจริงๆของคุณหรือ"


 


นอกจากนั้นยังมีคำถามต่ออีกว่า


"จะสอนยังไงให้พูดภาษาอังกฤษ"


"จ่ายเงินมาเท่าไรสำหรับเด็กคนนี้"


 


คริส ฮิวตัน จากสมาคมบ้านเด็กและงานบริการครอบครัว จากเมือง เซนต์ พอล เรียกคำถามเหล่านี้ว่าเป็น "คำถามแบบร้านจับห่วย" แม้ว่าบางตรั้งคนถามจะตั้งใจดีแต่ว่าเป็นคำถามที่ทำให้พ่อแม่บุญธรรมเหล่านี้ต้องสะอึก


 


หรือบางคนถามแบบขำๆว่า "เด็กคนนี้ร้องเป็นภาษาเกาหลีหรือเปล่านี่" ก็เป็นอีกหนึ่งในคำถามประหลาดๆ ที่คิม บราวน์ แม่บุญธรรมของลูกวัย 2 ขวบต้องเจอ


 


"ฉันคิดว่าเสียงร้องของเด็กเป็นภาษาสากลนะ" บราวน์ จากแคลิฟอร์เนียตอบ


 


อิลา กับ บิล ดอว์สัน  ได้รับบุตรบุญธรรมเป็นเด็กหญิงมาจากอินเดียชื่อ โซนาลี ถูกทำเป็นตลกต่อสิ่งที่คนอื่นพูดเสมอ อิลาเองก็มีเชื้อสายอินเดียอยู่ครึ่งหนึ่ง มีเพื่อร่วมงานมาพูดกับเธอว่า "น่าประหลาดจริงๆที่เธอสามารถได้เด็กหญิงที่สวยที่สุดมาจากประเทศที่ยากจนขนาดนั้น"


 


แมรี สโจเบริ์ก แห่ง แอปเปิ้ล วัลเลย์ ก็ได้รับคำถามแบบนี้เช่นกันหลังจากที่รับเด็กกัลกัตตา มาเป็นบุตรบุญธรรม ป้าของเธอถามว่า " อ๋อ  ที่อุตส่าห์ต้องไปรับบุตรบุญธรรมถึงอินเดียเพราะว่า พวกนั้นเขาเก่งคณิตศาสตร์ใช่มั้ย"


 


แม่ของคริสติน วอนเนกัต ถามว่า " แล้วเธอจะเป็นพุทธ หรือ" หลังจากที่วอนเนกัต ตัดสินใจที่จะไปรับบุตรบุญธรรมจากอินเดีย "ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกมาก" วอนเนกัจ แห่งมินเนสโซตา กล่าว " เพราะว่าคนอินเดียส่วนใหญ่ไม่ใช่ชาวพุทธ" พ่อสามีของวอนเนกัตสงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่ไปรับบุตรบุญธรรมมาจากแม็กซิโกซึ่ง " เป็นพวกที่หัวอ่อนกว่า"


 


สำหรับบิลกับอิลานั้นก็พบว่า มีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องภาษาของเด็กเมื่อพวกเขาได้รับมาเป็นบุตรบุญธรรม และมีคำถามแม้กระทั่งกับเด็กที่ยังพูดไม่ได้


 


" เด็กนี่เรียนภาษาอังกฤษหรือเปล่า" เป็นคำถามยอดนิยมอีกคำถามหนึ่ง สโจเบิร์กซึ่งเป็นครูรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อได้ยินคำถามนี้จากเพื่อนร่วมงานของเธอ


 


"โรงเรียนฉันก็เป็นโรงเรียนกึ่งสถาบันสอนภาษาอังกฤษ  เอ่อ ขอโทษนะ" สโจบิ์กกล่าว เธอรับคิรานมาเป็นบุตรบุญธรรมตอนที่มีอายุได้ 8 เดือน ตอนนี้อายุได้ 4 ขวบแล้ว


 


คริสตี เจนคินส์ จากอิลลินอยส์ อีกไม่นานก็จะได้อยู่ร่วมกับเด็กชายวัน 20 เดือนจากมุมไบแล้ว ตอนนี้เธอก็เป็นแม่เลี้ยงของเด็ก 2 คน และ มีลูกของตัวเอง 1 คน สต็อกคำตอบที่เธอเตรียมไว้ตอบคำถามต่อผู้ที่สงสัยว่าเธอจะสื่อสารกับลูกคนใหม่ของเธออย่างไรว่า "ฉันบอกพวกเขาว่า เราก็ไม่ได้เข้าใจลูกที่เกิดจากเราพูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษตอนที่เธออายุได้ 20 เดือนเหมือนกัน"


 


คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนั้นไม่ได้ตลกเลย  ก่อนที่ทารกจะเข้ามาอยู่ร่วมกับสโจเบริ์กนั้น เธอถูกถามว่า ลูกสาวของเธอจะมีจุดและมีขนหรือเปล่า เธองงมาก จนกระทั่งคนที่ถามก็อธิบายว่า หมายถึงจุดที่หน้าผากที่คนอินเดียมี และ ขนนกที่เป็นสัญลักษณ์ของพวกอินเดียนแดงบางเผ่าในอเมริกา


 


เธอยังได้ยินบางคนพูดอีกด้วยว่า "ขอบคุณพระเจ้า ที่เธอเติบโตมาเป็นคริสเตียน และจากคนแก่บางคนในมินเนสโซต้า " ถ้าเธอขัดผิวของเขา มันจะทำให้ขาวขึ้นอีกหน่อยมั้ยนี่"


 


บางคนก็โพล่งขึ้นมาว่า " จุดที่หน้าผากจะขูดออกมั้ยนี่"


"ฉันไม่สามารถนำคนแบบนี้เข้ามาในบ้านฉันได้หรอก"


"เธอไม่กลัวว่าคนจะคิดว่าเขามาจากตะวันออกกลางหรอกหรือ"


 


สุดท้ายเพื่อนร่วมงานของเจนคินส์คนที่พูดว่า " คนจะคิดว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้ายนะ" ก็เข้ามาถามเจนคินส์ว่า " เด็ก 20 เดือนสามารถเป็นผู้ก่อการร้ายได้ยังไงกันนะ"


 


เจนคินส์ตำหนิเรื่องที่เกิดขึ้นนี้กับรัฐที่เธออาศัยอยู่ที่อิลลินอยส์ว่า " ฉันคิดว่าฉันอาศัยอยู่ดินแดนของคนใจแคบที่นี่ และคิดว่ายังมีการเหยียดผิวอยู่มากๆด้วย"


 


ความคิดเห็นนี้ก็ได้ยินที่มินเนสโซต้า ซึ่งเป็นรัฐที่มีการรับบุตรบุญธรรมในอัตราสูงสุดของประเทศด้วยเช่นกัน


 


เบคกี สตีบเบอร์ ทำงานอยู่ที่สมาคมบ้านเด็ก และเป็นอีกคนหนึ่งที่มีบุตรบุญธรรมถึง 3 คน หมอซึ่งเข้ามาดูแลลูกชายคนหนึ่งของเธอที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง ถามเธอว่า "ที่นั่นเขา  ( หน่วยงานที่จัดหาบุตรบุญธรรม)ไม่มีเด็กผิวขาวที่สุขภาพดีให้รับเลี้ยงหรือ"


 


"นี่เป็นหนึ่งในความเห็นที่น่ากลัวที่สุดที่ฉันได้รับ" สตีบเบอร์ กล่าว


 


แต่ที่แย่กว่านั้น สโจเบริ์ก เพิ่มเติม ที่มักจะเป็นบ่อยๆ " พวกเขามักจะถามคำถามเหล่านี้ต่อหน้าเด็ก มันน่าประหลาดใจนะว่าทำคนถึงไม่......ฉลาด ได้ถึงขนาดนั้น  ที่ฉันจะต้องการพูดก็คือ พวกเขาช่าง โง่จริงๆ"


 


บราวน์มองว่า เรื่องนี้ยิ่งท้าทายมากขึ้นเมื่อลูกของเธอเริ่มโตมากขึ้นและโตพอที่จะเข้าใจว่าคนกำลังพูดถึงเธอว่าอะไรบ้าง


" ฉันต้องคิดว่านาตาลีจะคิดเกี่ยวกับคำถามนี้ว่าอะไร ฉันไม่ต้องการให้เธอพูดว่า "แม่เป็นแม่จริงๆของหนูหรือเปล่า แม่รักหนูมากเท่าๆกับลูกคนอื่นๆหรือเปล่า"


 


บิลได้ สรุปถึงข้อที่พึงระวังก่อนที่จะตั้งคำถามต่างๆว่า  สิ่งที่ต้องคิดซ้ำก่อนที่จะตั้งคำถามก็คือ อันดับแรกต้องรู้ว่า พ่อแม่บุญธรรมนั้นไม่ได้เป็นพวกที่มีจิตวิญญาณที่ไวต่อความรู้สึกมากเป็นพิเศาที่สามารถจะวิเคราะห์ทุกๆคำในประโยคหรือเดาใจว่าใครจะคิดอะไรได้ และพวกเขาก็ไม่ต้องการพบกับคำถามที่ไม่พึงพอใจ เราชอบที่จะพูดถึงเรื่องลูกๆของเรา และเราก็เข้าใจว่าคนส่วนใจก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่ไวต่อความรู้สึก แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะถามว่าอะไร อย่างไร และ เวลาไหน ทว่า เมื่อถามคำถามกับพ่อแม่บุญธรรม จะต้องทบทวนอีกครั้งก่อนที่จะถามคำถามเหล่านี้


"จ่ายเงินไปเท่าไร"


ซึ่งอันที่จริงอาจจะหมายถึงว่า กระบวนการการับบุตรบุญธรรมต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร  ซึ่งแตกต่างกันเพราะพูดถึงเรื่องของค่าธรรมเนียมด้านการจัดการ "ไม่ใช่การจ่ายเงินให้ใครสักคนและนำเด็กข้ามโลกมา" บราวน์กล่าว  ในบางคำถามพ่อแม่บางคนรู้สึกว่าคำถามนี้เป็นการรุกราน ในขณะที่พ่อแม่บางคนอาจยินดีตอบ แต่ไม่มีใครในบรรดาพวกเราที่จะคิดว่าลูกของเรามีราคาแปะอยู่ที่หน้าผาก


 


คำถามว่า " เกิดอะไรขึ้นกับแม่แท้ๆของเด็ก"


เรารู้ว่าคุณหมายถึงแม่ผู้ให้กำเนิด หรือ แม่ทางสายเลือด แต่มันก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวด พ่อแม่บุญธรรมก็ถือว่าเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงและบางคนอาจรู้สึกไม่สบายใจมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ 


 


"ทำไมต้องไปรับเด็กต่างชาติ ในเมื่อที่นี่ก็มีเด็กอีกเยอะแยะ"


มีเหตุผลมากมายสำหรับคำตอบนี้ หนึ่งในนั้นก็คือ การรับบุตรบุญธรรมในอเมริกานั้น กฎหมายยอมให้เวลาแม่ผู้ให้กำเนิดเปลี่ยนใจและกลับมาเรียกเด็กคืนได้ เมื่อเราผูกพันกับเด็กไปแล้ว เมื่อต้องสูญเสียเด็กให้กับพ่อแม้บังเกิดเกล้าของเด็กไป มันหัวใจสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคู่สามีภรรยาที่รับบุตรบุญธรรมเพราะเป็นหมัน เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นน้อยมากในการรับเด็กต่างชาติเป็นบุตรบุญธรรม


 


"ทำไมเด็กถึงถูกเสนอมาให้มีคนมารับเป็นบุตรบุญธรรม"


คำถามนี้ดูเป็นกลางๆแต่อย่าขุ่นเคืองใจหากเราจะไม่ตอบคำถามนี้ พ่อแม่มากมายมีรายละเอียดส่วนตัว และ ต้องการให้ลูกรู้เรื่องเหล่านี้ก่อนใคร และจะบอกเมื่อเขาโตพอที่จะรับรู้ได้


 


"คุณจะต้องไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วเลือกเด็กมาหรือเปล่า"


เปล่า มันไม่เหมือนกับการเลือกลูกสุนัขนะ ตามปกติแล้วพ่อแม่ที่คิดว่าจะรับบุตรบุญธรรมจะส่งรายละเอียดความต้องการว่าต้องการเด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย ระดับอายุ และ ตอบคำถามว่าพวกเขายินดีที่จะดูแล "ความต้องการพิเศษ" ของเด็กหรือไม่  ซึ่งหมายถึงเด็กที่พิการหรือมีปัญหาสุขภาพ


 


องค์กรหรือหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการรับบุตรบุญธรรมจะส่งรูปและประวัติของเด็กที่น่าจะตรงตามความต้องการมาให้ซึ่งพ่อแม่บุญธรรมจะรับหรือปฎิเสธก็ได้ ถ้าปฎิเสธก็จะหาคนอื่นมาให้อีกทีจนกว่าพ่อแม่จะได้เด็กที่ใช่สำหรับพวกเขา


 


"เด็กเหล่านี้โชคดีมากใช่มั้ยที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ที่รักตนเองในอเมริกา"


แน่นอน แต่มันก็ใช่กับทั้งสองทาง  พ่อแม่บุญธรรมเองก็รู้สึกโชคดีมหาศาลเช่นกันและรู้สึกเหมือนได้รับพรอันประเสริฐเช่นกัน แม้แต่คู่ที่ไม่มีศาสนาเองก็เช่นกันยังรู้สึกว่าพระเจ้าได้เข้ามาในชีวิตและให้ลูกที่สมบูรณ์แบบแก่พวกเขา


 


----------------------------------------------


 


ที่มา : star Tribune


http://startribune.com/stories/389/5552747.html

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net