สังคมเมืองเชียงใหม่มีปฏิกริยาตอบสนองน้อยเกินไปหรือเปล่า ต่อผลการจัดอันดับของนิตยสารท่องเที่ยวอเมริกา ที่ยกให้เป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับ 5 ของโลก
คนในเมืองเชียงใหม่อาจกำลังตั้งคำถามกับตัวเองว่า เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?
ต่างจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการโหวตจากนิตยสารชื่อดังของอเมริกาอีกเช่นกัน ครั้งนั้นเชียงใหม่ได้ถูกเตือนว่าเป็นเมืองเริ่มน่าเกลียด หรือ Getting Ugly ก่อให้เกิดการตื่นตัวแทบทุกวงการที่จะหันมาสำรวจและปรับปรุงเมืองในแง่มุมต่างๆ เป็นอันมาก
แต่ครั้งนี้ผู้บริหารเมืองเช่นผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี ออกมาแสดงความชื่นชมต่อ
ข่าวนี้ และหยิบยกเป็นผลงานว่าเป็นเพราะได้มีโครงการพัฒนาเมืองร่วมกันจึงส่งผลถึงการเข้าชาร์ตของการโหวตครั้งนี้ ล่าสุดถึงกับขึ้นป้ายรณรงค์ให้ร่วมกันผลักดันให้เป็นเมืองอันดับ 1 .
คำถามต่อมาคือ ด้วยวิธีใด ?
//////
นี่เป็นครั้งแรกที่เชียงใหม่เข้าชาร์ตการโหวตของ "TRAVEL + LEISURE" นิตยสารท่องเที่ยวอเมริกัน โดยถูกจัดให้เชียงใหม่เป็นเมืองอันดับ 5 ของโลกที่น่ามาเที่ยวที่สุดประจำปี 2005 โดยมีซิดนีย์เป็นอันดับ 1 ซึ่งครองแชมป์นี้หลายต่อหลายปี กรุงเทพมหานครเป็นอันดับ 2 โรมและฟลอเรนซ์แห่งอิตาลีมาเป็นอันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ
นิตยสารดังกล่าวซึ่งสามารถเข้าไปดูข้อมูลทางเว็บไซต์ได้ที่ www.travelandleisure.com ในหน้าแรก จะพบกรอบเนื้อหาระบุว่า "World"s Best Awards 2005" The very best in travel ซึ่งจะเชื่อมไปสู่หน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดอันดับสถานที่ท่องเที่ยว
โดยการจัดอันดับจะแบ่งเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่ โรงแรม สปา เมืองและหมู่เกาะ เรือสำราญ และอื่นๆ เชียงใหม่อยู่ในกลุ่มของเมืองและหมู่เกาะ (Cities and
วิธีการจัดอันดับมาจากการลงคะแนนโดยสมาชิกนิตยสาร "TRAVEL + LEISURE" ซึ่งได้รับเชิญให้เข้าร่วมลงคะแนนทางเว็บไซด์ www.tlworldsbest.com ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2005 โดยสมาชิกหนึ่งคนสามารถลงคะแนนได้หนึ่งครั้ง และสมาชิกที่มีอาชีพอยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะไม่ถูกนำมารวมคะแนนเสียงด้วย ปัจจัยที่ใช้ในการประเมินสำหรับเมือง ได้แก่ ทิวทัศน์ ศิลปวัฒนธรรม อาหารและร้านอาหาร ผู้คน สถานที่จับจ่ายซื้อของ และคุณค่าความสำคัญของเมือง เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่มีข้อมูลแสดงในส่วนของจำนวนผู้ลงคะแนน
ในส่วนเนื้อหาของนิตยสารมีอย่างน้อย 2 บทความเกี่ยวกับเชียงใหม่ที่สามารถเข้าไปอ่านได้โดยคลิกชื่อเมืองเชียงใหม่ในตารางจัดอันดับ
2 บทความนี้สะท้อนภาพของเมืองเชียงใหม่ในสายตาของนักเขียนต่างชาติ ซึ่งอาจทำให้เรารู้ว่าทำไมเราถึงเข้าชาร์ตเมืองในฝันของนักท่องเที่ยว และอะไรกันคือฝันร้าย
บทความชื่อ "Chiang Mai Pleasure Palace" หรือแปลให้หรูได้ว่า เรือนสำราญแห่งเมืองเชียงใหม่ เขียนโดย ปีเตอร์ จอน ลินด์เบิร์ก ซึ่งเป็นบรรณาธิการ Travel + Leisure มีเนื้อหาโดยรวมเริ่มต้นด้วยการบรรยายภาพของโรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ลดาราเทวี กล่าวถึงความใหญ่โตโอ่โถงของและหรูหรางดงามของสถานที่ ยกย่องให้ที่แห่งนี้พิพิธภัณฑ์ศิลปวัฒนธรรมแห่งล้านนา สัมภาษณ์เจ้าของ สถาปนิก และนักเขียนไกด์บุ๊คเมืองเชียงใหม่ที่ชื่อ โจ คัมมิงส์ นักเขียนแห่ง "Lonely Planet"
มีการกล่าวถึงข้อขัดแย้งมุมสถาปัตยกรรมของโรงแรมดาราเทวีในเรื่องการนำองค์ประกอบพุทธศาสนามาใช้บ้างเล็กน้อย ภาพลักษณ์ของเชียงใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยปรากฏอยู่ในไกด์บุ๊คว่าเป็นเมืองศูนย์กลางทางวัฒนธรรมเก่าแก่ เมืองหัตถกรรม วิถีท้องถิ่น มาสู่เมืองที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เต็มไปด้วยบาร์และผู้คนเบียดเสียด แต่ก็ยังเป็นเมืองที่ดึงดูดการมาเยือนรวมทั้งการหลั่งไหลเข้ามาลงทุนของโรงแรมระดับ 5 ดาวอีกหลายแห่ง
ทั้งนี้ ปีเตอร์ จอน ลินด์เบิร์ก ได้ให้ โจ คัมมิงส์ ก็ได้วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นเชียงใหม่ในอีกมุมมองหนึ่งที่แสดงให้เห็นภาพในมุมกว้างได้อย่างน่าสนใจ
"นายกฯทักษิณจ่ายไม่อั้นเลยทีเดียวสำหรับการพัฒนาเมืองบ้านเกิดของเขา แต่โชคไม่ดีเท่าไรที่โครงสร้างพื้นฐานบางอย่างที่จำเป็นสำหรับเชียงใหม่อย่างระบบขนส่งสาธารณะกลับถูกมองข้ามเสีย ไม่มีกฎหมายควบคุมพื้นที่จัดสรรการใช้ประโยชน์ของเมือง ไม่มีกฎหมายอนุรักษ์พื้นที่ทางประวัติศาสตร์ ไม่มีการควบคุมยานพาหนะที่เข้าสู่พื้นที่ทางประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องน่าขันที่เมืองซึ่งมีพลเมืองในเขตเมืองกว่า 250,000 คน ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย กลับไม่มีรถโดยสารประจำทางสาธารณะ และมีแท็กซี่เพียง 13 คัน ทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวมีเพียง ตุ๊ก-ตุ๊ก และ รถสองแถวเท่านั้นให้เลือกใช้"
อีกบทความ ใช้ชื่อว่า In the Driver's Seat หรือแปลให้คุ้นอารมณ์แบบไทยคือ "หลังพวง
มาลัย" เขียนโดย Alan Brown นักเขียนมือรางวัล และยังเป็นผู้เขียนและกำกับภาพยนต์สารคดีชื่อดังด้วย เขาเช่ารถและท่องเที่ยวไปทั่วภาคเหนือทั้งเชียงใหม่ ปาย แม่ฮ่องสอน ฯลฯ เขียนวิถีชีวิตที่เขาพบเห็น
เขาเลือกใช้วิธีนั่งอยู่หลังพวงมาลัยและท่องเที่ยวไปด้วยตัวเอง เพราะมีเหตุผล
เขาเริ่มบทความว่า เคยมาเยือนภาคเหนือของไทยราวกลางทศวรรษที่ 80 เชียงใหม่เวลานั้นเชียงใหม่ยังแปลกใหม่และไม่เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวตะวันตกนัก เชียงใหม่เป็นเหมือนจุดแวะสำหรับการเดินป่าหรือเยี่ยมชมชีวิตชาวเขา
ตอนนั้นเขาเชื่อว่ารถประจำทางคือวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการเที่ยวชมประเทศและรู้จักผู้คน เขาจึงพูดคุยกับทุกคนไม่ว่าพระ ตำรวจ หรือหญิงชรา แต่ก็พบกับความไม่น่าประทับใจนัก และเมื่อนึกถึงภาพการนั่งรถเป็นเวลานาน ต้องเกร็งตัวบนที่นั่งที่ไม่ค่อยสบาย ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เบียดเสียดกับผู้คนและหนวกหูจากเสียงวิทยุ ความโรแมนติกของเขาที่มีต่อรถประจำทางจึงจางหายไป และเลือกที่จะเช่ารถขับไปบนทางที่คดเคี้ยวแทน
ระบบขนส่งมวลชน คือมุมที่นักเขียนต่างชาติ สะท้อนให้เห็น
โจทย์แรกที่ควรทำ หากต้องการให้เชียงใหม่ไต่อันดับให้สูงกว่านี้ .ไม่จำเป็นจะต้องขึ้นป้ายรณรงค์ให้เค้นความเป็นตัวเองให้ตอบสนองใดใดเลย เมื่อรู้สิ่งที่เขาต้องการแล้ว ถึงขณะนี้ตอนนี้ผู้บริหารเมืองคงจะตอบตัวเองได้แล้วว่า เป็นหน้าที่ของใครที่ต้องเริ่มต้น ??