Skip to main content
sharethis

ศูนย์ข่าวภาคเหนือ-1 ก.ค.2548 หลังจากที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เชิญตัวแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดีฆาตกรรมพระสุพจน์ สุวจโน ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง ในการประชุมคณะอนุกรรมการสิทธิการจัดการที่ดินและป่า ที่ห้องประชุม ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นั้น

ทาง พ.ต.ท.ธนาพจน์ เกิดภู่ รองผู้กำกับฝ่ายปราบปราม สถานีตำรวจภูธรอำเภอฝาง ได้ขอประชุมลับ โดยได้เชิญให้สื่อมวลชนที่อยู่ภายในห้องประชุมออกจากห้อง ก่อนจะทำการชี้แจงข้อมูลให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและคณะทราบ

ซึ่งหลังเสร็จสิ้นการชี้แจง นางสุนี ไชยรส คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ในส่วนของคดีนั้น ทาง รอง ผกก.สภ.อ.ฝาง ก็ออกมารับปากว่า จะพยายามดูคดีให้หลายมิติ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้มากขึ้น ซึ่งอาจมีข้อมูลหลายเรื่องที่ตรงกันข้าม และดูขัดแย้งกันอยู่ และหลังพูดคุยกันในวันนี้ ก็คงช่วยทำให้ทางตำรวจได้มองเห็นหลักฐานข้อมูลในแง่มุมอื่นมากขึ้น

"ทางตำรวจ บอกว่ายังไม่สามารถพูดอะไรชัดเจน แต่ทราบมาว่า เมื่อวานนี้(30 มิ.ย.) นายณรงค์ การสะสม ซึ่งทางตำรวจได้ออกหมายจับ เป็นผู้ต้องหาคดีบุกรุกพื้นที่สำนักปฏิบัติธรรม และข่มขู่ทำร้ายคนใกล้ชิดของพระสุพจน์ ซึ่งนายณรงค์ ได้หลบหนีคดี เป็นคดีที่ยืดเยื้อมานาน และเข้ามาพัวพันรุงรังกับสำนักสงฆ์ ล่าสุดได้เข้ามอบตัวกับทางตำรวจแล้ว ซึ่งอาจเป็นผลมาจากเกิดแรงกดดันจากกระแสข่าว ดังนั้นอาจมีการคลี่คลายคดีและสืบไปถึงเรื่องเก่าๆ ได้มากขึ้น" นางสุนีกล่าว

ทั้งนี้ นายณรงค์ การสะสม ได้ถูกเป็นผู้ต้องหา ข้อหา "ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น หรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขา โดยใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่า จะใช้กำลังประทุษร้าย และมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาติพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้ใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว"

ในขณะที่ พระกิติติศักดิ์ กิตติโสภณ ประธานกลุ่มเสขิยธรรม และพระประจำสถานปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม เปิดเผยว่า หลังจากมีการประชุมชี้แจงกันในครั้งนี้ ทำให้เห็นมุมมองของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือว่าตำรวจว่าเขามองประเด็นนี้อย่างไร นี่คือส่วนสำคัญที่ข้อเท็จจริงว่าทำไมคดีฆ่าพระสุพจน์ จึงมีลักษณะที่เบี่ยงเบน ซึ่งสะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง สะท้อนความรุนแรงในเชิงโครงสร้าง สะท้อนทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายปกครอง หรือในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทำให้เห็นได้ว่า มันไม่สามารถอำนวยให้เห็นความยุติธรรมให้เกิดขึ้นได้ กับคนทั่วไป

"เนื่องจาก ท่าทีแต่ละฝ่าย ชี้แจงข้อมูลออกมาไม่ครบ เป็นเพียงการชี้แจงข้อมูลเพื่อปัดความรับผิดชอบออกไปให้พ้นตัว ให้รับผิดชอบให้น้อยที่สุด และเป็นข้อมูลที่นำออกชี้แจงส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลที่ไม่ตนเองจะต้องไม่ถูกสืบสวนสอบสวนต่อ โดยเฉพาะกับเรื่องผลประโยชน์ทั้งหลาย"

พระกิตติศักดิ์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้นำภาพถ่ายทางอากาศที่ออกมาแสดงให้ดูนั้น จะเห็นได้ว่า ทางป่าไม้ได้พยายามถ่ายให้เห็นเฉพาะพื้นที่ป่าที่อยู่ชิดขอบพื้นที่สำนักปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรมเท่านั้น ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าชุมชนที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ แต่ไม่ให้เห็นพื้นที่ที่ล้ำออกไปด้านหลัง เพราะว่าจะเห็นพื้นที่ป่าซึ่งเป็นป่าต้นน้ำที่ถูกทำลายไป เป็นสวนส้ม สวนลิ้นจี่ เป็นของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นของนักการเมือง ซึ่งกินเนื้อที่เป็นหมื่นไร่ แต่ว่าทางป่าไม้ใช้เทคนิคการถ่ายภาพบนเฮลิคอปเตอร์ให้เห็นเพียงบางส่วน เพราะว่า ถ้าเลยจากที่พระรักษาเอาไว้ มันไม่มีผืนป่าแล้ว แต่กลับไม่ชี้แจงข้อเท็จจริงนี้ด้วย

"ทางด้านตำรวจในพื้นที่ บรรยากาศตอนแรกได้ปฏิบัติตนอย่างไรไว้ก็ไม่ได้พูด แต่พอหลังจากที่มีกรรมาธิการจากหลายฝ่าย กระทรวงยุติธรรม หรือกองกำกับการตำรวจภูธร ภาค 5 ลงไปในพื้นที่แล้ว ถึงออกมาพูด เพราะที่ผ่านมาพยายามขยักในเรื่องที่ทำงานผิดพลาด คือทุกฝ่ายพยายามขยักทำในสิ่งที่ตัวเองพลาดเอาไว้ ดังนั้น คดีนี้หากปล่อยไว้นานๆ เข้า ก็คงจะเงียบหายไป เหมือนกรณีของเจริญ วัดอักษร" พระกิตติศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จะได้ลงพื้นที่ตรวจสอบในบริเวณที่ดินภายในสถานปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม ในวันที่ 3 ก.ค.นี้อีกครั้ง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net