รอยเตอร์- นานมาแล้วที่เหยื่อของการข่มขืนในอินเดียไม่เคยกล้าที่จะพูดบอกใคร ต้องจมอยู่กับบาดแผลและความชอกช้ำจากการถูกทำร้ายและความหวาดกลัวและได้แต่ตำหนิตัวเอง และผู้หญิงจำนวนมากก็ไม่ไว้ใจตำรวจ แต่มาถึงวันนี้พวกเธอกำลังเรียนรู้ที่จะต่อสู้กลับกันบ้างแล้ว
การเกิดเหตุการณ์ข่มขืนที่มีเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั่วประเทศ เป็นจุดเริ่มให้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ( 19 มิย.) มีผู้หญิงเกือบ 3 พันคนอายุตั้งแต่ 15 ถึง 50 ต่างไปรวมตัวกันที่สวนสาธารณะในเมืองหลวงของอินเดียเพื่อเรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัวที่มีทั้ง ยูโด คาราเต้ และเทควันโด
" ผู้หญิงมีอาวุธอยู่ในตัวมากพอ" วิมลา เมหรา คณะกรรมาธิการร่วมในหน่วยตำรวจอาชญากรรมหญิงแห่งเดลีกล่าว " เราสอนเทคนิคการป้องกันตัวให้พวกเธอให้รู้จักใช้ประโยชน์จากบางสิ่งเช่น นิ้ว และข้อศอก"
ขณะนี้ชั้นเรียนศิลปะป้องกันตัวดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมาก จึงกำลังวางแผนอยู่ว่าจะมีการเปิดเพิ่มเติมอีก
นอกเหนือกับการเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวแล้ว หลายๆคนก็กำลังเรียนรู้ที่จะใช้อาวุธใหม่ เช่น สเปรย์พริกไทย เพื่อป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสเปรย์ที่ไม่มีพิษที่เรียกว่า "น็อคเอาท์" ที่จะทำให้จาม ไอ และปวดแสบปวดร้อนอย่างหนักไม่สามารถควบคุมได้
แม้ว่าอินเดียจะมีชื่อเสียงในฐานะของอารยธรรมโบราณและบ้านเกิดของมหาตมะ คานธีมหาบุรุษผู้ใช้วิธีต่อสู้แบบอหิงสา ทว่า อาชญากรรมต่อผู้หญิงสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานที่ทั่วๆไป
การลวนลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขนส่งสาธารณะที่คนแน่นๆ หนักหนาขึ้นทุกวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคเหนือของอินเดีย นักกิจกรรมสังคมกล่าวว่า มีการข่มขืนเกิดขึ้น 2 รายทุกๆ 1 ชั่วโมงทั่วประเทศ
แทนที่จะให้การคุ้มครองในบางครั้งตำรวจก็เป็นกระทำสิ่งไม่ดีนั้นเสียเอง เมื่อเดือนที่แล้วตำรวจในบอมเบย์ถูกจับเนื่องจากข่มขืนเด็กวัยรุ่นที่ย่านมารี ไดรฟ์ ถนนเทียบท่าที่มีชื่อเสียของอินเดีย ที่อยู่ในบอมเบย์จัดว่าเป็นเมืองหลวงทางการเงิน
เหยื่อของการข่มขืนมักถูกขับออกจากสังคมและถูกตำหนิในฐานที่ถูกข่มขืน คนในหมู่บ้านเมื่อไม่นานมานี้ได้บังคับให้คนที่ถูกข่มขืนแต่งงานกับคนที่ข่มขืนเธอซึ่งก็คือ พ่อสามีของเธอเอง
จากการสำรวจเมื่อไม่นานมานี้โดยนิตยสารอินเดีย ทูเดย์ พบว่า ผู้หญิงหนึ่งในสองคนที่อยู่ในเมืองใหญ่รู้สึกไม่ปลอดภัย และมากกว่า หนึ่งในสามตั้งข้อสงสัยในการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
"ระบบที่นำมาใช้กับเหยื่อนั้นเป็นระบบที่อุ้ยอ้ายและไม่อ่อนไหวเท่าที่ควร" อาตรัยเยอร์ เซ็น ผู้ช่วยผู้อำนวยการเครือข่ายกฎหมายสิทธิมนุษยชนกล่าว
นักกิจกรรมสังคมกล่าวว่าหนึ่งในห้าของเหยื่อเป็นเด็ก และ 19 ใน 20 ของผู้ถูกกล่าวหาได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ ตัวเลขอย่างเป็นทางการพบว่าในปี 2003 มีคนกว่า 18,100 คนเคยพยายามที่จะข่มขืน แต่มีแค่ 4,645 คนเท่านั้นที่รับสารภาพ
มีพวกนักวิจารณ์บางคนออกมาบอกว่าบางทีผู้หญิงเองก็ควรถูกตำหนิที่ถูกข่มขืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเธอใส่กางเกงยีนส์ที่ฟิตเปรี๊ยะหรือใส่เสื้อเปิดไหล่
"เป็นเรื่อนกวนใจรายวันเลยนะ การคุกคามรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะในขณะที่เราอยู่บนรถเมล์ หรือกำลังเดินอยู่ในถนนที่ค่อนข้างเปลี่ยว" ปรียานคา คุปตะ ผู้จัดการฝ่ายขายในเดลีกล่าวกับฮินดู สถานไทม์
" ฉันไม่คิดการเปลี่ยนจากการใส่ยีนส์ไปเป็น ซาลวาร์- คามีซ ( เสื้อหลวมๆกับกางเกงแบบอินเดีย) จะเปลี่ยนทัศนคติของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิงได้ ตราบเท่าที่อาชญากรรม อย่างเช่นการข่มขืนและ
ลวมลามทางเพศยังคงเป็นเรื่องที่ต้องกังวลอยู่"
นักกิจกรรมสังคมกำลังถกเถียงกลับอย่างรุนแรงในประเด็นที่ว่าผู้หญิงควรถูกตำหนิเพราะว่าเสื้อผ้าที่เธอใส่
" ประเด็นที่แย้งมาเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงแต่งตัวยั่วอารมณ์นั้น เป็นเรื่องไร้สาระอย่างสิ้นเชิง ผู้ชายเดินไปทั่วๆ ด้วยกางเกงในตัวเดียวก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่ผู้หญิงที่คลุมทั้งตัวด้วยส่าหรีกลับกลายเป็นเป้า" สุนิตา ฐากูร จาก จากอรี กลุ่มผู้หญิงในเดลี
มีตัวอย่างหลายคดีที่ทำให้กระดาษดูน่าเกลียดมาก เช่น ผู้หญิงท้องฆ่าตัวตายหลังจากถูกข่มขืนที่เมืองปูเน่ ผู้หญิงวัย 80 ปีถูกข่มขืนที่เดลี และครูใหญ่ข่มขืนเด็กนักเรียนวัย 16 ปีที่เดลีโดยล่อใจโดยสัญญาว่าจะออกประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษาให้ อีกคดีหนึ่ง ภรรยาของพระฮินดูถูกข่มขืนเป็นแก็งที่โบสถ์
นักข่มขืนคนหนึ่งได้สร้างเสียงโห่ร้องคัดค้านอย่างรุนแรงเมื่อเขาร้องขอต่อศาลให้ปล่อยตัวเขาไป เขาบอกกับศาลว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเพราะว่าคงไม่มีใครต้องการเธออีกแล้ว แต่ศาลก็ตัดสินจำคุกเขาตลอดชีวิต
เนื่องจากการที่อาชญากรรมต่อผู้หญิงเพิ่มมากขึ้นเรื่องๆ ความโกรธแค้นในกลุ่มผู้หญิงอินเดียก็ได้ก่อตัวขึ้นมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว
เมื่อปีกลายกลุ่มผู้หญิงในนาคปูร์ ( นาคะปูระ) ทางภาคเหนือของอินเดียได้จัดการกับผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าทำการข่มขืนและฆาตกรรมโดยใช้กระบองตีจนตายคาสำนักงานศาล กลุ่มผู้หญิงในสลัมมั่นใจว่า เขาจะต้องถูกปล่อยตัวออกมาเหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาที่เขาสามารถหนีจากการลงโทษมาได้
มีอีกเหตุการณ์ของการต่อสู้ที่ผู้หญิงประมาณ 40 คน เดินขบวนกันมาบนถนนของเมือง มานีปูร์ ( มณีปุระ) ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วเพื่อประท้วงการข่มขืนและฆ่าผู้หญิงวัย 32 ปีโดยทหารจำนวนหนึ่ง
การที่ต้องเผชิญกับคดีที่เพิ่มขึ้นเรื่อย กลุ่มผู้หญิงเหล่านี้จึงได้เพียงได้รับการอบรมวิธีการป้องกันตัวตามธรรมเนียมเดิมอย่าง เช่นยูโด หรือ คาราเต้ เท่านั้น แต่พวกเธอยังได้รับการอบรมให้ใช้วิธีเว็น
ลินโดของแคนาดา ซึ่งมีวิธีการป้องกันตัวหลากหลายรูปแบบทั้งโดยวาจาและร่างกายเพื่อสู้กับผู้ชายที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้คุกคาม
กระนั้น ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนนั้นมักจะปิดปากเงียบเนื่องจากการถูกตีตราว่ามีรอยมลทิน ส่วนคนที่พูดออกมานั้นก็แทบจะไม่มีใครได้รับความเป็นธรรมเลย
เมื่อ 10 ปีที่แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งถูกข่มขืนโดยคน 5 คน จากวรรณะสูงซึ่งเป็นผู้นำของหมู่บ้านแห่งหนึ่งในอินเดียเนื่องจากเธอกล้าที่จะยุติการแต่งงานของเด็ก ถึงแม้ว่าคดีนี้จะเป็นข่าวใหญ่และเธอก็กลายเป็นวีรสตรีของชาติ
แต่ทั้ง 5 ที่เป็นผู้ข่มขืนก็ถูกปล่อยตัวออกมาทั้งหมด โดยถูกดำเนินคดีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)