ประชาไท -- 14 มิ.ย.48 "การทำข้อตกลงเอฟทีเอไทย-สหรัฐ จะมีผลกระทบต่อเกษตรกรและในเชิงตลาดอย่างมหาศาล เนื่องจากสหรัฐจะผลักดันให้ไทยจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตและยอมรับเป็นภาคียูปอฟ แม้สหรัฐจะรับปากว่าไม่รับจดสิทธิบัตรข้าวหอมมะลิของไทยก็ตาม แต่หากทำข้อตกลงแล้วไทยก็ไม่สามารถห้ามได้เพราะเราอนุญาตเขาเอง" นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ อนุกรรมการด้านทรัพยากรชีวภาพและทรัพย์สินทางปัญญา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงผลกระทบของข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สหรัฐ
ทั้งนี้ ข้าวหอมมะลิมีความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างมาก โดยมีมูลค่าการส่งออก ถึง 35,000 ล้านบาทต่อปี และมีตลาดในสหรัฐประมาณปีละ 6,000-10,000 ล้านบาท อีกทั้งเกษตรกรชาวนาไทยก็มีพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิถึง 1 ใน 4 ของการปลูกข้าวทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นจังหวัดทางภาคอีสาน รวมแล้วประมาณ 1 ล้านครอบครัว หรือ 6-7 ล้านคน
นอกจากนี้นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า การที่สหรัฐเรียกร้องให้ไทยยอมเป็นภาคีอนุสัญญายูปอฟ จะทำให้สหรัฐสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์และวิจัยพันธุ์พืชและสัตว์ในไทยได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตและไม่ต้องทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์ใดๆ ซึ่งต่อไปจะกระทบถึงทรัพยากรของทั้งประเทศ
สำหรับด้านข้อบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ สหรัฐให้ใช้เครื่องหมายการค้าแทนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ดังนั้นข้าวหอมมะลิซึ่งเป็นชื่อสามัญจึงไม่ได้รับการคุ้มครอง ทำให้ต่อไปประเทศไทยไม่สามารถเรียกร้องปกป้องชื่อข้าวหอมมะลิได้ และถ้าสหรัฐมีโครงการปรับปรุงข้าวหอมมะลิก็จะขายได้ภายใต้ชื่อหอมมะลินี้เลย
"เมื่อต่างประเทศ เข้ามาจดลิขสิทธิ์สิ่งมีชีวิตในประเทศไทย โดยเฉพาะตอนนี้อยู่ในมือของบรรษัทข้ามชาติ และบริษัทใหญ่ๆ ของไทยทั้งหมด จะทำให้เกษตรกรไม่สามารถรักษาเมล็ดพันธุ์และแลกเปลี่ยนระหว่างกันได้ ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขา โดยในระยะยาวความหลากหลายทางชีวภาพก็จะถูกทำลายไปด้วย" นายวิฑูรย์แสดงความกังวล
ธิติกมล สุขเย็น