Skip to main content
sharethis

ดร.โสภณ พรโชคชัย 1>


ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

2>

 


 


 



ภาพจาก wikipedia.org


 


เมื่อวันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2550 ผมได้โอกาสอันดีไปฟังธรรมจากท่านติช นัท ฮันห์ พระนิกายเซ็นชาวเวียดนาม ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จึงขออนุญาตนำเสนอตามความเข้าใจเฉพาะที่ได้ฟัง เพราะผมก็ไม่ค่อยมีพื้นฐานความรู้ทางด้านศาสนา จึงจับความได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าท่านที่อ่านมีความเห็นเป็นอื่น โปรดชี้แนะด้วยนะครับ


 


โหมโรง


เริ่มต้นการบรรยายธรรมด้วยการร้องเพลงและนั่งสมาธิ ในส่วนของการร้องเพลงยังมีพระออกมานั่งดีดกีตาร์ และร้องเพลงประกอบ เป็นภาพที่แตกต่างไปจากภิกษุสงฆ์ในประเทศไทย แต่ก็ดำเนินไปด้วยความสำรวมและเป็นการเรียกศรัทธาและสร้างสมาธิ ในทางตรงกันข้ามพระไทยประเภทมาร่วมเล่นสาดน้ำในเทศกาลสงกรานต์อย่างลืมตัว หรืออยู่เมืองนอกเลยขับรถหน้าตาเฉย ก็ยังมีให้เห็น


 


พระไพศาล วิสาโล 4> ได้กล่าวสรรเสริญท่านติช นัท ฮันห์เกี่ยวกับบทบาทของท่านในการหยุดสงครามเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ผมมีความเห็นต่างในบางประเด็น เช่น


 


1. สงครามเวียดนามไม่ได้หยุดเพราะท่านติช นัท ฮันห์ แต่หยุดเพราะสหรัฐอเมริกาทนความสูญเสียต่อไปไม่ได้แล้ว (คล้ายกับกรณีญี่ปุ่นที่ยอมในสงครามโลกครั้งที่ 2) และสหรัฐอเมริกาจะทิ้งระเบิดปรมาณู ก็ทำไม่ได้ในสถานการณ์สากลใหม่ จึงจำยอมเลิกทำสงคราม


 


2. การที่พระเวียดนามประกอบอารยะขัดขืน (civil disobedience) ด้วยการเผาตัวตาย 5> ณ นครโฮชิมินห์ในช่วงสงครามเวียดนาม เป็นความสลดอย่างหนึ่ง แต่คงไม่ได้เป็นแรงบันดาลใจให้ชาวอเมริกันต่อต้านสงครามเท่ากับความสะเทือนใจที่ญาติมิตรของพวกตนไปตายในเวียดนามเป็นจำนวนมาก


 


3. พระไพศาลอ้างอิงว่าท่านติช นัท ฮันห์ ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แต่ความจริง ดร.มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (ผู้ได้รับรางวัลปี 2507) ได้เสนอชื่อท่านจริงเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2510 แต่คณะกรรมการตัดสินว่าไม่ควรมีใครได้รางวัลดังกล่าวในช่วงปี 2509-2510 (ยุคนั้นท่านอาจยังอาจไม่ "ดัง" เท่าทุกวันนี้) ส่วนปี 2508 และปี 2511 ผู้ได้รับรางวัลนี้คือ องค์การยูนิเซฟที่ช่วยเหลือเด็กทั่วโลก และนายเรเน คัสสิน (Rene Cassin) ประธานศาลยุโรปเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีบทบาทที่กว้างขวางกว่ากรณีเฉพาะประเทศเวียดนาม 6>


 


อุปมามือซ้าย-มือขวา


ท่านติช นัท ฮันห์ เริ่มต้นแสดงธรรมด้วยการเปรียบเทียบไว้อย่างน่าฟังว่า ท่านเคยพยายามใช้มือซ้ายแปรงฟัน แรก ๆ มือขวาก็ยกขึ้นมาโดยอัตโนมัติเพราะอยากช่วยมือซ้าย แต่ถ้าพยายามแปรงด้วยมือซ้ายไปเรื่อย มือซ้ายก็จะทำได้ไม่แพ้มือขวา มือซ้ายกับมือขวาไม่เคยทะเลาะกัน มือขวาก็ไม่เคยคิดว่าตนดีกว่า หรือเห็นมือซ้ายด้อยกว่า มือซ้ายก็ไม่เคยอิจฉามือขวาหรือรู้สึกด้อย ตอนตอกตะปูหากตอกผิดถูกมือข้างหนึ่ง อีกมือก็จะรีบฉวยอีกมือขึ้นมาด้วยความอาทร เป็นต้น


 


อุปมาที่ท่านยกขึ้นนี้งดงามดี และก็คงคล้าย ๆ กับขาซ้ายและขาขวา เป็นการสร้างแบบจำลองให้ง่าย (simplify) ให้เข้าใจถึงความรักโดยไม่แบ่งแยก อย่างไรก็ตามอวัยวะบางอย่างในร่างกายของเรา ก็อาจไม่ประสานกันเท่าที่ควร เช่น ลิ้นกับฟัน หรือแม้แต่มือทั้งสองข้างเอง บางทีก็สะบัดขัดกัน เช่น ในช่วงวิกฤติยามขับรถหรือการแสดงศิลปการต่อสู้ เป็นต้น ในความเป็นจริงการจะประสานกันหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับใจของเราเป็นสำคัญ บางทีสั่งอวัยวะสับสน ก็จะเกิดปัญหาได้


 


พรหมวิหาร 4


หลักธรรมสำคัญที่ท่านแสดงในค่ำวันนั้นก็คือพรหมวิหาร 4 ซึ่งประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา จะสังเกตได้ว่าธรรมะที่แสดงก็เป็นสิ่งที่รู้ ๆ กันทั่วไป แต่กลเม็ด (gimmick) สำคัญอยู่ที่การอธิบายด้วยตัวอย่างที่กินใจ ท่านพูดว่าบางทีพ่อที่รักลูก แต่ไม่เข้าใจลูก ก็อาจยิ่งทำให้ลูกทุกข์หนัก พ่อที่ดีจึงต้องพยายามเข้าใจความทุกข์ของลูก จึงจะแสดงความรักได้ถูกทาง ถ้าไปกดดันลูกด้วยรัก ก็อาจทำให้ลูกเจ็บปวด ดังนั้นถ้าเราเข้าใจความเจ็บปวดของคนอื่น เราก็จะไม่ทำให้คนอื่นเกิดทุกข์ ท่านยังมีคำพูดที่ลึกซึ้ง ทำนองว่า "บางทีเราแปรความรักของเราให้เป็นกรงขัง กลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายหายใจไม่ออก"


 


ท่านติช นัท ฮันห์ ใช้ "ความรัก" ในการอธิบายพรหมวิหาร 4 ซึ่งก็คล้าย ๆ กับคำสอนของท่าน


พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) 7> แต่ที่อธิบายแบบมาตรฐานทั่วไปที่ไม่ปรุงแต่ง (ด้วยความรัก) ซึ่งชาวพุทธพึงยึดถือก็คือ "พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่ เมตตา ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข กรุณา ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มุทิตา ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี และอุเบกขา การรู้จักวางเฉย" 8>


 


ว่าด้วยการก่อการร้าย


ท่านติช นัท ฮันห์ เคยเชิญทั้งชาวยิวและชาวปาเลสไตน์ไปคุยกันที่หมู่บ้านพลัม ซึ่งเป็นวัดที่ท่านพำนักในประเทศฝรั่งเศส ปรากฏว่าแรก ๆ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ยอมคุยหรือฟังกันและกันนัก แต่ด้วยความพยายามให้เกิดการฟังเชิงลึก (deep listening) การไม่ทุ่มเถียงกันด้วยเหตุผลในทันที การให้โอกาสกันและกันในการเรียนรู้บนพื้นฐานของความรัก ก็กลับทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันและกันได้ ท่านหวังให้ตัวแทนทั้งสองฝ่ายนี้กลับไปบ้านเกิด ไปเปิดการคุยกันเพิ่มขึ้นเพื่อสันติภาพ แต่ผมคิดว่าคงไม่ได้ผลจริงจัง อาจได้บางส่วน แต่เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ของทั้งสองประเทศคงไม่ทันได้คุยกันแน่ กว่าจะคุยกันหมดก็คงฆ่ากันตายเป็นเบือแล้ว ("กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้")


 


อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงประเทศทั้งสองก็มีผู้รักสันติภาพมากขึ้นด้วยตัวเอง ซึ่งคงไม่ใช่เพราะมาฟังท่านติช นัท ฮันห์ แต่เป็นเพราะประชาชนเบื่อหน่ายกับการสู้รบ และแนวโน้มที่นักการเมืองที่เห็นแก่สันติภาพจะได้รับเลือกตั้งก็จะมีมากขึ้น ในฝ่ายประชาชนเอง ก็ยังมีกรณีหนุ่มสาวปาเลสไตน์และอิสราเอลแต่งงานกันเองทั้งที่ต่างชาติและศาสนา 9>


 


ท่านบอกว่า หลังเกิดเหตุการณ์ถล่มตึก World Trade Center 2 วัน ท่านไปแสดงปาฐกถาให้ชาวอเมริกันที่นับถือพุทธประมาณ 4,000 คนฟัง พยายามชี้ให้ชาวอเมริกันได้ทบทวนว่า อเมริกันได้ทำอะไรลงไป จึงต้องโดนอย่างนี้ ท่านบอกว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ฟัง จึงเกิดสงครามอิรัก แต่ความจริงสงครามอิรักเกิดเพราะรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลต่างหาก และที่สำคัญก็คือ การที่รัฐบาลอเมริกันไปทำอะไรไม่ดีไว้ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับประชาชนอเมริกัน ยังไงเสียคนที่ไม่มีญาติมิตรที่ตายในเหตุการณ์นี้ ก็คงไม่เข้าใจถึงความเจ็บปวดของความสูญเสียมากนัก


           


ภาคใต้ของไทยทำไงดี


ท่านยังมีข้อเสนอแนะในกรณีภาคใต้เช่นเดียวกับกรณียิวและปาเลสไตน์ คือ การชี้ให้เห็นว่าเราเคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติมานาน ต่อไปในอนาคตก็คงอยู่ร่วมกันเช่นนี้ได้ และควรให้มีกิจกรรมการฟังเชิงลึก ถ้าเราทำผิดตรงไหน ก็ควรขอโทษ (เช่น ถ้าข้าราชการไทยไปล่วงเกินชาวมุสลิม หรือในทางตรงกันข้าม) ข้อนี้สงสัยท่านนายกรัฐมนตรี พล..สุรยุทธ์ จุลานนท์ อาจไปฟังท่านมาล่วงหน้าหรือเปล่าก็ไม่ทราบจึงไป "กล่าวขอโทษประชาชนแทนเจ้าหน้าที่-รัฐบาลชุดที่แล้ว" และเผา black list โจรใต้มาครั้งหนึ่งแล้ว 10>


 


ในเชิงกลยุทธ ผมเห็นว่าควรมีการประชุมผู้นำชุมชนและผู้นำศาสนาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บ่อย ๆ เพื่อรับฟังความเห็นและเป็นการเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเป็นการหาแนวทางขจัดความทุกข์ของประชาชน ความจริงควรนำกรณีศึกษาของผู้สูญเสียมาให้การศึกษาแก่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกรณีที่ผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าตายแทบทุกวันทั้งจากฝีมือโจรใต้และข้าราชการเพื่อให้เห็นความทุกข์ (แต่ไม่ใช่แค้น) และถือเป็นการเปิดโอกาสให้มีทางออก ให้เสียงของประชาชนได้ยินโดยคนส่วนใหญ่และผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ทำให้เกิดพลังประชาชนในการร่วมหยุดยั้งความรุนแรง


 


อย่างไรก็ตาม คำพูดที่ว่า "ยิ่งฆ่าผู้ก่อการร้าย ยิ่งเพิ่มจำนวน" ข้อนี้จะเป็นจริงก็ต่อเมื่อ "ผู้ก่อการร้าย" ยืนอยู่ข้างความเป็นธรรม เช่น กรณีการขยายตัวของกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยในอดีต หาไม่ ก็คงไม่เพิ่มขึ้น กลับจะทำให้โจรหัวหดอีกต่างหาก เช่นกรณีพ่อค้ายาเสพติดหรือโจรห้าร้อยทั่วไป ดังนั้นถ้ารัฐบาลสามารถสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โอกาสที่สันติภาพจะกลับคืนมาก็คงมี และอย่าลืมว่า "ตบมือข้างเดียว" คงไม่ดัง ของทุกอย่างมักมีเป็นคู่ เช่น มีการใช้พระคุณก็ต้องคู่กับการใช้พระเดชไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่เป็นสิ่งจำเป็น และปฏิบัติการทางจิตวิทยา (ที่จริงใจ) ในการเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ก็เป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้


 


หลุดพ้นได้กี่คน


การเข้าหาศาสนาไม่ว่าในฐานะเพื่อบำบัดจิต เพื่อทำดีต่อโลก หรือเพื่อการเสพศาสนาทั่วไปนั้น มีความปิติอยู่ ความสง่างามจากความเรียบง่าย ความช้า ความสงบ สบายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการฟังธรรม แต่จะสังเกตได้ว่า ธรรมะที่แสดงนั้นมักเป็นเรื่องง่าย ๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ เมื่อเดือนมกราคม 2550 ผมก็ได้มีโอกาสไปฟังธรรมะของท่านภิกษุณีเท็นซิน พัลโม ซึ่งมาจากสำนักทิเบต ท่านก็จับเรื่องทานบารมีมาแสดง 11> โดยนัยนี้อาจกล่าวได้ว่าชาวบ้านทั่วไปคงยากที่จะเข้าถึงธรรมะที่ลึกซึ้ง


 


คนที่จะมาฝึกฟังเชิงลึกจนสามารถปฏิบัติตามพรหมวิหาร 4 นั้น คงเป็นคนส่วนน้อยที่พิเศษ ยากที่คนส่วนใหญ่จะยึดถือปฏิบัติได้ การฟังก็ได้พบเหตุผลเข้าท่า น่าจูงใจให้ปฏิบัติดี แต่การน้อมใจปฏิบัติให้ได้ คงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ เข้าทำนอง "Exception cannot be made norm" หรือไม่ หรือว่าการบรรลุธรรมนั้นเป็นธรรมชาติของการคัดสรรคนส่วนน้อย คนส่วนใหญ่ยังไงก็คงเข้าไม่ถึง จะให้คนส่วนน้อยนี้ไปเผยแพร่ถึงคนส่วนใหญ่ ก็คง "กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้" หรือไม่ ในรอบ 2,550 ปีมานี้ คนที่บรรลุธรรมคงมีจำนวนเป็นแค่ธุลีของคนที่เวียนว่ายตายเกิดนับแสนล้านคน


 


โดยสรุปแล้ว ผมก็มีความสุขที่ได้ไปฟัง (เสพ) ธรรมะจากท่านติช นัท ฮันห์ ได้นำมาเป็นข้อคิด นับเป็นบุญที่ได้สัมผัส (ไกล ๆ) ด้วยสายตาตนเอง และแน่นอนก็คงต้องพยายามนำมาใช้และใช้อย่างต่อเนื่องไม่ปล่อยวางกับธรรมะที่ท่านได้ถ่ายทอดมาจากคำสอนขององค์ศาสดา - พระพุทธเจ้า


 


 


 


หมายเหตุ:


1> ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ ขณะนี้ยังเป็นกรรมการหอการค้าไทย สาขาอสังหาริมทรัพย์ ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย และกรรมการบริหาร ASEAN Association for Planning and Housing  Email: sopon@thaiappraisal.org


2> มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งให้ความรู้แก่สาธารณชนด้านการประเมินค่าทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง ปัจจุบันเป็นองค์กรสมาชิกหลักของ FIABCI ประจำประเทศไทย ถือเป็นองค์กรเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีกิจกรรมคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยจนได้รับความเชื่อถือจากนานาชาติ โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaiappraisal.org


3> โปรดดูประวัติโดยสังเขปของท่านติช นัท ฮันห์ ได้ที่: http://www.thaiplumvillage.org/plum_abount_p1.html หรือที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Nhat_Hanh


4> พระไพศาล วิสาโล มีรายละเอียดปรากฏ ณ http://www.geocities.com/siamintellect/intellects/pisal/biography.htm และ http://www.geocities.com/siamintellect/intellects/pisal/biography.htm


5> ดู อารยะขัดขืนที่ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B8%99 และดูภาพพระ Quic Van Doc เผาตัวเองเพื่อพยายามหยุดสงครามเวียดนามเมื่อปี 2506 และกรณีที่คล้ายกันอื่น ๆ ได้ที่ http://www.francesfarmersrevenge.com/stuff/archive/oldnews2/selfimmolation.htm


6> โปรดดูรายละเอียดเกี่ยวกับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพและผู้ได้รับรางวัลที่ http://nobelpeaceprize.org/eng_lau_list.html


7> พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) (http://www.dhammathai.org/monk/sangha10.php) อธิบายเรื่องพรหมวิหาร 4 ไวี้ที http://www.nkgen.com/352.htm


8> โปรดดูเพิ่มเติม http://www.learntripitaka.com/scruple/prom4.html


9> โปรดอ่านข่าว "Jewish reversion to Islam" http://www.letswrite.net/jewish-reversion-to-islam และข่าว "A love under fire": http://www.guardian.co.uk/israel/Story/0,2763,966226,00.html


10>    โปรดอ่านข่าว ""พล..สุรยุทธ์" กล่าวขอโทษประชาชนแทนเจ้าหน้าที่-รัฐบาลชุดที่แล้ว" http://www.komchadluek.net/2006/specialreport/sn/sn.html


11>    ตีพิมพ์ใน วารสารมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ฉบับ มกราคม - กุมภาพันธ์ 2550 หน้า 24-25 หรือดูได้ที่ http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market141.htm


 


ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง


ความเห็นของดังตฤณ และ ติช นัท ฮันห์ ในเรื่องกรรมของคนรักเพศเดียวกัน, คอลัมน์ผู้หญิงสีรุ้ง โดยหลิน, ประชาไท, 7 มิ.ย. 2550


ชีวิต มีชีวา (Live, Alive) : ปาฐกถาธรรมที่เชียงใหม่โดยท่านติช นัท ฮันห์, ประชาไท, 24 พ.ค. 2550


บทเพลงแห่งหมู่บ้านพลัม, คอลัมน์ ทางเดินกับความคิด โดยอิทธิฤทธิ์  ประคำทอง, ประชาไท, 22 พ.ค. 50

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net