เมื่อวันที่ 25 ก.ย.เครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด และเครือข่ายชมรมชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 "หยุด! ยึดพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน เพื่อให้นายทุนเช่าป่า-เล หากิน" ระบุจากการที่รัฐบาลได้สานต่อโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน และนโยบายจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ด้วยการนำร่องเปิดป่าอุทยานฯ 30 แห่งทั่วประเทศ
ให้นายทุนเช่าเพื่อทำธุรกิจการท่องเที่ยวแบบครบวงจร ทั้งที่พัก ร้านค้า และอื่นๆ โดยมีระยะเวลา 30 ปี ในราคาเพียงตารางเมตรละ 30 บาทต่อเดือน แต่เอกชนขอให้ลดค่าเช่าลงเหลือตารางเมตรละ 3 บาทต่อเดือน สำหรับในจังหวัดตรังได้เปิดให้เช่าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม รวมเนื้อที่ 1,910 ไร่ ในพื้นที่หาดฉางหลาง, หาดยาว, เกาะกระดาน, หาดหยงหลิง, หาดสั้น และเกาะมุกด์
ในอีกด้านหนึ่ง ชุมชนดั้งเดิม ซึ่งสืบทอดภูมิปัญญาในการดูแลรักษาและใช้ประโยชน์จากป่ามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน กลับถูกรัฐบาลใช้กฎหมายและนโยบายป้ายสีว่าเป็นผู้บุกรุกทำลายป่า และขับไล่ออกจากบ้านและพื้นที่ทำกินของตนเอง โดยการจับกุมดำเนินคดีทางอาญาและแพ่ง เรียกค่าเสียหายรายละหลายล้านบาท ตลอดจนทำลายพืชผลทางการเกษตรและยึดที่ดิน
"เมื่อคนจนเหล่านั้นรวมตัวเรียกร้องให้รัฐบาลและส่วนราชการแก้ปัญหาพร้อมทั้งรับรองสิทธิในการจัดการทรัพยากร กลับบอกว่าไม่สามารถดำเนินการได้เพราะขัดกับกฎหมาย แต่เมื่อคนรวยต้องการหากินกับป่า กลับรีบแก้กฎหมายอุทยานฯ เพื่อเปลี่ยนหลักการและเจตนารมณ์ของการจัดการอุทยานฯ ให้สนองการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็เตรียมอพยพโยกย้ายชุมชนดั้งเดิมที่ก่อตั้งมาก่อนการประกาศเขตอุทยานฯ" แถลงการณ์ระบุ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด และเครือข่ายชมรมชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง ซึ่งได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายข้างต้น มีความเห็นว่าหากปล่อยให้รัฐบาลเปิดป่าให้นายทุนหากิน และยึดพื้นที่ทำกินของคนจนเช่นนี้ ประเทศไทยต้องสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมหาศาล จนยากที่จะฟื้นฟูกลับมาให้อุดมสมบูรณ์เช่นเดิม นอกจากนี้จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนดั้งเดิมและเจ้าหน้าที่รัฐรุนแรงขึ้น
ตลอดจนทำให้ชาวสวนและชาวประมงจำนวนมากต้องสูญเสียพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัย ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยสูญเสียความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ รวมทั้งทำให้ชุมชนดั้งเดิมไม่สามารถจัดการดูแลรักษาทรัพยากรได้อย่างเดิม สิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.2540, 2550 ว่าด้วยสิทธิชุมชน และสิทธิมนุษยชน และขัดแย้งกับปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอย่างยิ่ง
โดยมีข้อเสนอ คือ 1.รัฐบาลต้องยกเลิกนโยบายเปิดอุทยานฯ ให้นายทุนเช่าเพื่อทำการท่องเที่ยว และยกเลิกการปรับแก้ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ฉบับปี 2504 เพื่อสนองการท่องเที่ยวและยึดที่ดินจากชุมชนดั้งเดิม ตลอดจนแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดดังกล่าวต่อสังคม
2.รัฐบาลและส่วนราชการต้องเคารพสิทธิชุมชน และเปิดโอกาสให้ชุมชนดั้งเดิมจัดการทรัพยากรตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน ตลอดจนตั้งใจแก้ปัญหาเขตอนุรักษ์ทับซ้อนที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย และยกเลิกกฎหมายและนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาดังกล่าว
3.ขอให้สังคมร่วมกันตรวจสอบและผลักดัน ให้รัฐบาลยกเลิกแนวคิดเปิดป่าและทะเลให้นายทุนหากิน ตลอดจนสนับสนุนให้ชุมชนดั้งเดิมจัดการทรัพยากรและทำกินตามวิถีดั้งเดิมสืบไป
นอกจากนี้เครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด และเครือข่ายชมรมชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง ยังได้สรุปข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการเปิดพื้นที่อุทยานให้เช่าเพื่อการท่องเที่ยวเอาไว้ดังนี้
อุทยานที่เปิดให้เช่าแล้ว
1.อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง รวมพื้นที่ 7 แห่ง รวมทั้งหมด
2.อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ 2 แห่ง คือพื้นที่ตั้งอุทยานแห่งชาติ 1 (เกาะรอก) เนื้อที่
3.อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ มี 4 แห่งคือบริเวณหาดนพรัตน์ธารา พื้นที่
4.อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล 4 จุด คือบริเวณอ่าวจาก เกาะตะรุเตา เนื้อที่
5.อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา บริเวณเกาะตาชัย เนื้อที่
6.อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต บริเวณท่าฉัตรไชย หาดลายัน เนื้อที่
7.อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง จ.พังงา บริเวณพื้นที่ตั้งหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ลป.3 (ปาง) และบริเวณข้างเคียง และบริเวณพื้นที่ตั้งหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ลป.3 (ปาง) ต่อเนื่องไปทางทิศเหนือ
8.อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ 9.อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
10.อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง 11.อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
12.อุทยานแห่งชาติภูกระดึง 13.อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย
14.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 15.อุทยานแห่งชาติเอราวัณ
16.อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก
นอกจากนี้ ยังเหลืออีกหลายอุทยานที่ยังไม่เปิดเผยข้อมูล
แก้กฎหมายอุทยานเอื้อท่องเที่ยว
1.เปลี่ยนหลักคิดและเจตนารมณ์ของการจัดตั้งอุทยาน จาก "นันทนาการ" ไปสู่ "การท่องเที่ยว"
2.เปิดให้กลุ่มทุน บริษัทเอกชนสามารถเช่าพื้นที่ และดำเนินกิจการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและที่พักแรม (ม.40)
3.เปิดช่องว่างทางกฎหมายโดยให้จ่ายค่าชดเชยค่าเสียหาย เมื่อกระทำการสร้างความเสียหายแก่ระบบนิเวศ ป่าไม้ และสัตว์ป่า ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ (ม.41)
4.ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการทำลายทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่าได้ (ม.34)
5.ใช้หลักการ "ประกาศพื้นที่อนุรักษ์ ไปก่อน กันเขตภายหลัง" (ม.9-12)
6.ประกาศ "วนอุทยาน" ตัดขาดกระบวนการมีส่วนร่วม ไม่มีการสำรวจและกันแนวเขต (ม.48) ในขณะที่ความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายเท่ากับอุทยานแห่งชาติ (ม.50)
7.กำหนดชุมชนที่ถูกอุทยานทับที่เป็น "เขตผ่อนปรน" ให้ชุมชนอยู่อาศัยได้ชั่วคราว (ม.4) โดยต้องเข้าร่วมโครงการอนุรักษักับรัฐ (ม.29) และเปิดทางให้เอกชนเข้าไปดำเนินกิจการท่องเที่ยวหรือหาผลประโยชน์ (ม.39)
8.ให้อำนาจอธิบดีและเจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจในการอพยพโยกย้ายประชาชนในเขตผ่อนปรน (ม.29) จะทำให้ชุมชนขาดเสถียรภาพในการตั้งถิ่นฐาน
แถลงการณ์ฉบับที่ 1
หยุด ! ยึดพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน เพื่อให้นายทุนเช่าป่า-เล หากิน
ตามที่รัฐบาลได้สานต่อโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน และนโยบายจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) โดยการนำร่องเปิดป่าอุทยานฯ 30 แห่งทั่วประเทศ ให้นายทุนเช่าเพื่อทำธุรกิจการท่องเที่ยวแบบครบวงจร ทั้งที่พัก ร้านค้า และอื่นๆ โดยมีระยะเวลา 30 ปี ในราคาเพียงตารางเมตรละ 30 บาทต่อเดือน แต่เอกชนขอให้ลดค่าเช่าลงเหลือตารางเมตรละ 3 บาทต่อเดือน สำหรับในจังหวัดตรังได้เปิดให้เช่าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม รวมเนื้อที่ 1,910 ไร่ ในพื้นที่หาดฉางหลาง, หาดยาว, เกาะกระดาน, หาดหยงหลิง, หาดสั้น และเกาะมุกด์
ในอีกด้านหนึ่ง ชุมชนดั้งเดิม ซึ่งสืบทอดภูมิปัญญาในการดูแลรักษาและใช้ประโยชน์จากป่ามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน กลับถูกรัฐบาลใช้กฎหมายและนโยบายป้ายสีว่าเป็นผู้บุกรุกทำลายป่า และขับไล่ออกจากบ้านและพื้นที่ทำกินของตนเอง โดยการจับกุมดำเนินคดีทางอาญาและแพ่ง เรียกค่าเสียหายรายละหลายล้านบาท ตลอดจนทำลายพืชผลทางการเกษตรและยึดที่ดิน เมื่อคนจนเหล่านั้นรวมตัวเรียกร้องให้รัฐบาลและส่วนราชการแก้ปัญหาพร้อมทั้งรับรองสิทธิในการจัดการทรัพยากร กลับบอกว่าไม่สามารถดำเนินการได้เพราะขัดกับกฎหมาย แต่เมื่อคนรวยต้องการหากินกับป่า กลับรีบแก้กฎหมายอุทยานฯ เพื่อเปลี่ยนหลักการและเจตนารมณ์ของการจัดการอุทยานฯ ให้สนองการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็เตรียมอพยพโยกย้ายชุมชนดั้งเดิมที่ก่อตั้งมาก่อนการประกาศเขตอุทยานฯ
ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด และเครือข่ายชมรมชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง ซึ่งได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายดังกล่าว มีความเห็นว่าหากปล่อยให้รัฐบาลเปิดป่าให้นายทุนหากิน และยึดพื้นที่ทำกินของคนจนเช่นนี้ ประเทศไทยต้องสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมหาศาล จนยากที่จะฟื้นฟูกลับมาให้อุดมสมบูรณ์เช่นเดิม นอกจากนี้จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนดั้งเดิมและเจ้าหน้าที่รัฐรุนแรงขึ้น ตลอดจนทำให้ชาวสวนและชาวประมงจำนวนมากต้องสูญเสียพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัย ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยสูญเสียความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ รวมทั้งทำให้ชุมชนดั้งเดิมไม่สามารถจัดการดูแลรักษาทรัพยากรได้อย่างเดิม สิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.2540, 2550 ว่าด้วยสิทธิชุมชน และสิทธิมนุษยชน และขัดแย้งกับปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอย่างยิ่ง ดังนั้น จึงมีข้อเรียกร้อง ดังนี้
1.รัฐบาลต้องยกเลิกนโยบายเปิดอุทยานฯ ให้นายทุนเช่าเพื่อทำการท่องเที่ยว และยกเลิกการปรับแก้ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ฉบับปี 2504 เพื่อสนองการท่องเที่ยวและยึดที่ดินจากชุมชนดั้งเดิม ตลอดจนแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดดังกล่าวต่อสังคม
2.รัฐบาลและส่วนราชการต้องเคารพสิทธิชุมชน และเปิดโอกาสให้ชุมชนดั้งเดิมจัดการทรัพยากรตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน ตลอดจนตั้งใจแก้ปัญหาเขตอนุรักษ์ทับซ้อนที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย และยกเลิกกฎหมายและนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาดังกล่าว
3.ขอให้สังคมร่วมกันตรวจสอบและผลักดัน ให้รัฐบาลยกเลิกแนวคิดเปิดป่าและทะเลให้นายทุนหากิน ตลอดจนสนับสนุนให้ชุมชนดั้งเดิมจัดการทรัพยากรและทำกินตามวิถีดั้งเดิมสืบไป
ทั้งนี้ เราจะร่วมกับองค์กรภาคประชาชนอื่นๆ และผู้รักความเป็นธรรมในระดับภาคใต้และระดับชาติ ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และเคลื่อนไหวตอบโต้อย่างต่อเนื่อง จนกว่ารัฐบาลจะยกเลิกนโยบายดังกล่าว
ขอแสดงความนับถือ
เครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด, เครือข่ายชมรมชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง
25 กันยายน 51
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)