Skip to main content
sharethis

ทรงวุฒิ จันธิมา


 


 



 


"ถ้าคุณอยากเห็นอนาคตการเกษตรของไทยในอีก 20 ปี ก็ให้มองการเกษตรญี่ปุ่น"



 


"ชาวนาต้องปรับตัว ไม่อย่างนั้นสูญพันธุ์กันหมด"



 


"เชื่อเถอะว่า เด็กที่เรียนเกี่ยวกับการเกษตรในประเทศไทย


ไม่มีทางที่จะกลับมาทำการเกษตรของตนเอง


พวกเขาต้องการทำการเกษตรกับบริษัท"



 


"จนถึงเดี๋ยวนี้ มีการควบคุมเมล็ดพันธุ์ข้าวไปแล้วกว่า 70%


เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ บริษัทใหญ่ยึดพันธุ์ข้าวไปหมดแล้ว"



"ในความคิดของผม ผมเชื่อว่าเกษตรอินทรีย์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย"


 



 


"ข้าวแพง...คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือ กลุ่มนายหน้า พ่อค้านายทุน


...มันกลายเป็นเพียงเกม ส่วนชาวนาต้องรับกรรม"


 


 


 


"ดร.มิซาบุโร ทานิกุจิ" คือเกษตรกรชาวญี่ปุ่นที่ทำการเกษตรในเมืองไทยมากกว่า 25 ปี เป็นประธานมูลนิธิศูนย์อบรมเกษตรกรรมและอาชีพ มีพื้นที่ทำการเกษตรกว่า150 ไร่ ตั้งอยู่อยู่ระหว่างทางบ้านสักลอ - พวงพะยอม ต.หงส์หิน อ.จุน จ.พะเยา ซึ่งในช่วง 25 ปีที่ ดร.มิซาบุโร ทานิกุจิ ได้ทำฟาร์มระบบเกษตรอินทรีย์ ทำให้เขาเห็นความแตกต่างระหว่างชาวนาไทยและญี่ปุ่น และนี่คือมุมมองของเขา ที่ทำให้คนไทยมองเห็นองศาความคิดที่แตกต่าง ระหว่างไทยและญี่ปุ่นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น


 




ดร.มิซาบุโร ทานิกุจิ


ประธานมูลนิธิศูนย์อบรมเกษตรกรรม จ.พะเยา


ผู้ก่อตั้งฟาร์มแห่งศตวรรษที่ 21


 


ฟาร์มแห่งศตวรรษที่ 21 คืออะไร


F.C.21 หรือ ฟาร์มแห่งศตวรรษที่ 21 คือต้นแบบแหล่งผลิตอาหารเพื่อชาวโลกในอนาคต เพราะทุกวันนี้อาหารมีไม่พอสำหรับชาวโลก และอีกประการหนึ่งคือ มันเป็นการทำประโยชน์ หากเราอยู่ประเทศญี่ปุ่นผมกลายเป็นคนแก่ที่ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเราอยู่เมืองไทยผมสามารถทำประโยชน์ได้มากกว่า


 


โดยเมื่อ 25 ปีก่อน ผมทำฟาร์มที่จังหวัดเชียงราย ตอนนั้นฝึกแต่ชาวเขา ซึ่งหลังจากทำการเกษตรมาหลายปี เราก็อยากขยาย อยากทำงานให้มากกว่าเดิม ก็เลยหาสถานที่ใหม่ ดังนั้นอีก 8 ปีต่อมาผมจึงย้ายสถานที่มาอยู่ระหว่างทางทาง บ้านสักลอ - พวงพะยอม ต.หงส์หิน อ.จุน จ.พะเยา ตอนนี้นับเวลารวมกันได้ 25 ปีแล้ว ตอนที่ย้ายมาที่นี่กันดารมาก ที่ดินยังเป็นลูกรังอยู่เลย แต่เป้าหมายของเราคือ การทำการเกษตร ปลูกข้าว ทำสวน ทำปุ๋ยหมัก ฯลฯ  


 


เกษตรกรญี่ปุ่นกับไทยต่างกันเพียงใด


ความต่างข้อแรก เป็นเรื่องความรู้ เมื่อ 25 ปีก่อน คนญี่ปุ่นสามารถอ่านออกเขียนได้กันแทบทุกคน พวกเขาสามารถศึกษาเรื่องเทคนิค ด้านการเกษตรได้มาก แต่สำหรับคนไทย ตอนนั้นเกษตรกรที่อ่านหนังสือไม่ออกยังมีอยู่ และถึงมีพวกเขาก็ไม่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเกษตร


 


จุดสำคัญยังมีอีกอย่างคือ ชาวญี่ปุ่น มีการเปรียบเทียบความรู้ระหว่างกัน อย่างน้อยหนึ่งวันหรือสองวันก็มีการไปเยี่ยมพื้นที่การเกษตรระหว่างกัน ส่วนคนไทยพอมีงานพอมีการพบปะกัน ก็คุยกันเรื่องอื่น ไม่มีการคุยเรื่องการเกษตร


 


แต่คนไทยก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน


ถ้ามองในด้านเทคโนโลยีเราจะเห็นว่า ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่เมืองไทย เราจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เริ่มจากควาย เป็นรถไถ เป็นแทร็กเตอร์ มีเครื่องเกี่ยว เครื่องดูดข้าว และจะมีเครื่องมืออื่นอีกมากมายในอนาคต แต่ยังเทียบกับญี่ปุ่นไม่ได้ เพราะเรามีเครื่องมือที่พร้อมกว่า เกษตรกรญี่ปุ่นสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยทำงานได้ โดยเฉลี่ยคนญี่ปุ่น 1 คน สามารถทำนาได้ 50 ไร่


 


สำหรับคนไทยยังใช้มือทำ ถ้าคุณอยากเห็นอนาคตการเกษตรของไทยในอีก 20 ปี ก็ให้มองการเกษตรญี่ปุ่น แต่ตอนนี้ทุกคนก็เจอปัญหาเหมือนกัน เพราะราคาน้ำมันแพง ชาวนาญี่ปุ่น ชาวนาไทย ตอนนี้เดือดร้อนเรื่องต้นทุนการผลิตเหมือนกัน


 


มีความเห็นอย่างไร เรื่องลูกหลานชาวนาไม่ยอมทำนา


อันนี้มันเป็นปัญหาของสำคัญทั่วโลก ประเทศไทยไม่แตกต่างจากญี่ปุ่น เรื่องคนหนุ่มเลือกอย่างอื่น ตอนนี้อายุเฉลี่ยของชาวนาญี่ปุ่นอยู่ที่ 61 ปี ตอนนี้คนไทยก็คงอยู่ประมาณ 45 ปี มันสะท้อนให้เห็นเลยว่า ชาวนาต้องปรับตัว ไม่อย่างนั้นสูญพันธุ์กันหมด เชื่อเถอะว่า เด็กที่เรียนเกี่ยวกับการเกษตรในประเทศไทย ไม่มีทางที่จะกลับมาทำการเกษตรของตนเอง พวกเขาต้องการทำการเกษตรกับบริษัท


 


แต่เดี๋ยวนี้นักศึกษาหลายคนของญี่ปุ่นหลายคน มีความสนใจในการทำการเกษตรมากกว่าเดิม มีหลายคนบอกว่าเมื่อทำงานจบแล้วจะกลับมาทำเกษตรกรรม


 


แล้วมองการรวมตัวของเกษตรกรไทยในตอนนี้อย่างไรบ้าง


รัฐบาลไทยความจริงมีการส่งเสริมด้านการเกษตรกรรมมาก รัฐสนับสนุนมาก แต่กลุ่มเกษตรกรไม่ไขว่คว้ามันเป็นเพียงการรวมตัวเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น ไม่มีความเหนียวแน่นเลย อย่างช่วงที่ผ่านมา ที่ศูนย์มีการอบรมเรื่องสารเคมี โดย ธกส. หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เป็นคนออกค่าใช้จ่าย แต่ปรากฎว่า หลังการอบรม ไม่มีใครใช้ประโยชน์จากการอบรมเลย ยังหาคนทำปุ๋ยหมักไม่มีเลย นี่ทำให้เห็นความหละหลวมของการรวมกลุ่มของเกษตรชาวไทย


 


ยิ่งถ้าพูดถึงเรื่องพันธุ์ข้าว มันกลายเป็นปัญหาใหญ่อยู่แล้วเรื่องกลุ่มทุน ไม่ต้องมองที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ แต่ไปมองที่โลกตะวันตก มองอเมริกา ผมนั่งอ่านนิตยสารของญี่ปุ่นฉบับหนึ่งชื่อว่า World Watch เขาบอกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว จนถึงเดี๋ยวนี้ มีการควบคุมเมล็ดพันธุ์ข้าวไปแล้วกว่า 70% เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ บริษัทใหญ่ยึดพันธุ์ข้าวไปหมดแล้ว  


 


อย่าง GMOs หรือการตัดต่อพันธุกรรมพืช ถ้าหากว่ามันต้องใช้ ใช้แล้วไม่มีผลกระทบมันก็ต้องลองดู แต่ในความคิดของผม ผมเชื่อว่าเกษตรอินทรีย์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย แม้จะได้ข้าวน้อยกว่า แต่ประโยชน์ของข้าว ของคนที่รับประทานข้าวมีมากกว่า


 


ทำอย่างไรจึงจะให้เด็กหันมาทำการเกษตร


ก็ต้องมองไปที่เงิน รัฐต้องเข้ามาสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรโดยมองไปที่รายได้ สมมุติว่า จบปริญญาตรีได้เงินเดือน 7,300 บาท เราก็ต้องทำให้ชาวไร่ชาวนาได้เงินเท่านั้น โดยมองไปที่ราคาข้าว จากนั้น ทำให้ชาวนาได้เงินเดือนเท่านั้น เด็กไทยก็ไม่ต้องเข้าไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม


 


แต่บางที่มันก็ต้องยอมรับนะว่า นาบ้านเรามันเป็นนาปี ทำปีละครั้งที่เหลือมันก็คือว่างงาน ถ้าทำงานทุกวันแล้วสามารถได้เงินเยอะกว่าโรงงาน รับรองว่ามีคนเข้ามาทำการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนข้าวแพงมีผลต่อเกษตรกรหรือไม่ ในความคิดของผม คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือ กลุ่มนายหน้าพ่อค้านายทุน


 


ส่วนตัวผม ราคาข้าวไม่มีผลกระทบกับมูลนิธิหรอก เพราะมูลนิธิส่งผลผลิตที่ได้ขายให้กับร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทย 22 ตันต่อปี ส่วนปี 51 เรารับยอดเพิ่มขึ้นเป็น 30 ตัน โดยมีการประกันราคาข้าวให้กับเกษตรกรที่ทำนาระบบอินทรีย์ราคากิโลกรัมละ 13 บาท เรื่องราคาข้าวไม่มีผลกระทบกับเราเลย


 


ส่วนราคาข้าวแพงปัจจุบันนั้น ถามว่าเกษตรกรได้ขายตามราคานั้นจริงหรือเปล่า คำตอบคือ ไม่ ชาวนาขายข้าวไปตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ธันวาคม เมือปี 2550 แล้ว


 


ตอนนี้ราคาข้าวมันก็เหมือนกับตลาดหุ้น มีการปั่นราคา เป็นเรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มพ่อค้าคนกลางรายใหญ่ ยิ่งได้รับประมูลข้าวมาก ก็ยิ่งได้มาก มันกลายเป็นเพียงเกม ส่วนชาวนาต้องรับกรรม


             


           


           

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net