สุรชาติ บำรุงสุข : รัฐประหาร 2549 และการสูญเสียความฝันถึงอนาคตการเมืองที่ไกลกว่า เอา-ไม่เอา ทักษิณ

 

เมื่อวันที่ 15 .. 50 มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดงานเสวนา "ครบรอบ 100 ปีปริทัศน์: รัฐธรรมนูญและกบฏปฏิวัติรัฐประหาร - การเมืองสยามประเทศไทยสมัยใหม่ พ..2454-2550" ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวข้อหนึ่งในการเสวนาคือ "รัฐประหารสำเร็จ--รัฐประหารไม่สำเร็จ" โดยมีวิทยากรคือ ฉลอง สุนทราวาณิชย์ สุรชาติ บำรุงสุข ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ และ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ดำเนินรายการ

 

อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอกรอบความเข้าใจเรื่องที่แวดวงวิชาการเลิกสนใจไปแล้วอีกครั้ง คือ "ทหารกับการเมือง" พร้อมนำเสนอความซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อทหารต้องควบคุมสังคมแห่งความหลากหลายในยุคโลกาภิวัตน์ นอกจากนี้ยังเสนอด้วยว่า การรัฐประหาร 19 กันยา 2549 เป็นการสิ้นสุดทางประวัติศาสตร์ของการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยเราเห็นการเปลี่ยนข้างของอดีตฝ่ายซ้าย ทำให้ฐานะทางการเมืองของคนเดือนตุลาเป็นเพียงความหลังชุดหนึ่ง ทั้งยังเป็นยุคอับจนทางปัญญาของนักวิชาการ

 

"1 ปีที่ผ่านมา เรียนรู้อะไร ถ้าเรายังมีสติอยู่จะตอบได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น คำถามเหลืออย่างเดียว จะยอมให้เกิดไหม สังคมไทยพอใจจะอยู่กับการรัฐประหารไหม หรือถ้าคุณไม่เอาระบอบทักษิณ คุณพอใจที่จะอยู่กับระบอบทหารใช่ไหม ถ้าคนกรุงเทพฯ ตัดสินใจจะอยู่กับระบอบทหาร แต่คนที่เหนือกับอีสานไม่เอาจะเกิดอะไรขึ้น การเมืองไทยจะเป็นการเมืองของการสุดขั้ว ซึ่งเราไม่เห็นปรากฏการณ์นี้มาตั้งแต่ปี 2519 และมันจะกระทบกับสถาบันเบื้องสูงมากกว่าที่คิด" สุรชาติกล่าว

 

 

0 0 0

 

 

สุรชาติ บำรุงสุข

อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

ผมมีความหลังกับหอประชุมนี้ (หอประชุมศรีบูรพา หรือหอเล็ก - ประชาไท) พอสมควร ก่อนปี 2519 ขบวนนักศึกษาใช้หอประชุมธรรมศาสตร์เยอะมาก ทั้งหอใหญ่ หอเล็ก หลังปี 2519 กลุ่มอาจารย์จัดเวทีเพื่อแสดงบทบาทของภาคประชาสังคมไทยด้วยการให้อาจารย์ทั้งหลายทดลองนำเสนอว่า จะมีนโยบายอย่างไรถ้าเป็นรัฐบาล มันนานมาก คือเป็นการเลือกตั้งในช่วงรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่นึกว่าเวทีวันนี้ผมจะได้มาพูดเรื่องที่เก่าแก่ที่สุดของการเมืองไทย คือการรัฐประหาร และตกลงในอนาคตเราต้องจัดอย่างนี้อีกกี่รอบ ผมกำลังกลัวว่าปี 2550 จะมีอีกรอบ เพราะจนบัดนี้ "โผ" ก็ยังไม่ออก ถ้า "โผ" ไม่ออกนานๆ ลำบาก เตรียมตัวกันให้ดี มีคนพูดว่า ทำไมเด็กชายโผถึงคลอดยากคลอดเย็น ใครจะเป็นคนทำคลอดเด็กชายโผออกจากครรภ์มารดา และมีปัญหาด้วยว่า ใครคือมารดา

 

เราจะอธิบายความสำเร็จและล้มเหลวของรัฐประหารอย่างไร เรียนตรงๆ มีสองส่วน ส่วนที่พูดได้กับพูดไม่ได้ ที่พูดได้ก็เป็นกรอบที่นักเรียนรัฐศาสตร์ถูกสอนโดยปกติ สังเกตอย่างหนึ่งได้ว่า วิชาทหารกับการเมืองหายไปจากวงวิชารัฐศาสตร์นานมาก ไม่เฉพาะประเทศไทย แต่เป็นทั่วโลก เพราะทหารเขาลงจากเวทีการเมืองกันหมดแล้ว และนานแล้ว ทหารลงจากการเมืองก่อนที่สงครามเย็นจะยุติ ก่อนสงครามคอมมิวนิสต์จะเลิกด้วย หรือเทียบกับบ้านเรา คือหลังรัฐประหารปี 2520 ไปแล้ว หลังจากนั้น ถ้าอ่านหนังสือวิชาการ หรือหนังสือพิมพ์ในบ้านเรา ประเด็นทหารกับการเมืองไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่วันหนึ่งในบ้านเรากลับหมุนไม่พ้นประเด็นเดิม สุดท้ายเมื่อเราไม่มีใครทำวิจัยต่อ จึงไม่สามารถสร้างกรอบทางวิชาการได้ ยกเว้นแต่กรอบที่นักวิชาการต่างประเทศทดลองตั้งให้เรา

 

คนเรียนเรื่องทหารกับการเมือง ต้องได้เรียนหนังสือสองเล่มของ Samual Finer ชื่อ "The Man on Horseback : The Role of the Military in Politics"  และ Samual Huntington ชื่อ "The Soldier and The State : The Theory and Politics of Civil-Military Relations" ซึ่งเป็นกรอบที่พอจะตอบได้ แต่คำตอบรูปธรรมของประเทศกำลังพัฒนาที่ว่า ทำไมทหารยึดอำนาจสำเร็จ ตอบง่ายๆ คือ ทหารมีปืน แต่ต้องตอบมากกว่านั้น ไฟเนอร์บอกว่า ความสำเร็จของรัฐประหารนั้น เพราะองค์กรทหารถูกสร้างให้เป็นองค์กรสมัยใหม่ เป็น modern army ในสังคมไทยเริ่มเมื่อประมาณรัชกาลที่ 5 มันถูกสร้างให้มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่มีองค์กรไหนที่สมบูรณ์ในตัวเอง ทั่วโลกเป็นเหมือนกัน ความสมบูรณ์ในตัวเองคือ กองทัพมีระบบบังคับบัญชาที่รวมศูนย์ มีการจัดลำดับชั้น มีวินัย มีระบบการสื่อสารภายใน มีกระบวนการสร้างจิตวิญญาณของตัวเอง เปรียบเทียบแล้วองค์กรพลเรือนมีอะไร

 

ฮันติงตันยังบอกว่า กองทัพมีสถานะเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธ แต่พลเรือนไม่มีเลย โดยสภาพอย่างนี้ก็ไม่ต่างกับหนังสือเก่าๆ เช่นที่เลนินพูดว่า รัฐคือองค์กรติดอาวุธ แล้วกองทัพคือกลไกของรัฐที่เป็นผู้ใช้อาวุธ ความเหนือกว่าขององค์กรติดอาวุธมันยังผนวกกับปัญหาวัฒนธรรมการเมืองในแต่ละประเทศ การยอมรับหรือไม่ยอมรับการรัฐประหารขึ้นกับวัฒนธรรมของคนในประเทศ ต้องยอมรับแล้วว่า เรากำลังมีวัฒนธรรมการเมืองที่คิดว่าการรัฐประหารยอมรับได้ และเราอยู่ได้ ทั้งที่ก่อนสงครามเย็นจะยุติ ประเทศต่างๆ ไม่ยอมรับที่จะให้รัฐมีรัฐประหาร เช่นที่เกาหลีใต้ไม่ยอมให้มีแล้ว ทั้งที่มีภัยคุกคามความมั่นคงเพราะเกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ไม่มีใครตัดสินใจยึดอำนาจ

 

ปัญหาพวกนี้ยังผนวกกับปัจจัยภายนอกบางตัว ยุคที่เราอยู่กับสงครามคอมมิวนิสต์ เงื่อนไขของภัยคุกคามเป็นประเด็นใหญ่ที่ทำให้ทหารยึดอำนาจ แต่ก่อนที่สงครามคอมมิวนิสต์จะสิ้นสุด ปัจจัยภายนอกนั้นเปลี่ยน ตัวอย่างที่ชัด ลองนึกถึงการยึดอำนาจเดือนตุลาคม 2520 ปัจจัยภายนอกเปลี่ยน เช่น นโยบายทำเนียบขาวตั้งแต่ยุคของประธานาธิบดีคาร์เตอร์ที่เน้นสิทธิมนุษยชน หรือกองทัพในละตินอเมริกาซึ่งถือว่าแข็งแกร่งทางการเมืองประสบปัญหา เพราะมหาอำนาจไม่สนับสนุนให้กองทัพอยู่ในเวทีการเมือง

 

แล้วถ้าอธิบายว่ารัฐประหารล้มเหลว นักวิชาการตะวันตกได้อธิบายว่า รัฐประหารล้มเหลวเพราะความไม่พอเพียง 3 ประการ 1.ความไม่พอเพียงของความชอบธรรม เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด 2.ความไม่พอเพียงของความรู้ และเทคนิคที่เมื่อรับภาระยึดอำนาจเสร็จแล้ว ปัญหาคือจะบริหารประเทศอย่างไร ไม่แต่กองทัพในประเทศกำลังพัฒนาที่ประสบปัญหาแบบนี้ ถ้าเป็นฝ่ายซ้ายเก่า เหมาก็เคยบอกว่า การยึดอำนาจไม่ยาก แต่การสร้างอำนาจรัฐแดงหลังยึดอำนาจจะทำอย่างไร ตกลงกองทัพจะมีความพอเพียงในความรู้หลังยึดอำนาจหรือไม่ ผมคิดว่าไม่ต้องตอบในวาระครบ 1 ปี 19 กันยา เพราะทุกคนคงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับการเมือง เศรษฐกิจไทย

 

ความไม่พอเพียงประการสุดท้าย คือ ความไม่พอเพียงในทางศีลธรรม จะอธิบายอย่างไรกับการรัฐประหารที่เกิด และมันโยงไปถึงความผูกพันระหว่างประชาชนกับสถาบันทางการเมืองของพลเรือนภายในประเทศ ถ้าความผูกพันมีสูง การรัฐประหารก็เกิดได้ยาก

 

ถ้าหวนกลับมามอง กองทัพเป็นองค์กรติดอาวุธ แต่ปัญหาคือ อำนาจของอาวุธอย่างเดียวไม่พอ รัฐประหาร ปี 2549 เป็นตัวอย่าง ประเด็นใหญ่ที่สุด คือการควบคุมทางสังคม ถ้ายึดอำนาจได้แต่ควบคุมสังคมไม่ได้ ก็จะเป็นแบบที่เราเห็นนี้ สังคมไทยมีความเป็นพหุมากขึ้นเรื่อยๆ มีความหลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ เราเห็นก่อนการยึดอำนาจแล้ว ในความหลากหลายนี้ เมื่อทหารตัดสินใจใช้วิธีการเก่าที่สุด บวกกับวิธีคิดที่เก่าที่สุด ถามว่าการควบคุมสังคมสมัยใหม่ที่เป็นพหุเป็นไปได้ไหม แล้วถ้าทหารควบคุมสังคมไม่ได้ อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต วันนี้เราเห็น 2 อย่าง คนที่มีประสบการณ์พฤษภาคม 2535 จะอธิบายได้ชัดว่า ปัจจัยที่เคยหนุนให้เกิดพฤษภาปี 2535 วันนี้ไม่เป็นปัจจัยเชิงบวกกับเหตุการณ์การเมืองหลัง 19 กันยา 2549 สิ่งที่เราเห็นคือ การเปลี่ยนจุดยืนของกลุ่มที่เมื่อปี 35 เราเรียกว่า "พลังประชาธิปไตย" ซึ่งก็คือ พวกปัญญาชน คนชั้นกลางในเมือง สื่อและเอ็นจีโอ ท่านสังเกตไหม วันนี้พลังประชาธิปไตยของปี 2535 อาจจะไม่ทั้งหมด แต่หลายส่วนของ 4 ส่วนใหญ่นั้น ในวันนี้ย้ายข้าง

 

ผมอยากจะเสนอว่า Fukuyama เขียนหนังสือเรื่อง การสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ (The End of History) ผมคิดว่าการรัฐประหาร 19 กันยา 49 เป็นการสิ้นสุดทางประวัติศาสตร์ของการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง เราเห็นการเปลี่ยนข้างของอดีตฝ่ายซ้าย เราอาจจะเห็นรูปการ์ตูนการเมืองที่คุณสมัคร (สุนทรเวช) กับหมอสุรพงษ์ (สืบวงษ์ลี) จับมือกัน แล้วเขียนว่าเปลี่ยนสี เปลี่ยนข้าง ผมว่าไม่ใช่ การเมืองหลังการรัฐประหาร 19 กันยามันเปลี่ยนหมดแล้ว วันนี้เราอาจต้องยอมรับที่อดีตผู้นำนักศึกษาที่ชื่อใหญ่ๆ วันนี้อยู่กับทหาร อยู่กับ คมช. ของอย่างนี้น่าสนใจ มันเป็นการสิ้นสุดทางประวัติศาสตร์ของการเมืองชุดหนึ่ง พูดง่ายๆ ฐานะทางการเมืองของคนเดือนตุลาจบแล้วครับ อย่างไปหวังอะไรกับคนเดือนตุลา เป็นแต่เพียงความหลังชุดหนึ่งอย่างที่หนังพี่สุชาติ (สวัสดิ์ศรี) ทำให้เราดู ผมคิดว่าพี่สุชาติน่าจะเขียนด้วยว่า "แด่คนเดือนตุลา ทั้งที่อยู่กับ คมช. และไม่เอา คมช."

 

ในปรากฏการณ์อย่างนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ ผลพวงการเมืองไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร รัฐประหารจะเกิดอีกไหม ถ้าให้ผมมองปัญหาใหญ่ของการเมืองไทย คือ coercive democracy ในทางการทูตมันมีคำว่า coercive diplomacy คือการทูตที่ใช้ปืนเป็นเครื่องมือ การเมืองไทยในอนาคต ประชาธิปไตยไทยมันอยู่บนดาบปลายปืน มีความเปราะบางอยู่ 4 ประการในอนาคต 1.ผลพวงจาก 9/19 ผมล้อ 9/11 หลัง 9/19 สิ่งที่จะเห็นคือ กองทัพเข้มแข็ง พรรคการเมืองอ่อนแอ หรือการเมืองภาคพลเมืองอ่อนแอ ดูรัฐธรรมนูญปี 50 เป็นตัวอย่างที่สร้างความแตกแยกและอ่อนแอ หรือที่คุณคณิน บุญสุวรรณ พูดชัดถึงขนาดว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่สร้างให้เกิดเงื่อนไขการรัฐประหารในอนาคต 

 

ในความแตกแยกและความอ่อนแอ มันนำไปสู่คำตอบประการเดียวคือ การเมืองภาคพลเมืองต้องพึ่งผู้พิทักษ์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมือง นั่นคือ กองทัพ ในสภาพอย่างนั้น สิ่งที่เราจะเห็นคือ ทหารจะไม่ออกจากการเมืองไทย สิ่งที่มหาวิทยาลัยต้องทำอาจต้องสอนวิชาทหารกับการเมืองไทยใหม่อีกครั้ง

 

สภาพอย่างนี้การเมืองในอนาคตมีลักษณะที่ถ้าจะใช้คำให้สวยก็คือ Guided Democracy หรือประชาธิปไตยที่ถูกชี้นำโดยชนชั้นสูงและผู้นำกองทัพ ผมเชื่อว่าการรัฐประหารรอบนี้เป็นการรัฐประหารที่หน่อมแน้มที่สุด ใครที่มีประสบการณ์รัฐประหารที่กรุงเทพฯ เราจะรู้สึกอย่างนั้น จัดตั้งมวลชนไปให้ดอกไม้ แต่ผลพวงอันหนึ่งซึ่งผมไม่เข้าใจคือ สื่อเล่นไม่มาก ปัญญาชนไม่แตะเลย นั่นคือ กฎหมายความมั่นคง เราเคยมีกฎหมายความมั่นคงฉบับใหญ่ที่สุด คือ กฎหมายคอมมิวนิสต์ แล้วยกเลิกไปสมัยรัฐบาลชวน แต่ไม่ยกเลิก กอ.รมน. วันนี้ฟื้นมาใหม่ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรจึงไม่มีเสียงประท้วง วันนี้ปัญญาชนไทยยอมรับกฎหมายความมั่นคง ถ้ายอมรับวันนี้ ก็ลองถามว่าเกิดอะไรขึ้นในมาเลเซีย

 

กฎหมายความมั่นคงที่ออกในวันนี้ เป็นกระบวนการสร้างสถาบันของอำนาจทางการเมืองของทหาร พูดง่ายๆ คือ ทหารสามารถอยู่ในเวทีทางการเมืองโดยมีกระบวนการทางกฎหมายยอมรับ ถ้ากฎหมายนี้ออกจะเห็นของขวัญชิ้นใหม่อีกไม่นานจาก คมช. คือ ทบวงความมั่นคง แต่ไม่เห็นมีใครสนใจ ท่านไม่ต้องคิดมาก สังคมไทยวันนี้ academy fantasia หรือในความเป็นจริงมันคือ political fantasia แล้วอนาคตของมันตกลงมันจะสิ้นสุดเมื่อไร จนถึงวันนี้โผโยกย้ายก็ยังไม่ออก

 

ถ้าดูรัฐประหารปี 2534 กับ 2549 มีปัจจัยร่วมเรื่องเดียวคือ โผทหาร สำหรับปี 2535 ก็ไม่รู้ว่าตกลงจริงไหมที่นายกฯ พล.อ.ชาติชาย (ชุณหะวัณ) ตัดสินใจจะโยกย้าย ผบ.ทบ. ปัจจุบันนี้ก็เป็นปัญหาเดียวกัน แล้ววันนี้ที่การเมืองไม่นิ่งตั้งแต่ยึดอำนาจเสร็จ ก็เป็นปัญหาเรื่อง "โผ" อีก มันจึงเป็นลูกชายที่คลอดยากที่สุด ตกลงใครเป็นมารดา ใครเป็นคนทำคลอด ปัญหานี้ใหญ่นะครับ มองในมุมรัฐศาสตร์ ถ้าไม่ยุ่งยาก สังคมไทยต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งให้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้ก็ต้องจัดเวทีพูดเรื่องรัฐประหารไปเรื่อยๆ

 

เรื่องโผคือตัวอย่าง อีกเรื่องคือ ปฏิรูปกองทัพไทย ในทัศนะผม กองทัพไทยปฏิรูปครั้งสุดท้ายเมื่อในหลวงรัชกาลที่ 5 สร้างกองทัพเป็นกองทัพสมัยใหม่ เป็นกองทัพประจำการสยาม ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่เราทำเหมือนซ่อมรถ คือตัดผุ ถ้าไม่ปฏิรูปเราจะสร้าง "ทหารอาชีพ" ได้ไหม แต่เราไม่มีคำตอบเลยว่าทหารอาชีพคืออะไร ในสภาวะที่เราไม่มีคำตอบว่าทหารอาชีพคืออะไร มันก็ผูกโยงกับปัญหาใหญ่ที่สุด ตกลงการจัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพมีไหม แล้วถ้าไม่มี ใครทำโผทหาร ใครจะสร้างทหารให้เป็นทหารอาชีพ ประเด็นเหล่านี้ล้วนซับซ้อนและท้าทาย

 

 

คำถามจากผู้ฟัง : 1 ปีทีผ่านมาหลังการรัฐประหาร  สังคมการเมืองไทยได้เรียนรู้อะไรบ้าง

สุรชาติ : ผมว่าเป็น 1 ปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เป็นการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ ดังนั้น จากนี้ไปท่านจะเห็นการเมืองอีกโฉมหน้าหนึ่งที่เราไม่คุ้นเคย สิ่งที่จะเห็นชัดที่สุดในความไม่คุ้นเคยคือ ปีใหม่ที่ผ่านมา สื่อไม่เชิญนักวิชาการให้ความเห็นทางการเมืองเพื่อทำนายอนาคต แต่เชิญหมอดู เพราะหมอดูบอกอะไรได้มากกว่านักวิชาการ

 

ในความหมายที่เราเผชิญ ผมคิดว่าตอบยาก แต่ผมเชื่อว่า 1 ปีที่ผ่านมาเป็น 1 ปีของความไร้เสถียรภาพทางการเมือง เป็น 1 ปีของการการแตกแยกทางการเมือง เป็น 1 ปีของการถดถอยทางเศรษฐกิจ ตอนนี้ผมนั่งรอดูว่า เมื่อไรปัญญาชน สื่อ และเอ็นจีโอที่หนุนรัฐประหารจะออกมาขอโทษต่อสังคมไทย ผมยังเชื่อว่า วันนี้รัฐประหารไม่ใช่คำตอบ ถึงอนาคต ก่อนปี 2554 ตามที่อาจารย์ชาญวิทย์ (เกษตรศิริ) ทำนายไว้ ถ้ามีจริงก็เป็นความผิดพลาดไม่ต่างกัน รัฐประหารในยุคโลกาภิวัตน์ ในสภาพที่สังคมไทยเป็นพหุนิยมมากขึ้น ตอบได้อย่างเดียวว่า มันเป็นกระบวนการฆ่าตัวตายทางการเมือง และเป็นการทำลายเศรษฐกิจ วันนี้ท่านจะเห็นทุนที่ไหลอออกจากบ้านเราไปเหมือนน้ำ อนาคตทางเศรษฐกิจเราริบหรี่ ถ้าเศรษฐกิจไทยฟุบอีกครั้ง มันจะหนักกว่าปี 2540 อย่าเชื่อจีดีพี อย่าเชื่อยาหอมที่รัฐให้กับสื่อซึ่งก็สนับสนุนรัฐประหาร พูดง่ายๆ ในชีวิตของคนทำมากิน ใครบ้างมีความสุข ความสุขอยู่กับคนกลุ่มเดียว และคนที่อยู่กับตำแหน่งสูงๆ ในรัฐวิสาหกิจ

 

1 ปีของความใหม่ นับจากนี้ไปข้างหน้า เป็นความใหม่ทางการเมืองซึ่งเราไม่รู้จะเกิดอะไรในอนาคต ภายใต้ความแตกแยกที่เราเห็น ถ้ายึดอำนาจอีกรอบจะเกิดอะไรขึ้น คิดง่ายๆ วันนี้เห็นผลประชามติเหนือกับอีสาน วันนี้เปิดเว็บไซต์ดูความน่ากลัว คนเริ่มพูดกันว่า ถ้าคนส่วนกลางยังหนุนรัฐประหารอย่างนี้ ยังด่าว่าอีสานโง่ เหนือใจง่าย เอาเงินซื้อได้ เรื่องนี้ใหญ่ที่สุด เริ่มมีคนพูดกับผมว่า เอ๊ะ อาจารย์ ระเบิดสะพานเดชาทิ้งดีไหม แล้วแยกซะเลย อย่าคิดเป็นเล่นนะครับ ถ้ายังเชื่อแบบนั้น แล้วคนเหนือ อีสาน ถามกลับว่า พวกโง่ๆ ที่กรุงเทพฯ ที่หนุนรัฐประหารล่ะ เราจะตอบว่ายังไง

 

ผมคิดว่าวันนี้ต้องตั้งสติ ปัญหามันเลย "เอา" หรือ "ไม่เอา" ทักษิณไปหมดแล้ว ปัญหาในอนาคตที่ใหญ่ที่สุดที่เราต้องตอบคือ เราจะวาดฝันอนาคตการเมืองไทยอย่างไร ตอนนี้คิดแต่ด่าทักษิณอยู่กันแค่นี้ แล้วมันแก้ไขปัญหาทางการเมืองหรือเศรษฐกิจได้หรือไม่ วันนี้อียูจะมาตรวจการเลือกตั้ง ยังมีคนพูดว่าสงสัยคุณทักษิณไปดันอียูให้มาตรวจ เป็นตลกร้ายทางการเมือง

 

ผมคิดว่าคนในสังคมไทยต้องตอบด้วยตัวเอง 1 ปีที่ผ่านมาเลยหมดแล้วกับเอาหรือไม่เอาทักษิณ เหลือคำถามเดียว ตกลงสังคมไทยจะอยู่กันอย่างไร อนาคตทางการเมืองจะเป็นอย่างไร พวกที่หนุนรัฐประหารยังสบายดีใช่ไหม

 

แม้จุฬาฯ เขาจะหนุนรัฐประหารกันหมด แต่ผมยังยืนยันว่า ผมไม่ใช่แกะดำ ผมเป็นแกะขาวในหมู่แกะดำที่คณะรัฐศาสตร์ ถ้าการเลือกตั้งกลับมา คำถามผมถึงพรรคพวกอาจารย์หรือพวกหนุนรัฐประหารที่เดินสายสร้างความชอบธรรมในต่างประเทศให้กับการรัฐประหาร ถ้าการเลือกตั้งกลับมา คนพวกนั้นจะสอนเรื่องการเลือกตั้งกับประชาธิปไตยอย่างไร เพราะครั้งหนึ่งคุณก็หนุนรัฐประหารในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นบางคนได้ประโยชน์จากการรัฐประหารรอบนี้

 

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดอีกมุมคือ วิกฤตของปัญญาชนไทย มีปัญหาตั้งแต่ จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ นิด้า เป็นยุคที่อับจนทางปัญญา เพราะไม่มีคำตอบต่ออนาคตในความใหม่ทางการเมืองไทยที่กำลังเผชิญ เหลือแต่กลับบ้านไปแล้วสวดมนต์อย่างเดียว จตุคามราคาก็เริ่มตกอีกแล้ว

 

1 ปีที่ผ่านมา เรียนรู้อะไร ถ้าเรายังมีสติอยู่จะตอบได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น คำถามเหลืออย่างเดียว จะยอมให้เกิดไหม สังคมไทยพอใจจะอยู่กับการรัฐประหารไหม หรือถ้าคุณไม่เอาระบอบทักษิณ คุณพอใจที่จะอยู่กับระบอบทหารใช่ไหม ถ้าคนกรุงเทพฯ ตัดสินใจจะอยู่กับระบอบทหาร แต่คนที่เหนือกับอีสานไม่เอาจะเกิดอะไรขึ้น การเมืองไทยจะเป็นการเมืองของการสุดขั้ว ซึ่งเราไม่เห็นปรากฏการณ์นี้มาตั้งแต่ปี 2519 และมันจะกระทบกับสถาบันเบื้องสูงมากกว่าที่คิด อารมณ์ในเว็บไซต์วันนี้เป็นอะไรที่ใหญ่มาก ทั้งจริงไม่จริง กระทรวงไอซีทีก็กำลังล่าคนที่โพสต์อะไรบางอย่าง อนาคตจึงเป็นเครื่องหมายคำถามใหญ่ของสังคมไทย ดีที่สุด วันนี้ต้องตั้งสติ ตกลงเราจะสร้างพิมพ์เขียวของสังคมไทยได้ไหม อาจารย์ชาญวิทย์พูดเมื่อครู่ว่า ต้องไม่ท้อ ผมคิดว่าการต่อสู้ของการเมืองไทยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่เราไม่นึกว่าต้องมาสู้ในประเด็นที่เก่าแก่ที่สุด เราต้องตอบว่าจะทำการเมืองให้เหมือนกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าไหม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท