ทางสหพันธ์ฯ ระบุว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งนี้เป็นการกระทำที่เป็น "เผด็จการ" เนื่องจากยังไม่ทันได้มีการไต่สวนหรือตรวจสอบข้อเท็จจริงใดๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันที่ 22 ก.ค.2550 อันนำมาซึ่งการตั้งข้อหาดังกล่าว เจ้าหน้าที่กลับจับกุมแกนนำทั้ง 9 คนในระหว่างการเข้ารับฟังข้อกล่าวหาในชั้นศาล
การจับกุมและคุมขังแกนนำต่อต้านรัฐบาลทหารทั้ง 9 ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยลงนามเป็นภาคี เพราะการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลขั้นพื้นฐานที่กระทำได้ หรือในกรณีที่รัฐบาลเห็นว่าการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ก็มีสิทธิที่จะจับกุมหรือคุมขังผู้ต้องหาได้ แต่เจ้าหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดแจ้งเสียก่อนว่าการกระทำของบุคคลหรือกลุ่มคนดังกล่าวมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติจริง
เมื่อเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในวันที่ 22 ก.ค.ยังไม่ได้รับการพิสูจน์และไม่ปรากฏบทสรุปที่แน่ชัดว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงมาจากฝ่ายรัฐหรือกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกัน การจับกุมและคุมขังแกนนำทั้ง 9 จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
สหพันธ์ฯ ได้ระบุไว้ในจดหมายด้วยว่า การตั้งข้อหาและเรียกร้องความรับผิดชอบจากแกนนำกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทั้ง 9 คน ถือเป็นการแทรกแซงทางการเมืองอย่างหนึ่ง เพราะเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบไปถึงการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ด้วยเหตุนี้ สหพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล จึงยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลทำการไต่สวนกรณีดังกล่าวด้วยความเร่งด่วน และต้องแสดงให้เห็นว่าการจับกุมตัวแกนนำฯ ครั้งนี้ไม่มีเหตุผลทางการเมือง โดยขั้นตอนการไต่สวนจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงในกฏหมายสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัดด้วย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)