ทำอย่างไรจึงจะปลอดรัฐประหาร

ดร.โสภณ พรโชคชัย

 

วันที่เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ผมอยู่บรูไน ได้รับเชิญไปบรรยายด้านการจัดรูปที่ดินต่อรัฐมนตรีด้านการพัฒนาประเทศและคณะ และหลังจากนั้นผมก็เดินทางไปอีกหลายต่อหลายประเทศ พบปะผู้คนที่ไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นนักธุรกิจ นักวิชาการและนักวิชาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ การธนาคาร และการพัฒนาเมือง แต่ละคนล้วนเสียดายที่ประเทศไทยเกิดรัฐประหาร ซึ่งทั่วโลกไม่ยอมรับในเรื่องนี้

 

เมื่อกลางเดือนที่แล้ว ผมได้รับเชิญจากสมาคมนายธนาคารมาเลเซียไปอภิปรายเรื่องอสังหาริมทรัพย์ เขาเล่าให้ฟังว่านักลงทุนต่างชาติไปลงทุนในประเทศของเขามากขึ้น โดยมองข้ามประเทศไทยที่มีปัญหาทางการเมือง ส่วนเวียดนามที่ผมไปสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์มาทั้งนครโฮชิมินห์ และเคยเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลด้านประเมินค่าทรัพย์สิน เขาก็ได้รับอานิสงส์อย่างมากเช่นกันจากการที่นักลงทุนเบือนหน้าจากไปและบ่ายหน้าไปประเทศของเขา

 

เมื่อสัปดาห์ก่อนผมเดินทางไปประชุมนานาชาติด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มาเก๊า อาจารย์มหาวิทยาลัยจากทั้งยุโรปและเอเซียต่างพากันถกเรื่องการลงทุนในจีน เวียดนามและประเทศอื่น ๆ ส่วนประเทศไทย ไม่ใช่เป้าหมายของเขาเลย หลายท่านไม่กล้าเดินทางมาประเทศไทยด้วยซ้ำ

 

ล่าสุดผมไปศรีลังกาในสัปดาห์นี้ ไปพบนักพัฒนาชุมชนแออัดชาวศรีลังกา และพบศาสตราจารย์ด้านการพัฒนาเมืองชาวอินเดียผู้เคยเป็นเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ เขาก็เสียดายที่ประเทศไทยของเราสะดุด ผมได้เรียนรู้มาว่าทำไมประเทศอินเดียและศรีลังกา จึงไม่มีรัฐประหาร

 

ในอินเดียและศรีลังกา เขา "ขุน" ทหารไว้ "ตายเพื่อชาติ" ทหารจะได้รับการดูแลอย่างดี มีความสุข ไม่ต้องแสวงหาลาภยศทางอื่น สวัสดิการก็ดีมาก ในอินเดีย มีร้านค้าสวัสดิการขายสินค้าราคาถูกแก่ทหารอีกต่างหาก นอกจากกิจกรรมป้องกันประเทศแล้ว ทหารทั้งในอินเดียและศรีลังกาแทบไม่เคยถูกเรียกใช้ในทางอื่น ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน เช่น ช่วยภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นต้น ผิดกับกรณีปากีสถานที่การเมืองไปอิงทหารตั้งแต่แรก ๆ ที่ได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ จึงมีรัฐประหารเกิดขึ้นหลายครั้ง

 

ที่สำคัญทั้งอินเดียและศรีลังกา ไม่มีการเกณฑ์ทหาร จึงไม่มี "ไอ้เณร" ไว้ให้ใช้ตรึงกำลังระหว่างทำรัฐประหาร ทหารเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง หรือที่เรียกว่า "ทหารอาชีพ" เหมือนข้าราชการอื่น ๆ อาจกล่าวได้ว่า ในแวดวงใดหากมีการ "เกณฑ์" หรือรับ "อาสาสมัคร" ก็จะเกิดเป็นกองทัพได้ เช่น กองทัพของทหาร (พราน) หรือกองกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ หรือกองอาสาอื่น ๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อการต่อรองทางการเมือง

 

ทหารในประเทศทั้งสองนี้ อยู่ภายใต้นักการเมือง นัยว่ากองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศแยกกันเป็นเอกเทศชัดเจน ผู้บังคับบัญชาสูงสุดก็คือประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นนักการเมืองนั่นเอง หากฝ่าฝืนนโยบายของรัฐบาล ทหารก็มีโอกาสถูกปลดหรือย้ายได้ง่าย ๆ เช่นข้าราชการทั่วไป โอกาสที่ทุกเหล่าทัพจะจับมือกันออกมา "exercise" จึงแทบจะไม่มี โอกาสที่จะกระดิกกระเดี้ยไปทางไหนก็ค่อนข้างจำกัด และยิ่งขืนออกมาก็ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม

 

การที่นักการเมืองคุมกองทัพได้ ก็เพราะนักการเมืองหรือพรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง ได้รับการสนับสนุนหรือมีฐานเสียงจากประชาชนอย่างหนาแน่น นักการเมืองกับประชาชนมีความผูกพันกันใกล้ชิด ประชาชนมีปัญหาก็เข้าหาหรือใช้นักการเมือง ไม่ต้องเข้าหา "ขุนทหาร" ท่านใด ในศรีลังกา ยังมีพรรคการเมืองของชาวพุทธ มีพระเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรัฐมนตรี การที่พระ ชนกลุ่มน้อยหรือชาวบ้านพื้นถิ่นกลุ่มต่าง ๆ มีความเข้มแข็งทางการเมือง ก็แสดงว่าหากมีรัฐประหารเกิดขึ้นโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากพระ หรือประชาชน รัฐประหารนั้นย่อมไปไม่รอด

 

อาจกล่าวได้ว่าประชาธิปไตยได้รับการปลูกฝังกันมาตั้งแต่ระดับนักเรียน ระดับหมู่บ้าน มีการถกเถียงทางการเมืองกันอย่างกว้างขวาง ประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมือง ประชาชนรู้ดีกระทั่งเรื่องส่วนตัวของนักการเมืองแต่ละคนโดยแหล่งข่าวทั้งจากหนังสือพิมพ์ สื่ออื่น ๆ หรือกระทั่งการบอกต่อ ๆ กัน หนังสือพิมพ์หลายฉบับในประเทศทั้งสองนี้อาจเชียร์พรรคการเมืองหรือนักการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งบ้าง แต่ก็ไม่มีการปิดหรือการ "censor" ข่าวต่าง ๆ แต่อย่างใด จึงอาจกล่าวได้ว่าหนังสือพิมพ์เป็นสถาบันที่มีความเป็นอิสระพอสมควร

 

จากปัจจัยข้างต้น จึงเห็นได้ว่า แม้ว่าอินเดียและศรีลังกา จะยากจนและล้าหลังกว่าประเทศไทยของเรา แต่เขาก็มีประชาธิปไตยที่เข้มแข็งกว่าเรา บางทีเราควรศึกษาแบบอย่างมาจากประเทศทั้งสองนี้บ้างโดยเฉพาะแนวทางการทำให้ไทยปลอดพ้นจากรัฐประหาร เข้าทำนอง "เอาเยี่ยงกา"

 

หมายเหตุ

   ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ ยังเป็นผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย กรรมการสภาผู้ประเมินค่าทรัพย์สินอาเซียน และกรรมการสภาที่ปรึกษา Appraisal Foundation ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรสเพื่อการควบคุมการประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมืองใด ๆ หรือเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด Email: sopon@thaiappraisal.org

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท