นักวิชาการและสังคมไทยจะสร้างและจะมีเสรีภาพทางวิชาการได้จริงหรือ เมื่อเสรีภาพทางวิชาการต้องเผชิญหน้ากับอำนาจเผด็จการและทุนเบ็ดเสร็จ รวมถึงบุคคลสาธารณะ กรณีล่าสุดของมรกต เจวจินดา หนังสือวิชาการเรื่อง "ภาพลักษณ์ปรีดีฯ" กับการถูกฟ้องหมิ่นประมาทโดยอดีตอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คนหนึ่ง กำลังสั่นคลอนมายาคติของถ้อยคำ "เสรีภาพทางวิชาการ" ว่ามีในสังคมวิชาการเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อบ่ายวันที่ 28 พฤษภาคม 2550 สองนักวิชาการร่วมเสวนาปัญหา "เสรีภาพในการทำงานวิชาการ" ในเวทีการอบรมการวิจัยที่จัดโดยศูนย์ส่งเสริมวิจัยและการผลิตตำรา มหาวิทยาลัยเกริก ณ ศูนย์สัมมนากิตติธเนศวร นครนายก
นักวิชาการจำกัดเสรีภาพของตนเอง?
ดร.
ดร.ชาญวิทย์สรุปว่า ถ้าบ้านเมืองเราปิดกั้นสังคมปัญญา บ้านเมืองเราก็คงไม่พัฒนา ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง เราก็จำกัดตัวเอง ปิดตาตัวเอง ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ประวัติศาสตร์ของวงวิชาการในบ้านเรา ก็เพิ่งมีสิ่งที่เรียกว่านักวิชาการจริงๆ ก็เพิ่งทศวรรษ 1960 หรือ 2500 หรือ 40 กว่าปีมานี้ เพราะก่อนหน้านั้นเป็นเพียงผู้สอนในสถาบันฝึกงานให้ราชการไทย ซึ่งเท่ากับอายุของความเป็นนักวิชาการในบ้านเมืองเราก็ไม่มากเลย แต่นักวิชาการในปัจจุบันก็ได้รับเชิญเป็นพวกเนติบริกรรัฐศาสตร์บริการ เป็นใหญ่เป็นโต ดังนั้น นักวิชาการจึงอาจจำกัดเสรีภาพของตนเองก็ได้ จึงทำให้วิชาการเจริญงอกงามได้ไม่ง่ายนัก
อำนาจรัฐเผด็จการกับปัญหาเสรีภาพทางวิชาการ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ นักประวัติศาสตร์การเมืองไทย วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เสนอและให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า นักวิชาการส่วนใหญ่ของสังคมไทยไม่มีปัญหาเสรีภาพทางวิชาการ เพราะส่วนใหญ่สนับสนุนกรอบความรู้เดิมของสังคม แต่เมื่อนักวิชาการใดเริ่มวิพากษ์กรอบความรู้หรือวาทกรรมเดิมของสังคม ก็อาจจะต้องเริ่มเผชิญหน้ากับปัญหาเสรีภาพทางวิชาการ เช่น หากมีนักวิชาการวิพากษ์วาทกรรม "สมานฉันท์" ที่ทำให้ทหารเข้ามายึดอำนาจนั้น ว่าเป็นวาทกรรมที่ทำให้ทหารเป็น "ตาอยู่" ทางการเมือง คว้าอำนาจคว้าพุงปลาไปได้ การวิพากษ์ในแบบนี้ก็อาจมีปัญหากับกลุ่มที่ครองอำนาจรัฐในปัจจุบัน และอาจนำมาซึ่งการเผชิญหน้ากับปัญหาเสรีภาพทางวิชาการด้วยเช่นกัน
ทำไมปัญหาเสรีภาพทางวิชาการจึงเป็นประเด็นสำคัญในยุคสมัยปัจจุบัน? รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และฉบับร่างปี 2550 เขียนไว้ใน "มาตรา 42 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในทางวิชาการ" โดยมาตรานี้ระบุว่า "การศึกษาอบรม การเรียนสอน การวิจัย และการเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการ ย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดต่อหน้าที่พลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน" ซึ่งเสรีภาพทางวิชาการถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อสำคัญทางกฎหมายก็น่าเพราะว่า การต่อสู้กับอำนาจเผด็จการที่ผ่านมา นักวิชาการได้ร่วมต่อสู้ด้วย และอีกสองกลุ่มที่ต่อสู้อย่างทรงพลังคือ หนังสือพิมพ์ และพลังประชาชน ดังนั้น อีกสองพลังนี้ก็จะได้รับเสรีภาพที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน
แต่มาตรา 42 เสรีภาพทางวิชาการนี้ เป็นปัญหาจากการเผชิญหน้าและต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการ นั่นคือ อำนาจรัฐไม่สามารถมากำหนดทิศทางการทำงานวิชาการใดๆ หากแต่ยังไม่คุ้มครองในการเผชิญหน้ากับหมายศาลหมายตำรวจหรือหมายของสังคม-นักการเมือง (ดังเช่นในกรณีงานศึกษาเรื่องการเมืองในอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ของอาจารย์
กระบวนการยุติธรรมกับเสรีภาพทางวิชาการที่ยังไม่เป็นจริง?
กรณีบุคคลที่ฟ้องหมิ่นประมาทงานศึกษาวิจัยของนักวิชาการล่าสุดคือ กรณีศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฟ้องอาจารย์
รวมๆ แล้ว การฟ้องโดยวิธีการนี้ กระบวนการยุติธรรมก็ "สั่นคลอน" ความสุขและการดำเนินชีวิตปกติของอาจารย์ผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นอาจารย์มรกตได้ร่วมถึง 6 เดือนถึงหนึ่งปีเป็นเบื้องต้น อาจารย์มรกตต้องวิ่งหาทนาย เพราะใครจะไปคิดว่า งานแบบนี้ของนักวิชาการจะถูกฟ้องได้ ฟ้องหลังการทำวิทยานิพนธ์แล้วเสร็จเกือบสิบปี หรือหลังตีพิมพ์เป็นหนังสือเล่มแล้ว 6 ปี ทั้งอาจารย์มรกตต้องเสียค่าใช้จ่ายเบื้องต้นสำหรับทนาย 3 หมื่นบาท หากอัยการส่งฟ้องศาลก็คงมีค่าทนายร่วมหนึ่งแสนบาทหรืออาจมากกว่านั้น
คำถามก็คือ มาตรา 42 ในรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพทางวิชาการจะมีประโยชน์อะไร หากกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นตำรวจและอัยการ และศาลยังไม่เอื้อที่จะทำให้หลักการมาตราที่ 42 แห่งรัฐธรรมนูญนี้ศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ ตามข้อความที่ระบุว่า "การเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการย่อมได้รับความคุ้มครอง" เพราะตามกฎหมายหมิ่นประมาทก็ชัดเจนตามหลักการเรื่องเจตนา เรื่องเพื่อความชอบธรรม เรื่องติชมด้วยความเป็นธรรม ตามมาตรา 329 ของกฎหมายอาญา เมื่อพิจารณารวมกับที่มาของการศึกษาวิจัย ซึ่งในกรณีนี้คือวิทยานิพนธ์ปริญญาโท อันหมายถึงการวิจัย ย่อมได้รับความคุ้มครองตามหลักการมาตรา 42 เสรีภาพทางวิชาการ
แม้ว่าจริงอยู่ที่งานศึกษาวิจัยย่อมต้องมีขอบเขตเสรีภาพที่จะไม่กระทบต่อชื่อเสียงและหมิ่นประมาทบุคคล ทว่าประเด็นที่กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ และศาล ก็พึงสร้างหลักเกณฑ์หรือรับแนวความคิดทางสังคมการเมืองประชาธิปไตยด้วยเช่นกันว่า "บุคคลสาธารณะ" ทั้งที่อยู่ในตำแหน่งทางการเมืองและผู้อยู่ในระบบราชการ ผู้เป็นข้าราชการ ย่อมสามารถถูกตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเรื่องราวนั้นมิได้วิพากษ์หรือตรวจสอบเขาในฐานะบุคคลธรรมดา แต่พวกเขาเป็นบุคคลสาธารณะ ถ้ากระบวนการยุติธรรมของไทยยังไม่มีเกณฑ์การพิจารณาเรื่องบุคคลสาธารณะนี้อย่างชัดเจนเพื่อยุติการใช้กระบวนการยุติธรรมกดค้ำคอนักวิชาการ กระบวนการยุติธรรมก็ยังไม่เอื้อหรือยังไม่สนับสนุนการที่จะทำให้มาตรา 42 ของรัฐธรรมนูญนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ ดังนั้น เสรีภาพทางวิชาการก็ยังคงเป็นเพียงถ้อยคำที่สวยหรูอีกหนึ่งถ้อยคำที่อาจไร้สาระที่แท้จริง และนักวิชาการก็ต้องตกอยู่ภายใต้วัฒนธรรมเผด็จการทั้งโดยรัฐและโดยบุคคลสาธารณะเช่นเดิม ระยะเวลาที่นักวิชาการต้องอยู่ในกระบวนการยุติธรรมและปริมาณเงินทองที่อาชีพจนๆ แบบอาจารย์ต้องเผชิญก็เป็นอุปกรณ์อย่างดีที่บุคคลสาธารณะจะใช้ค้ำคอหลักการเสรีภาพทางวิชาการไว้ไม่ให้เป็นจริงขึ้นมาได้
วัฒนธรรมเสรีภาพทางวิชาการที่ยังไม่ถูกสร้าง?
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธำรงศักดิ์ชี้ว่า เสรีภาพทางวิชาการไม่อาจเป็นจริงขึ้นมาได้หากสังคมวิชาการยังไม่ร่วมมือกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมเสรีภาพทางวิชาการ กล่าวคือ ร่วมมือช่วยกันพิทักษ์และปกป้องนักวิชาการที่ถูกฟ้องในกระบวนการต่างๆ สมาคมวิชาชีพของศาสตร์สาขาต่างๆ ทั้งทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ที่เป็นศาสตร์ที่ต้องกล่าวถึงมนุษย์ กล่าวถึงศึกษาถึงบุคคลสาธารณะของสังคม รวมทั้งสถาบันการศึกษาต่างๆ หาก สมาคมวิชาชีพและสถาบันการศึกษาต่างๆ เหล่านี้ เพิกเฉย เมินเฉย นิ่งเฉย ยอมรับการกดค้ำคอโดยกระบวนการฟ้องร้องของบุคคลสาธารณะต่อนักวิชาการ ไม่ออกมาแสดงตนพิทักษ์ สนับสนุน ช่วยเหลือในทุกด้านทั้งกำลังเงิน ทนาย กำลังใจ หากสภาพยังเป็นอย่างนี้ เราก็คงต้องเลิกพูดถึงความเป็นไปได้ของเสรีภาพทางวิชาการที่แท้จริง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)