Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis




ภฤศ ปฐมทัศน์


 


 


สมาชิกวง Dixie Chicks (ซ้ายไปขวา Natalie Maines, Emily Robison, Martie Maguire.)


 


ย้อนไปเมื่อปี 2003 ในงานทัวร์คอนเสิร์ต Top of the World Tour ของวงสามสาว Dixie Chicks ขณะที่พวกเธอกำลังจะเล่นเพลง Travelin" Soldier ที่พูดถึงสงครามอยู่นั้นเอง หนึ่งในสมาชิกของวงนี้ ซึ่งก็คือ Natalie Maines ได้พูดวิจารณ์นโยบายสงครามของประธานาธิบดีบุชเอาไว้ว่า "พวกเราไม่ได้ต้องการสงคราม ความรุนแรงพวกนี้ เรารู้สึกอับอายเหลือเกินที่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ มาจากเท็กซัส"


 


Natalie Maines เกิดและเติบโตมาในเมือง Lubbock (เมืองเดียวกับที่ให้กำเนิดตำนาน Rock อย่าง Buddy Holly) รัฐ Texas ขณะที่ George W. Bush เองก็ได้ย้ายเข้าไปที่เมือง Midland รัฐ Texas เมื่อตอนอายุสองปี


 


ประโยควิจารณ์ประธานาธิบดีของ Maines ในครั้งนั้นนำมาซึ่งปัญหายืดยาว...


 


สถานีวิทยุเพลงคันทรี่ซึ่งถูกควบคุมโดยพวกฝ่ายขวาผู้อยู่ข้างเดียวกับประธานาธิบดี พากันแบน ไม่ยอมเปิดเพลงใดๆ ก็ตามที่มาจากวงนี้ บางสถานีได้ให้เหตุผลในการแบนว่า คำกล่าวของ Maines ในคอนเสิร์ตครั้งนั้นฟังดู "ไม่รักชาติ" (Unpatriotic) เอาเสียเลย


 


อ่า...ผมนึกว่าคำว่า "ไม่รักชาติ" มันจะเอาท์ จะตกยุค ไปแล้วเสียอีก


 


แต่ที่ต้องไม่ลืมก็คือ Dixie Chicks เป็นวงแนวคันทรี่ป็อบร่วมสมัย แล้วความเป็น "คันทรี่" นั้นดูเหมือนจะถูกผูกติดกับภาพลักษณ์อเมริกันแบบลูกทุ่งๆ อย่างแยกไม่ออก ไม่เว้นแม้แต่แนวที่ดัดแปลงหรือใกล้เคียงกันอย่าง Folk-Rock, Country-Rock ฯลฯ ก็ยังได้พ่วงภาพลักษณ์ของความเป็นอเมริกันติดมาด้วย


 


ไม่ใช่แค่นั้น...ดนตรีคันทรี่โดยรากของมันแล้ว ยังได้ติดเนื้อหาและภาพลักษณ์ของ Patriotism หรือ "ทัศนะรักชาติ" มาอีกต่างหาก


 


คนอเมริกันจึงมีนักร้องคันทรี่ผู้พร้อมจะกอดคอกับประธานาธิบดี (และรับธงเกียร์ติยศไปติดหน้าบ้าน) อย่าง Toby Keith ผู้แต่งเพลงชาตินิยมในนามอเมริกันผู้โกรธเกรี้ยวอย่าง "Courtesy of Red, White and Blue (The Angry American)" เพิ่มความฟูมฟายจากเหตุการณ์ 9-11 ทั้งยังแอบอิงกับนโยบายของบุชได้อย่างกับวางแผนกันเอาไว้


 


แถมนาย Keith ผู้นี้ยังแสดงความเห็นส่วนตัว หาว่าวง Dixie Chicks "ทำให้เพลงคันทรี่ฟังดูงี่เง่า" (แสดงว่าเพลงคันทรี่ที่ดูไม่งี่เง่าคือเพลงที่ต้องสนับสนุนการครอบงำของ "ทัศนะรักชาติ" เช่นเพลงเขาสินะ) และยิ่งกว่านั้น เขาถึงขั้นเอารูปของ Natalie Maines มาตัดต่อกับรูปของ Saddam ราวกับจะบอกว่าสองคนนี้มันเป็นพวกเดียวกัน เพียงเพราะ Maines เคยวิจารณ์วิจารณ์ประธานาธิบดีที่เขาสนับสนุนอยู่เท่านั้นเอง...


 


กรณีนี้ทำให้ Toby Keith ผู้เห็นด้วยกับประธานาธิบดีและปลุกเร้าสงครามกลายเป็น "ผู้รักชาติ" ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยถูกผลักไปเป็นอีกพวกทันทีคือ "ผู้ไม่รักชาติ" เรื่องบ้าบอคอแตกแบบนี้ คิดว่าจะมีแต่ในประเทศแถวๆ นี้เสียอีก แม้แต่ประเทศที่สนับสนุนอิสรภาพในการแสดงความเห็น (Freedom of Speech) เต็มที่อย่างอเมริกา ก็ยังต้องฟันฝ่ากับทัศนะครอบงำนี้ กว่าที่จะได้มี Freedom เป็นของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ Freedom แบ่งขาย ที่ต้องรอรัฐเอามาจำหน่ายให้ (ใครรวยหน่อยก็ซื้อ Freedom นี้ยกโหลไป)


 


กระนั้นเอง ประชาชนชาวอเมริกันก็ไม่ได้งี่เง่าไปเสียทุกคน บางคนก็ออกมาบอกด้วยซ้ำว่า การแบนเพลงวง Dixie Chicks การที่เศรษฐีสนามกอล์ฟเหมา CD พวกเธอมาเผา (ถือว่ารวยนี่นา...ทีหลังถ้าจะทำอะไรแบบนี้เอามาบริจาคคนที่เขาอยากได้หน่อยก็ดีนะครับ) และการกระทำอะไรหลายอย่างของพวกฝ่ายขวาจัดจ้านเองนั่นแหละ ที่ "ไม่เป็นอเมริกัน" เอาเสียเลย เพราะไหนบอกว่า "ความสามารถที่จะแสดงออกทางความเห็นความรู้สึกอย่างอิสระ" นั้น คือ "ความเป็นอเมริกัน" ไง?


 


แน่นอนท่านประธานาธิบดีกลิ้งกลอกของพวกเขาก็ออกมาทำเป็นพูดว่าพวกสาวๆ Dixie Chicks นั้นมีอิสระที่จะวิพากษ์วิจารณ์ แต่พวกเธอก็ไม่ควรไปเสียใจหากมันทำให้งานเพลงของพวกเธอขายได้น้อยลง


 


โอ้ว...แหม...ท่าน ที่พวกเธอถูกสื่อบางสำนักย่ำยี เพลงก็ถูกแบน อัลบั้มก็โดนรังเกียจนี้ไม่ใช่มาจากฝีมือของพวกที่อยู่ฝ่ายเดียวกับท่านหรอกหรือ !?


 


จริง - ที่คนเรามีอิสรภาพด้วยกันทั้งนั้น แต่ทำไม "ราคาที่เราต้องจ่ายเพื่ออิสรภาพ" ของคนเรามันจึงไม่เท่ากัน ในที่นี้ พวก Dixie Chicks ต้องจ่ายไปโขทีเดียว รวมถึงการถูกปิดป้ายเป็น "พวกไม่รักชาติ" ด้วย


 



 


แต่ Maines ก็ทำให้ผมสะใจในเวลาต่อมา เพราะในที่สุดเธอก็ออกมาบอกว่า "คนทั้งประเทศอาจไม่เห็นด้วยกับฉันก็ได้ แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าไอ้ "ทัศนะรักชาติ" นี้มันจำเป็นยังไงเหรอ ทำไมพวกคุณถึงต้องเป็น "ผู้รักชาติ" ? มันเกี่ยวอะไรด้วย? ผืนแผ่นดินนี้เป็นของพวกเราจริงๆ น่ะหรือ? ทำไมล่ะ? คุณสามารถที่จะชอบชีวิตคุณและที่ซึ่งคุณอาศัยอยู่ได้ แต่การที่จะรักประเทศนี้ทั้งประเทศนั้น ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้คนต้องห่วงเรื่อง "ทัศนะรักชาติ" ด้วย"


 


นั่นน่ะสิ...ผืนแผ่นดินนี้เป็นของพวกเราจริงๆ น่ะหรือ? หรือเป็นแค่ของ Elite (ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจหรือทางการทหาร) บางคน ที่คอยกำหนดให้เราๆ เดินตามกันแน่


 


ผ่านจากมรสุมอะไรหลายอย่างมาจนถึงเวลาที่พายุเริ่มสงบลงแล้ว (ในประเทศนะครับ ไม่รู้ท่านผู้นำมันจะส่งทหารไปก่อพายุทรายที่ไหนอีก) ผู้คนไม่ว่าจะระดับ Celebrity หรือ Indie ต่างก็แห่กันออกมาพูดถึงเรื่องต่อต้านสงครามกันได้ทั่วไป พวกเธอใช้เวลา "เดินผ่านเส้นทางยาวนาน" เหลือเกิน จนกระทั่งสามารถออกอัลบั้มใหม่ได้ในปี 2006 ที่ผ่านมา โดยใช้ชื่อว่า "Taking a Long Way"


 



ปกอัลบั้มชุดล่าสุดของ Dixie Chicks


 


ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดมีส่วนหรือไม่ ในการทำให้ดนตรีของพวกเธอมีความเป็น Country กับ Bluegrass น้อยลง แต่ Pop มากขึ้น (แถมบางเพลงยัง Rock มากขึ้นด้วย) ขนาดผมที่ร้างจากเพลง Pop ติดหูไปนานแล้ว ยังชอบเปิดเพลงอย่าง "Not Ready to Make Nice", "Lubbock or Leave it" และ "Lullaby" ฟังบ่อย ๆ


 


และที่ผ่านมาอัลบั้มนี้ก็กวาดรางวัลแกรมมี่อวอร์ดครั้งที่ 49 มาด้วยรางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยม อัลบั้มคันทรี่แห่งปี ส่วนเพลง "Not Ready to Make Nice" เองก็ได้ทั้งเพลงยอดเยี่ยม การแสดงสดวงแนวคันทรี่ยอดเยี่ยม และรางวัลซิงเกิ้ลแห่งปี


 


เนื้อหาเพลงนี้เองผมก็ชอบมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเธอพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งหลายคนเหลือเกินพยายามจะบอกให้พวกเธอ "หุบปากแล้วร้องเพลงต่อไปเถอะ"


 


เรื่องที่จะให้พวกเธอจะหุบปากกันนั้นอย่าหวัง แต่เรื่องที่จะให้พวกเธอร้องเพลงต่อไปน่ะเธอทำแน่ ...ก็ร้องเพลงวิจารณ์เหล่าผู้ที่เคยพยายามทำลายพวกเธอนั่นไง


 


"I made my bed and I sleep like a baby
With no regrets and I don"t mind sayin"
It"s a sad sad story when a mother will teach her
Daughter that she ought to hate a perfect stranger
And how in the world can the words that I said
Send somebody so over the edge
That they"d write me a letter
Sayin" that I better shut up and sing
Or my life will be over"


 


- Not Ready to Make Nice


 


นอกจากนี้ Dixie Chicks ยังได้พูดบอกลา "เพื่อนเก่า" ซึ่งก็คือสถานีวิทยุคันทรี่ที่เลิกเปิดเพลงของพวกเธอ รวมถึงแฟนเพลงที่แบนเพลงพวกเธอไปแล้ว ไว้ในเพลงช้าๆ ที่อินโทรเครื่องสีไพเราะมากอย่าง Bitter End ในท่อนคอรัสสวยๆ พวกเธอก็ร้องไว้ว่าไม่ได้โกรธเกลียดหรือถือเอาความใด ๆ กับสิ่งที่ "เพื่อนเก่า" เหล่านั้นกระทำต่อเธออีกแล้ว และยังหวังอยู่ว่าสักวันจะกลับมาเข้าใจกันดังเดิม


 


"Farewell to old friends
Let's raise a glass to the bitter end
Farewell to old friends
We'll still be here when you come round again"


 


- Bitter End


 


ใครที่ชอบอะไรโจ๊ะๆ หน่อยก็มีเพลงที่คันทรี่ร็อคสุดเหวี่ยงอย่าง Lubbock or leave it แน่นอนว่าเพลงนี้ Maines ได้พูดถึงเมืองบ้านเกิดของเธอ แต่น้ำเสียงเธอมันช่างประชดประชันดีเหลือเกิน คาดว่าสิ่งที่เธอประท้วงอยู่ลับๆ ในเพลงนี้คือสังคมบ้าแบบแผน (Conformity) ซึ่งแม้แต่ในบ้านเกิดของเธอเองก็ยังมีอะไรแบบนี้ ในเพลงเสียงเครื่องสีที่ร่วมแจมได้สุดมันส์ โซโล่แบนโจก็ฟังแปลกหูจากร็อคพื้นฐานทั่วไปดี


 


มาถึงเพลง  Silent House ที่ยังไม่ไม่ทิ้งรสร็อค แต่เปลี่ยนจังหวะช้าลง กับกลิ่น Bluegrass จาง ๆ บวกด้วยท่วงทำนองการร้องแบบป็อบที่เข้ากันได้อย่างดี


 


สำหรับเพลงที่จังหวะสบายๆ ก็มี Everybody Know ที่อ่อนหวานเล็กๆ ในแบบ Dixie Chicks มี Sound แบบคันทรี่ชวนถวิล หรือจะจังหวะสนุกๆ เหมือนแสงอาทิตย์ส่องฉายอย่าง The Long Way Around อันเป็นเพลง Anti-Comformism อีกเพลง


 


เพลงจังหวะนุ่มๆ ที่ยังคงความเป็นคันทรี่ป็อบ ไว้อยู่คือเพลง Easy Silence กับ Lullaby ในเพลงหลังนี้จะเป็นอะคูสติกเบาๆ ที่ไพเราะสมชื่อกับเป็นเพลง "กล่อมเด็ก" จริง ๆ แต่เพลง Easy Silence นี้ถึงแม้ดนตรีจะหวานปนขม เสียงร้องหม่นนุ่ม ไปกับเสียงเครื่องสีสวยๆ ในช่วงท้าย แต่เนื้อหาเหมือนแอบเสียดสีถึงการที่ใครหลายคนพยายามปิดปากพวกเธอเอาไว้ ให้อยู่แต่ใน "ความเงียบอันง่ายดาย" ไม่ต้องออกมาประท้วงอะไร


 


"And anger plays on every station
Answers only make more questions
I need something to believe in
Breathe in sanctuary in the

Easy silence that you make for me
It's okay when there's nothing more to say to me
And the peaceful quiet you create for me
And the way you keep the world at bay for me
The way you keep the world at bay"


 


- Easy Silence


 


ถึงเพลงช่วงแรกๆ ของอัลบั้มจะถูกหูอยู่หลายเพลง แต่เพลงช่วงครึ่งหลัง ดูจะเริ่มอ่อนพลังลง


 


เพลง  Favorite Year เสียงดนตรีเริ่มเอียงมาทางความเป็น Pop-Rock มากกว่าเก่า และยังคงความ Pop-Rock ไว้อยู่ใน Voice Inside My Head


 


มาถึงใน 4 เพลงหลังสุดผมก็เริ่มรู้สึกเฉยชากับมันไปเสียแล้ว เพลง I Like It มีดนตรีกับเสียงร้องสนุกสนานแต่ก็จืดจางลง Baby Hold On ก็มีเสียงโซโล่ที่ไม่เข้ากับเพลงเสียเลย เพลง So Hard เติมความหนักหน่วงกลับเข้ามาแบบ Power Ballad และคงความ Pop ไว้อยู่ แต่ดูเนื้อเพลงเขียนได้ไม่สวยเท่าไหร่ ชอบแค่ช่วง Bridge ที่ร้องคลอกับเสียงอะคูสติกส์และเสียงเครื่องสีเท่านั้น


 


และในเพลงสุดท้ายคือ I Hope นั้น แม้จะพูดถึงเหตุการณ์พายุแคทรีน่า แง่มุมก็ไม่ได้ลึกไปกว่าการให้กำลังใจ อันนี้ผมไม่ค่อยว่าอะไร แต่ไม่รู้ทำไมตัวดนตรีมันจืดเอามากๆ เลย กับสำเนียงแบบที่ชวนคิดถึง Norah Jones หน่อยๆ โซโล่ท้ายเพลงก็ดูกั๊กๆ ไม่เต็มที่ น้ำเสียงของพวกเธอก็ไม่มีพลังเท่าเพลงอื่นๆ ในอัลบั้มเสียแล้ว


           


ในทีแรกผมแอบคิดเอาไว้เหมือนกันว่า Dixie Chicks อัลบั้มใหม่นี้ท่าจะกระหน่ำเพลงประท้วงกันเต็มที่เลยทีเดียว (แต่คงเป็นจินตนาการเพ้อฝันโอเวอร์ไปเอง) กระนั้นการออกมาพูดถึงประเด็นส่วนตัวของพวกเธอก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่เกินไปนัก อย่างน้อยมันพอจะช่วยจิก กัด อัด และ เสยคาง พวกจารีตนิยม กับฝ่ายขวาชาตินิยม ที่มักลอบทำร้ายผู้ที่เห็นต่างจากตนได้บ้าง


 


แล้วในอัลบั้มนี้ถึงแม้จะปนความโกรธเกรี้ยวเอาไว้พอทำเนา แต่ก็ไม่ได้ฟูมฟายมากนัก เสียดสีอย่างไม่ถึงขั้นแสบสัน (บางอารมณ์ก็คล้ายฟังเพลง Positively 4th Street ของ Bob Dylan ซ้ำ ๆ) ในหลายๆ เพลงที่แม้เนื้อหาจะเศร้าๆ หน่อย แต่ตัวดนตรีก็ไพเราะสดใสมากกว่าจะหมองหม่นจมดิ่งไป เช่นเดียวกับที่พวกเธอเองพร้อมจะเดินออกจากเรื่องเลวร้ายในอดีต ไปตามทางของพวกเธอ และทำในสิ่งที่เชื่อต่อไป


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net