Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ภฤศ ปฐมทัศน์


 



 


สถานการณ์บ้านเมืองเราในตอนนี้เต็มไปด้วยคำกระจัดกระจายมากมาย สมานฉันท์เอย คุณธรรมเอย ฯลฯ ถ้าหากลองหยุดคิดสักไม่ถึง 10 วินาที ก็จะรู้จะว่า มันเป็นคุณธรรมที่มาจากไหน ในนิยามของใคร (ไม่ใช่จากประชาชนเดินดินอย่างเราๆ แน่นอน) และเป็นความสมานฉันท์ในหมู่ใคร (ในหมู่ผู้ที่ได้ผลประโยชน์น่ะสิ อันนี้ผมตอบให้แทนเลย)


 


ที่สำคัญคือ อะไรหลายๆ อย่างมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย นิยามของความดีงามทั้งหลายยังคงต้องนำไปผูกติดกับคนบางกลุ่ม บางคน เพียงเท่านั้น การเมืองของประเทศนี้ไม่เคยเชื่อสิ่งที่มาจากประชาชน หรือแม้แต่ประชาชนด้วยกันยังไม่เชื่อกันเอง ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามันมาจาก "อคติ" ของพวกเราเองไม่ว่าจะจากฝ่ายไหนก็ตาม แต่อีกส่วนหนึ่งคงต้องยกให้กับวัฒนธรรมการกลัวความขัดแย้ง ที่ถูกปลูกสร้างมาฝังลึกยาวนาน (จนท่านผู้นำในยุคนี้ ทำให้มันกลับมาอินเทรนด์อีกครั้ง)


 


กลิ่นชื้นหลังฝนยามค่ำคืนในช่วงนี้จึงชวนให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากการ์ตูนฮีโร่ ... ซึ่งไม่ใช่ฮีโร่ที่ต่อสู้เพียงเพื่อที่จะรักษาอะไรเดิมๆ เอาไว้ แต่เป็นฮีโร่ที่ต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง ให้ประเทศเขาหลุดพ้นจากระบบการเมืองทรราชย์ ที่บิดเบือนปกปิดข้อมูล รักษาผลประโยชน์เฉพาะพวกพ้อง ควบคุมและกำจัดคนที่คิดต่าง


 


หลายคนคงรู้จักเขาแล้ว ว่าเขาคืออนาคิสต์ฮีโร่ นาม... V For Vendetta


 


 


 


V นั้นมีรูปลักษณ์ของชายในผ้าคลุมสวมหน้ากาก Guy Fawkes เขาไม่ใช่ฮีโร่ที่มีเพียงแต่พละกำลังเท่านั้น แต่ยังมีความรู้ทางการเมือง ปรัชญา วรรณกรรม ศิลปะ ฯลฯ อีกด้วย แหล่งพักพิงและที่ทำการลับของเขานั้นมีชื่อเรียกว่า Shadow Gallery หรือ "พิพิธพันธ์เงา"


 


ชื่อ Shadow Gallery นี่เองก็กลายมาเป็นชื่อวงดนตรี Progressive จากอเมริกา แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาหยิบยืมชื่อเอามาใช้เท่ๆ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในปี 1998 พวกเขายังได้ออกอัลบั้มหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาพูดถึงชีวิตภายใต้ระบอบเผด็จการ ด้วยชื่ออัลบั้มที่ตรงไปตรงมาอย่าง "Tyranny"


 


 



 


"Tyranny" จัดได้ว่าเป็น Conceptual Album แนวเล่าเรื่อง เช่นเดียวกับ American Idiots ของ Green Day หรือ The Wall ของ Pink Floyd ซึ่งในอัลบั้มนี้เองก็ได้แบ่งเนื้อเพลงเป็นสององค์


 


ในองค์แรกเป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งซึ่งได้ทำงานให้กับรัฐบาลมาก่อน งานของเขาคือการช่วยสร้างอาวุธสงคราม โดยเขาได้รู้สึกตัวในเวลาต่อมาว่างานของเขานั้นจะทำให้เกิดความสูญเสียมากมายแค่ไหน จึงเริ่มรู้สึกต่อต้าน ทำให้โดนไล่ออกจากงานมา ในโมงยามของความว่างเปล่าและผิดหวังนั้นเอง เขาก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งจากการพูดคุยทางอินเตอร์เน็ต และการพูดคุยกันในครั้งนี้ก็ทำให้เขาได้รู้ว่า งานของเขานั้นเป็นแค่ฟันเฟืองไร้หัวจิตหัวใจตัวหนึ่งในระบบขับเคลื่อนความเลวร้าย พวกเราทุกคนถูกหลอกให้เชื่อว่าอยู่ในโลกที่สวยงาม และตกอยู่ภายใต้ระบบการควบคุมของชนชั้นนำเท่านั้นเอง


 


วง Shadow Gallery อาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก เนื่องจากพวกเขาไม่เคยออกทัวร์คอนเสิร์ตเลย ... จากการให้สัมภาษณ์ทำให้รู้ว่า เป็นเพราะพวกเขามีงานแบบ Full-time job กันอยู่แล้ว อีกทั้งยังอยากดูแลใกล้ชิดครอบครัว แต่กระนั้นพลังทางดนตรีของพวกเขาก็เหลือเฟือ


 


ถึงจะเปี่ยมด้วยพลัง แต่ Shadow Gallery ก็ไม่ใช่วงที่ (แย่งกัน) โชว์ออฟฝีไม้ลายมือเฉพาะตัวของแต่ละคนออกมา แต่เป็นวงที่สามารถเรียบเรียงดนตรีจากสัดส่วนต่างๆ เข้าหากันได้อย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะส่วนของการร้องนำโดย Mike Baker (ซึ่งจะมีเสียงร้องประสานจากสมาชิกคนอื่น ๆ ด้วย) ส่วนของกีต้าร์โดย Brendt Allman เบสโดย Carl Cadden-James เปียโนและซินธ์ของ Chris Ingles กลองของ Joe Nevolo และ Gary Werhrkamp ผู้ที่เล่นทั้งกีต้าร์ ซินธ์ เปียโน อีกทั้งยังช่วยร้องประสาน ส่วนผสมเหล่านี้ได้คลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกันอย่างกลมกล่อม


 


ความกลมกลืนกันของวง ทำให้เพลงของวงนี้ฟังง่ายกว่า Progressive วงอื่นๆ ทั่วไป มี เสียงเปียโนนุ่มๆ กับสำเนียงโอเปร่าอย่างวง Queen บางเพลงก็เรียบง่ายจนเอียงไปทางวง Hard Rock/New Wave อย่าง Styx แต่ถึงแม้จะเรียบง่าย หากถ้าลองตั้งใจฟังดูดีๆ จะพบว่ามีรายละเอียดในสัดส่วนต่างๆ ของเพลงไม่น้อยทีเดียว


 


เปิดขึ้นมาด้วยเพลง Stiletto in the Sand ที่มีจังหวะคึกคัก ตื่นเต้น ต่อด้วยเพลง War for Sale ที่จัดสัดส่วนของซินธ์และกีต้าร์ให้เข้ากันได้อย่างดี โซโล่ที่อาจจะไม่หวือหวา แต่เป็นเนื้อเดียวกันไปกับเพลง เนื้อหาพูดถึงตอนที่ตัวเอกของเรื่องเริ่มรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำ และคิดว่านี่มันเป็นสงครามที่ไม่ได้นำมาซึ่งอะไรเลย นอกจากผลประโยชน์ของผู้ที่ก่อมันขึ้นมาเท่านั้น


 


"The village burned the desert set ablaze
Who are these men with their finger's in everybody's pie?
Then freedom's ring departed from today
There's just no doubt - we got war for sale!
"


 


-          War For Sale


 


เพลง Out of Nowhere มากับจังหวะช้าลงมาหน่อย เหมาะจะใช้เล่าสิ่งที่ออกมาจากห้วงคำนึงของตัวเอกหลังจากถูกไล่ออกจากงานแล้ว เพลงนี้มีทั้งกีต้าร์โซโล่มาตรฐาน และเสียง Flute โซโล่ท้ายเพลง (โดยCarl Cadden-James) แม้จะสั้นไปหน่อยแต่ก็จับใจดี กระชั้นมาด้วย เพลง Mystery อย่างไม่ทันได้หยุดพัก ถึงแม้จะมีอินโทรยาวเกือบหนึ่งนาที (เป็นปกติของดนตรีแนวนี้) ที่อุดมด้วยโซโล่ แต่เมโลดี้ในตัวเพลงจะค่อนข้างติดหูจำง่าย เนื้อเพลงพูดถึงความสัมพันธ์ทางอินเตอร์เน็ตระหว่างตัวเอกกับผู้หญิงลึกลับคนหนึ่ง แล้วก็ได้ระบายเรื่องราวที่เขาพบเจอมาให้เธอฟัง ความสัมพันธ์ผ่านทางสายโทรศัพท์เช่นนี้ มันช่างแสนลึกลับและชวนฝันในเวลาเดียวกัน


 


มาถึงเพลงบัลลาดอย่าง Hope For Us? ซึ่งเคลื่อนคลอไปด้วยเสียงเปียโนที่เป็นอิสระ พื้นผิวของซินธ์ ในเพลงนี้ตัวเอกของเราจะเริ่มตั้งคำถามกับสังคม พวกเราจะมีความหวังสักแค่ไหนกันเชียว ในการที่จะพากันลุกขึ้นมาต่อต้านการกระทำของชนชั้นนำ


 


ในเมื่อพวกเขาต่างก็ ถูก "ระบบ" ทำให้ตายด้านกับความอยุติธรรม ชนชั้นนำก็คอยล่อลวงให้จมอยู่กับการบริโภคซ้ำ ๆ จิตวิญญาณของพวกเราถูกขโมยไปแล้วงั้นหรือ?


 


"Headlines on the floor
Today's bitterness is the calling card
The commercial masquerade
The goods all on parade
The needs of life are charming toys
We've gone deaf from all the noise
When did the rich and powerful elite
Slowly and unnoticed
Come and steal our innocence?
"


 


-          Hope For Us?


 


ตัวเอกของเราได้มาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญในเพลง Victims เมื่อเขาก็เข้าไปช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่กำลังถูกรังแก นั่นทำให้เขาถูกทำร้ายไปด้วยจนกระทั่งสลบไป ตื่นมาอีกที...เขาก็อยู่ในห้องมืดสลัวที่มีคนกลุ่มหนึ่งคอยรักษาแผลให้ พอเห็นได้พวกเขาแล้วก็พบว่า พวกเขาเป็นชนชั้นใต้ถุนสังคมที่แทบไม่มีอะไรติดตัวเลย แต่ก็ยังมีใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือเขา ทำให้ตัวเอกเต็มไปด้วยรู้สึกเห็นใจ นอกจากเนื้อหาแล้ว สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งในเพลงนี้คือท่อน Riff ทั้งตอนต้นและตอนจบเพลง


 


"Things are falling apart it all seems
Tears that speak in volumes
The eyes of all these hopeless people
Where's the Savior to rescue our dreams?
Desperation's crawling
On victims of a power hungry world!
"


 


-          Victims


 


หลังจากความพยายามรักษาความเจ็บปวดทั้งกายใจของตัวเอกในเพลง Broken ซึ่งเป็นบัลลาดสั้นๆ ในองค์ที่สอง...ตัวเอกของเราเริ่มมีกำลังใจขึ้นมา จากการที่ได้นึกถึงคำพูดของพ่อตัวเองในเพลง I Believe ที่ตัวเพลงขึ้นต้นมาด้วยจังหวะกระแทกกระทั้นและอารมณ์แบบฮึกเหิมของ Power Metal ทั้งยังได้ James LaBrie นักร้องนำวง Dream Theater มาช่วยร้องในส่วนของคำพูดของพ่อเขาด้วย


ความฮึกเหิมดำเนินต่อมาในเพลง Road of Thunder อย่างไม่ติดขัด ในเพลงจังหวะธรรมดาที่มี Riff ชวนตื่นเต้นนี้ ตัวเอกของเราได้ใช้ความสามารถในการ Hack คอมพิวเตอร์ ส่งไวรัสเข้าไปทำลายระบบเครือข่ายของรัฐบาล หลังจากนั้นจึงได้ติดต่อพูดคุยกับหญิงสาวทางอินเตอร์เน็ตที่เขาหลงรัก ในเพลงบัลลาดที่มีเสียงเครื่องสีเพราะๆ ประกอบอย่าง Spoken Words ซึ่งได้ Laura Jaeger มาร่วมร้องเป็นหญิงลึกลับผู้นั้น โดยจากบทสนทนาเธอยังได้เตือนตัวเอกว่า ให้รีบหาที่ซ่อนเสีย การกระทำบุ่มบ่ามของเขาจะทำให้พวกหน่วยรักษาความปลอดภัยของรัฐบาล ตามล่าตัวเขาได้


 


มาถึงเพลงที่ให้ความรู้สึกของชื่ออัลบั้ม Tyranny อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งก็คือเพลง New World Order (แปลว่าระเบียบโลกใหม่ ถ้าใครเกิดทันยุคสมัยก่อน อาจเคยได้ยินคำนี้จากผู้นำบางประเทศ ซึ่งในสมัยปัจจุบัน พวกเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าประเทศไหนกันเอ่ย ที่ชอบทำตัวจุ้นจ้านจัดระเบียบโดยการทิ้งระเบิด ส่งทหารไปคร่าชีวิตพลเรือนประเทศอื่น ดำเนินนโยบายสนับสนุนบรรษัทข้ามชาติไปพร้อมกับสร้างภาพเป็นพระเอกตบตาชาวโลก) เพลงนี้ส่วนของดนตรีประกอบไปด้วยบรรยากาศของความหวาดกลัว ซึ่งได้เสียงร้องของ D.C. Cooper ในบทเจ้าหน้าที่รัฐ มาช่วยเสริมบรรยากาศตรงนี้


 


"Advanced communication
You're at our fingertips now
We own the TV stations
Entertainment, Publications
Wall street is our breeding ground
The sphere of our control extends through
Governments and leaders who will buy our arms
Yes buy our arms and run our evil wars
Run our evil wars run this evil world into the ground
"


 


-          New World Order


 


แน่นอนว่าตัวเอกของเราถูกตามล่าโดยรัฐบาลเสียแล้ว เสียง Violin Solo ในเพลงนี้ก็ทำได้เจ็บแสบเอามาก


 


เมื่ออำนาจรัฐมาเคาะประตูถึงบ้าน (หรือห้องพัก) ตัวเอกคนนี้ ในฐานะของพลเมืองธรรมดา ไม่มีอะไรต่อกรด้วย ไม่ใช่ผู้นำการเมืองที่มีใครอารักขา เขาจึงต้องหนีไปพร้อมกับจังหวะเพลง Instrumental เร่งเร้าอย่าง Chased และมาปรับจังหวะพักเหนื่อยลงที่ Ghost of a Chance กับ Riff เปียโนสวยๆ เจือด้วยบรรยากาศและเนื้อเพลงพูดถึงความเดียวดาย แปลกแยก ว่างเปล่า หลงทาง ไม่รู้จะหนีไปไหน


 


ถ้าใครคิดถึงโซโล่กีต้าร์เสียงสูงปรี๊ดเจ็บๆ คงถูกใจกับเพลงปิดอัลบั้มอย่าง Christmas Day เพลงที่ตัวเอกของเราได้ระบายถึงความรู้สึกหลากหลายออกมา หลังจากหาที่ซ่อนตัวแล้ว ทั้งนี้เขาก็ยังไม่ได้ละทิ้งความหวังไป ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ การต่อสู้ครั้งนี้ก็ยังไม่จบลง


 


หากพูดถึงดนตรีโดยรวมแล้ว Tyranny เป็นอัลบั้มเพลง Progressive ที่ย่อยง่าย แต่ก็มีรายละเอียดซ่อนอยู่บ้างประปราย สำหรับความเป็น Metal นั้นคนที่ฟัง Metal จนชาหูคงรู้สึกว่ามันนุ่มนวลเอามากๆ ขณะที่คนไม่เคยคุ้นกับ Metal มาก่อนน่าจะรู้สึกว่าความหนักของมันกำลังดี ยิ่งถ้าเทียบกับวง Progressive Metal รุ่นพี่อย่าง Fates Warning กับ Dream Theater แล้ว จะพบว่าดนตรีของ Shadow Gallery เบากว่าอย่างเห็นได้ชัด


 


แต่สิ่งที่เป็นจุดด้อยใหญ่ๆ ของอัลบั้มนี้เลยก็คือ การที่หลายเพลงมีดนตรีอารมณ์คล้ายๆ กันไปหมด อาจจะเป็นเพราะเสียงร้องของ Mike Baker เองที่มีโทนเสียงไม่กว้างนัก แม้จะมีเสียงร้องประสานเข้ามา แต่ก็ไม่ทำให้ Range กว้างขึ้นเลย หรืออาจจะเป็นเพราะการเรียบเรียงโครงสร้างของแต่ละเพลงที่คล้ายคลึงกัน รวมถึงจังหวะที่ไม่ได้ต่างกันมากนัก ซึ่งทั้งหมดนี้นอกจากจะทำให้คนฟังที่ไม่ได้อ่านเนื้อตาม (หรือไม่เข้าใจเนื้อเพลง) ไม่อาจซึมซับอารมณ์จากบางเพลงได้เต็มที่แล้ว ยังอาจชวนให้เบื่อไปเสียก่อนได้


 


ถึงกระนั้นผมก็ต้องขอชื่นชมในฝีไม้ลายมือของแต่ละคน ที่สามารถเล่นเข้ากันได้กลมกลืนดี อีกทั้งยังมีเนื้อหาเรื่องการเมืองแบบต่อต้านรัฐตรงไปตรงมา ที่ไม่ค่อยจะได้เจอมานักในงานแนว Progressive


 


จริงๆ แล้วเนื้อเรื่องในอัลบั้มนี้ยังไม่จบ...


ในปี 2005 ที่ผ่านมา Shadow Gallery ก็ได้ออกอัลบั้มที่มีเนื้อหาต่อจาก Tyranny แล้ว นั่นก็คืออัลบั้ม Room V (ชื่อนี้คงพอจะทำให้คนที่เคยอ่านการ์ตูนหรือดูภาพยนตร์เรื่อง V For Vendetta มาก่อนรู้สึกมักคุ้นกันบ้าง)


 


เพียงแต่ผมเองก็ยังไม่ได้ฟัง...


 


ไว้ถ้าฟังแล้ว จะเอามาพูดถึงในคราวต่อไปครับ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net