กระแส '"สิงนเรศวร" '

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ภาพันธ์ รักษ์ศรีทอง

 

เวลานี้หากใครเอ่ยคำ 'สิงคโปร์' ขึ้นมา หลายคนจะอารมณ์พุ่งขึ้นสูงปรึ๊ดๆ เส้นเลือดปูดโปนเห็นเป็นเขียวๆ เต้นตุ๊บๆ บนขมับซ้ายขวา กัดฟันเม้มปากจนเหงือกย่นรากฟันทะลุ กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเนื้อดุจทำทุกข์กริยา ส่วนเนื้อตัวก็สั่นเทิ้มเหมือนคนปวดห้องน้ำขั้นสุดท้ายแบบใครมาสะกิดนิดก็พร้อมจะ 'พรวด' มันออกมา

 

โอย..เห็นแล้วเหนื่อยใจ

 

ทำไมคำว่า 'สิงคโปร์' จึงสามารถสร้างอารมณ์ให้คนไทยเป็นไปได้เช่นนี้?

 

 

ผมมานั่งคิดเอาเองว่าหรือจะเป็นเพราะสิงคโปร์มันโตกจนคนไทยอิจฉาที่โตกไม่เท่าจนเกิดเป็นปมด้อยให้น้อยใจมานานแล้ว หรืออาจเป็นเพราะโกรธใครหน้าเหลี่ยมๆ ที่มีสัมพันธ์ไมตรีอันดีกับประเทศนี้แบบเกินหน้าเกินตาผู้ที่มีอำนาจที่ได้แต่นั่งหัวโด่ในประเทศเพราะใครๆ ไม่ค่อยต้อนรับ หรือความจริงแล้วอาจเป็นเพราะใครหัวโด่คนนั้นแหล่ะกำลังเบี่ยง 'ความเป็นศัตรู' ไปให้ผู้อื่น

 

ทบทวนความรู้ที่ผู้เฒ่าผู้แก่เขาเล่ามาเพราะเกิดไม่ทัน ท่านว่าให้สังเกตกันในสังคมไทย เวลาใครได้อำนาจมาแบบแปลกๆก็ไม่พ้นจะต้องอ้างเรื่อง 'ความเป็นไทย' และสร้าง 'ศัตรูอื่น' ให้เห็นปรากฏอยู่ร่ำไป เพราะศัตรูที่ปรากฏชัดนั้นจะกลายเป็นเป้าอารมณ์แทนตัวเอง มาคิดดูก็เห็นว่าท่าจะจริง...

 

ในอดีตพม่าก็เคยตกอยู่ในสถานะนี้มาแล้วช่วงยุคล่าอาณานิคมและยุคนิยมไทย 'ตำนานสมเด็จพระนเรศวร' ก็ถูกผลิตอย่างมีนัยช่วงนั้นเอง

 

ทั้งสองช่วงนั้น ประเทศพม่าถูกอุปโลกน์ให้ชนชาติป่าเถื่อนโหดร้าย เป็นปีศาจมาเผาบ้านเผาเมืองสยามอันรักสงบ จนเสียกรุงไป 2 ครั้ง

 

โอ๊ยยยยยย... เจ็บปวดเหลือเกินนนน คนไทยยอมไม่ได้แล้วโว้ยยยย..

 

ดังนั้นการที่จะผ่านเกณฑ์มาตรฐานความเป็นคนไทยได้ อันดับแรกต้องเกลียดพม่าก่อน ผิดจากนั้นจะถูก 'น้าแอ้ด' ถามว่า "คนไทยรึป่าว หว่าวๆๆๆ" ว่าแล้วก็คว้าไก่ชนไปหยิบบาวแดงมาซดเอื้อกๆ  

 

ดังนี้แล้ว ผมเองตอนเด็กๆ เพื่อให้ผ่าน 'ความเป็นคนไทยขั้นต้น' ผมจึงเกลียดพม่าไปด้วยอย่างเป็นอัตโนมัติ ถึงขั้นว่าโตขึ้นมากูจะเกณฑ์ไพร่พล ขี่ช้าง ขี่ม้า ตะลุยไปหงสาฯ ลอกทองชเวดากองมาถวายพระศรีสรรเพ็ชเลยเชียว แต่โตขึ้นมาเหมือนจะมีสติอย่างประหลาด แต่คนไทยทั่วไปอาจจะมองว่ามีสติวิปลาสก็ไม่รู้ เพราะเปลี่ยนความคิดไปมองว่าคนพม่าหรือคนไทยก็คนเหมือนๆ กันนี่เอง ยิ่งผู้สาวพม่าบางคนทั้งสวย ทั้งน่ารัก ตาคม ผิวพรรณเนียนเชียวแหล่ะ (ฮา ฮ่า ฮ้า)

 

แต่ตอนนี้เห็นทีคงต้องมาเกลียดสิงคโปร์แทน เพราะรัฐท่านหนุนให้ปลุกระดมกันดีเหลือเกิน

 

ท่าทีรัฐบาลไทยและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ดูเหมือนจะพยายามทำให้คนไทยเห็นสิงคโปร์เป็นศัตรูตัวเป้งๆเพราะคนหน้าเหลี่ยมพลัดถิ่นได้ไปพบบุคคลระดับผู้นำในประเทศสิงคโปร์ในฐานะมิตรส่วนตัว การนี้เหมือนเป็นการตบหน้ารัฐบาลไทยฉาดใหญ่ เพราะทำได้แค่มองตาปริบๆ แม้จะไปยึดอำนาจเขามา จากนั้นหน้าก็บวมเพราะถูกตบซ้ำด้านเดิม จากคนเดิมๆ จึงต้องสั่งระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจบางอย่าง เพราะคนหน้าเหลี่ยมคนเดิมไปให้สถานีโทรทัศน์ระดับโลกอย่าง CNN สัมภาษณ์ออกอากาศจากประเทศสิงคโปร์ (คงน้อยใจว่าหน้าตาก็หล่อไม่ทิ้งกันทำไมไม่สัมภาษณ์เราบ้าง)

 

เมื่อสิงคโปร์มาทำลายกล่องดวงใจความเป็นไทยอันภาคภูมิใจ เมื่อวันที่ 31 .. ทีมฟุตบอลไทยพ่ายแพ้แก่ทีมฟุตบอลสิงคโปร์ จึงมีข้อกังขาเรื่องความยุติธรรมของกรรมการ

 

ประเด็นนี้จึงถูกหยิบยกมาเป็นไฟสุมความเกลียดชังให้ลุกโชนร้อนแรงได้สำเร็จ สำเร็จถึงขนาดสื่อหัวสีต้องพาดหัวตัวโตหน้าหนึ่ง 'ปล้นชัยชนะ' และมีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเกรี้ยวกราดของใครหลายๆ คน มีแม้กระทั่งการลือว่าจะไปชุมนุมเผาสถานทูตประเทศสิงคโปร์เลยทีเดียว

 

ทิศทางที่เป็นไปจึงไม่ได้ต่างอะไรไปจากเมื่อครั้งที่สถานทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ถูกเผาเพราะมีคำลือว่า 'หนูกบ - สุวนันท์ คงยิ่ง' พูดดูถูกคนกัมพูชา

 

สุดท้ายต้นทางของข่าวลือนี้กลับมาจากเรื่องการเมืองภายในกัมพูชาที่ต้องการสร้างความเป็นชาตินิยม โดยให้คนกัมพูชายึดไทยเป็นศัตรูจะได้ง่ายต่อการชี้นำไปในทิศทางเดียวกัน เหตุการณ์ครั้งนั้นคนไทยก็เคยเสียใจมาแล้ว สงสารก็แต่ 'หนูกบ' ต้องน้ำตานองหน้ามาขอโทษทั้งทีไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

ตอนนั้นคนไทยก็ไม่พอใจกับการก้าวร้าวไม่เลือกวิธีการเพื่อชัยชนะทางการเมืองของกัมพูชาไม่ใช่หรือ แล้วทำไมวันนี้จึงใช้วิธีการเดียวกัน?

 

กรณี ฟุตบอลแพ้คนไม่แพ้ เพราะกังขาในคำตัดสินของกรรมการนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่วงการฟุตบอลเขาก็มีกติกากำกับอยู่ หากไม่พอใจสามารถร้องเรียนไปยังสมาคมสากลต่างๆ ทั้งระดับอาเซียน ระดับเอเชีย หรือระดับโลกก็ได้ เป็นเรื่องในระบบระเบียบแบบทำง่ายๆ หรือคนไทยจะไม่รู้จักการเรียนรู้การเดินไปตามระบบแบบแผนที่ควรทำ ไม่พอใจอะไรก็ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งแบบที่ทำกับเรื่อง 'ประชาธิปไตย'

 

ตอนรักก็เลือกคนหน้าเหลี่ยมแม้จะบกพร่องโดยสุจริตก็ปกป้องต่างๆ นานา พอไม่พอใจก็เดินขบวนเรียกร้องให้เอารถถังยึดอำนาจ(ผมเห็นด้วยกับการเดินขบวนแต่ไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องรถถัง) ถ้าคนไทยพอใจจะเป็นอย่างนี้ ก็ขอไปเดินขบวนต่อ และบอก คมช.ให้เตรียมสามเหล่าทัพบุกไปปิดล้อมฟีฟ่าขอเขียนกฎฟุตบอลใหม่เอง แล้วแต่งตั้งคนไทยเป็นประธานฟีฟ่าเลยแล้วกัน

 

ประเด็นการโจมตีสิงคโปร์มักจะถูกยกมาเมื่อความชอบธรรมของรัฐบาลและ คมช.ถูกท้าทาย และเสียเหลี่ยมให้คนหน้าเหลี่ยมไปเรื่อยๆ จนดูจะเริ่มเสื่อมถอยลงกว่าวันแรกที่ยึดอำนาจได้สำเร็จ ทั้งนี้เป็นเพราะมีท่าทีในทางต้องการสืบทอดอำนาจ ตั้งแต่การไม่ยอมยกเลิกกฎอัยการศึกโดยง่าย การเขียนรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่มีลักษณะให้อำนาจสูงสุดกับ คมช.จนกว่าจะถึงการเลือกตั้ง รวมทั้งสิทธิในการสรรหาคนมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เริ่มมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่คนในคมช.และรัฐบาลต้องการและเมินเฉยข้อเสนอจากภาคส่วนอื่น หรือแม้แต่การเลือกประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญก็ยังมีกระแสข่าวว่าล็อบบี้บุคคลนี้จาก คมช.

 

เมื่อเสื่อมถอยลงมาก การเดินตามรอย 'ตำนานสมเด็จพระนเรศวร' สร้าง 'ศัตรูร่วมของคนทั้งชาติ' ให้มารองรับอารมณ์แทนจึงถูกนำมาใช้ ประเทศสิงคโปร์ซึ่งถูกพาดพิงในทางร้ายมาหลายคราวหลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อีกทั้งยังมีความแน่นแฟ้นกับคนหน้าเหลี่ยมจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ 

 

การนำ 'ตำนานสมเด็จพระนเรศวร' มาเป็นเครื่องมือชี้นำประชาชนของผู้ปกครองนั้นเพิ่งเกิดขึ้นช่วงสมัยรัชการที่ 5 เมื่อฝรั่งมังค่ามายึดเมืองโน้นทีเมืองนี้ที ผู้ปกครองอันมีอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์คงกลัวเสียอำนาจนั้น ก็เลยเอาประวัติศาสตร์แบบ 'ตำนานสมเด็จนเรศวร' มาสร้างศัตรูให้คนสยามเกลียดร่วมกันแทน การกำหนดทิศทางแบบสมบูรณาญาสิทธิ์จึงง่ายขึ้น ส่วนจะให้ทะเลาะกับฝรั่งมังค่าไปเลยตรงๆ นั้น ท่านคงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้ เพราะขนาดพม่าที่ทำให้เกลียด ด้วยมันเก่งกล้าน่ากลัวหนักหนายังโดนปราบสิ้นบ้านสิ้นเมือง ขืนสู้ไปตรงๆ ชะตากรรมของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์คนสุดท้ายแห่งพม่าคงเป็นบทเรียนที่ดี

 

พ้นช่วงสมบูรณาญาสิทธิ์สู่สังคมประชาธิปไตย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ใช้การรัฐประหารแทนการเลือกตั้งเข้าสู่ความเป็นผู้นำ(คุ้นๆ นะ คล้ายๆ ใครก็ไม่รู้) เลยหมิ่นเหม่โดนคนนู้นคนนี้ตัดแข้งตัดขาอยู่เนืองๆ เลยเอาแพะพม่ามาสังเวยต่อจากที่สถาบันพระมหากษัตริย์เคยใช้มาแล้วบอกว่าดีมาลองทำดูบ้าง ปรากฏว่า คนเกลียดพม่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง มันเข้าทีถึงขนาดต้องเอาใส่ไว้เป็นแบบเรียนให้ท่องใส่หัว จนปัจจุบันแม้แต่ผมซึ่งรักพม่าแล้ว เวลาดูหนังประเภทบางระจันเอย สุริโยไทเอย นเรศวรเอย มันยังจี๊ดสสส์เข้าไส้ทุกที

 

แต่เอาล่ะสิ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับพม่ามันก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะมันกำลังตั้งคำถามกับความเป็นมนุษย์ของเราว่า สุดท้ายเรามองมนุษย์ด้วยกันโดยใช้กรอบแบบใด และกรอบนี้กำลังย้อนกลับมาเกิดกับสิงคโปร์ เรากำลังกลัวและเกลียดสิงคโปร์เกินความเป็นจริงไปหรือไม่ เพราะคนสิงคโปร์เองก็มีมากมายหลายแบบ มีหิว มีเจ็บเหมือนเรา แต่เราเลือกจะเกลียดแบบมวลรวมไปแล้ว ดังนั้นแม้ยุคนี้จะไม่มีการศึกสงครามหรือมีศัตรูนอกมาให้สร้างอารมณ์ร่วม แต่ข้อหา 'ขายชาติ' นั้นยังฝังลึกอยู่จากการท่องจำ' ตำนานสมเด็จพระนเรศวร' ทุกคนรับรู้ร่วมกันว่าเหตุที่กรุงศรีอยุธยาพ่ายเสียกรุงแก่พม่านั้น 'พระยาจักรี' ขุนศึกใหญ่แห่งกรุงศรีอยุธยากลับเป็นผู้เปิดเมืองให้ข้าศึกเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาเสียเอง

 

พฤติการณ์ 'ขายชาติ' ของ 'พระยาจักรี' ครั้งนั้นถูกนำไปประทับให้กับคนหน้าเหลี่ยมในวันนี้ หลังการขายหุ้นในเครือชินคอร์ปให้กับกลุ่มทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ ซึ่งธุรกิจบางอย่างที่ขายไปด้วยนั้นผูกเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของชาติ ข้อหานี้ฉกาจฉกรรจ์เพียงพอในการถูกนำมาใช้ประกาศความผิดของคนหน้าเลี่ยม จนเป็นชนวนสำคัญในการโค่นอำนาจในเวลาต่อมา ส่วนสิงคโปร์ตกอยู่ในร่างแหนี้ด้วยฐานะ 'ศัตรูของชาติ'

 

หลายครั้งที่ผู้มีอำนาจในปัจจุบันเริ่มเสียภาพลักษณ์ทางการปกครอง คำว่าสิงคโปร์จะถูกปลุกขึ้นมาดุจปีศาจร้ายเหมือนที่พม่าถูกใช้ในอดีต สงครามอารมณ์แทบจะประทุได้ทุกวินาทีแม้แต่การเชียร์บอล ส่วนผู้มีอำนาจจากการกระทำแปลกๆตอนนี้ก็นั่งอยู่ในอำนาจอย่างไม่ถูกตั้งคำถามไปสบายตัว 

 

หากจะมองโดยยุติธรรมต่อเพื่อนบ้านบ้าง ประเทศสิงคโปร์ไม่ได้ทำอะไรมากมายเลยสักนิด การจะโทษเรื่องธุรกิจการค้าที่เขาเจริญรุ่งเรืองกว่าด้วยการหากำไรจากประเทศอื่นๆ รวมทั้งไทยนั้นคงมันดูตลกๆ ในสังคมโลก มันเป็นปัญหาของคนไทยที่ต้องคิดหาทางป้องกันแก้ไขเอง อาจจะได้มาด้วยการออกแบบระบบที่ดีและระบบที่ดีนั้นต้องควบคุมคนเก่งที่เลือกมาใช้ในระบบให้ได้ แทนที่จะให้คนเก่งนั้นไปคุมระบบเต็มตัวแบบที่ผ่านมา หรือให้ใครก็ไม่รู้ไปล้มระบบแล้วให้เขาเขียนกันเองเลย (ส่วนประเด็นคนดีตัดทิ้งไปได้เลย เพราะผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีพอควรเหมือนกัน แถวบ้านผมก็มีคนดีๆ เยอะแยะ ถ้าจะเอาแค่คนดีไปดูแลประเทศเอาผมไปก็ได้ อย่างน้อยผมก็ไม่เคยบอกทหารไปทำร้ายประชาชน หรือลิดรอนสิทธิใครเหมือนคนดีบางคนในทำเนียบและ คมช.) คนเราเลือกจะทำการค้าแล้วสู้เขาไม่ได้ก็อย่าไปโทษคนอื่น

 

ส่วนผมอย่างมากก็แค่ไม่พอใจบ้างที่ฟุตบอลแพ้ ก็ลุ้นมาตั้งหลายปี บอลโลกก็ไปไม่ได้สักที อย่างน้อยเก่งในภูมิภาคก็ยังดี แต่การแพ้ครั้งนี้ถ้าคิดว่าทำให้ได้ลุ้นมากๆ ในรอบหน้าก็สนุกไปอีกแบบแล้ว สนุกกว่าชนะชัวร์ๆ เสียอีก คนเราจะเอาอะไรมากมายกับกีฬา ส่วนเรื่องโกงหรือไม่นั้นก็ว่ากันไป เรื่องการโกงด้วยกรรมการแม้แต่วงการฟุตบอลในตะวันตกที่ถือว่าระบบสุดยอดก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่เขาใช้การไต่สวนตามระบบและยอมรับกันไป ไม่ใช่การมาปลุกกระแสคนให้โกรธเกลียดจนจะกินเลือดกินเนื้อกันแบบนี้

 

วงการฟุตบอลของสิงคโปร์ก็ไม่ใช่หมูอ่อนๆ อีกแล้ว พัฒนาอย่างน่าตกใจจริงๆ การแพ้ชนะจึงสูสีน่าลุ้น ต้องมายอมรับกันจริงๆ เสียทีว่า ขณะนี้ประเทศรอบข้างกำลังพัฒนาไปข้างหน้าหลายๆ ด้านแต่ประเทศไทยยังย่ำอยู่กับที่หรือเดินถอยหลัง (ตั้งแต่เรื่องฟุตบอลไปจนถึงการเมือง) เท่าที่ฟังคนเขาพูดๆ กัน ไม่ได้มีแค่สิงคโปร์เท่านั้นที่โดดเด่น ประเทศเวียดนามก็กำลังหอมฉุย เศรษฐกิจรุดหน้าติดเทอร์โบ ส่วนวงการฟุตบอลแม้จะพัฒนาหลังไทยนับสิบปี แต่ปัจจุบันฟุตบอลลีกอาชีพในเวียดนามเป็นรูปเป็นร่างกว่าไทยไปแล้วแน่นอน

 

ไทยเองตอนนี้ไม่รู้ผีเข้าหรือปลงไม่ตก เดี๋ยวบอกจะรวมลีก เดี๋ยวบอกจะไม่รวม เดี๋ยวว่ายุบไปเลย แค่นี้ก็เห็นสภาพแล้วครับพี่น้อง วันข้างหน้าถ้าเวียดนามจะชนะไทยได้หลายครั้งก็อย่าไปโทษกรรมการและเกลียดเวียดนามไปอีกประเทศเลย

 

ด้วยความเป็นไทยแบบไม่ลืมหูลืมตาหรืออาจจะตาบอดไปแล้วจนลืมดูว่าตอนนี้มิตรประเทศรอบข้างเริ่มใช้ไทยเป็นศัตรูเพื่อการพัฒนาตัวเองไปหมดแล้ว พม่าที่ไทยให้เป็นศัตรูทางประวัติศาสตร์ ตอนนี้ได้ไทยเป็นมหามิตรที่ใช้รูปแบบการปกครองแบบเดียวกันไปแล้ว มาเลเซียก็เกือบฉะกันกรณี 'ต้มยำกุ้ง'  ส่วนกัมพูชาก็ใช้ไทยเป็นเครื่องมือรวมคนในประเทศเพราะกำลังสร้างชาติหลังสงคราม จึงเริ่มฝังวิธีคิดให้มองไทยเป็นศัตรูที่เคยไปดูถูกเขา

 

ปีก่อนภาพยนต์เรื่องโกสต์เกมที่นำเรื่องจริงที่เกิดในคุกโตนสะเลงช่วงเขมรแดงเรืองอำนาจและมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นับล้านคนมาเป็นโครงเรื่อง ทางองค์กรภาคประชาชนในกัมพูชาก็ไม่ค่อยพอใจกับการเอาประวัติศาสตร์ที่เป็นบาดแผลของคนกัมพูชาเห็นเป็นเรื่องล้อเล่น ส่วนกับประเทศลาวมีกรณีคล้ายๆ กันเมื่อภาพยนตร์หมากเตะถูกท้วงติงเพราะมีเนื้อหาดูถูกเชื้อชาติจนต้องมีการขอโทษขอโพยและปรับเปลี่ยนเนื้อหาใหม่

 

อย่างนี้แล้วยังหาเรื่องไปทะเลาะกับสิงคโปร์ประเทศคู่ค้าอันดับ 3 อีกหรือ ทั้งที่สำหรับสิงคโปร์ ไทยเป็นแค่คู่ค้าอันดับ 7 ส่วนประเทศทางยุโรปและอเมริกาก็จ้องหากำไรกับความไม่เป็นประชาธิปไตยในทุกประเทศทั่วโลก ไทยตอนนี้นับว่าเข้าทางตีน กดดันได้หมด คิดกันหรือไม่ว่าตอนนี้ไทยอยู่จุดใดของมุมโลก และควรใช้ท่าทีแบบใดในสังคมโลก          

 

วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ นี้ ทีมฟุตบอลไทยจะเจอกับทีมฟุตบอลสิงคโปร์อีกครั้ง ที่ สนามศุภฯ ชมดูอย่างเกมกีฬากันดีกว่า อย่าไปเต้นตามกระแสอารมณ์ที่ใครบางคนพยายามยุแหย่ ตอนนี้เห็นว่าถึงกับต้องเตรียมกำลังตำรวจทหารหลายร้อยนายไปป้องกัน คิดแล้วอนาถสังคมไทย ดูฟุตบอลยังต้องเตรียมไปรบ เรื่องบางเรื่องสนุกๆ ดีกว่า ส่วนใครจะตีกัน ให้มันตีกันไปเองสองสามคน หากมันมาชวนก็บอกไปเลยว่า

 

"เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด"      

 

  

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท