ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการเลือกตั้งที่มีการตั้งคำถามมากที่สุดถึงเหตุผล ความจำเป็น ทำไมต้องมีการทุ่มเงินถึง 2 พันกว่าล้านบาทเพียงเพื่อการฟอกตัวของผู้นำการเมือง คุ้มกันหรือไม่ จนถึงขั้นมีนักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ.ไชยันต์ ไชยพร ยอมแหกกฎกติกาด้วยการฉีกบัตรเลือกตั้ง เพื่อเป็นการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ที่จะไม่ยอมรับการเลือกตั้งครั้งนี้
นอกจากกระแสการไม่ยอมรับการเลือกตั้ง ความตื่นตัวทางการเมืองที่จะไปใช้สิทธิก็มากไปพร้อมๆ กันด้วย โดยมีคาดคะเนว่าจะมีการไปใช้สิทธิแบบ "ไม่เลือกใคร" กันมาก ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลรักษาการก็พยายามจะแถลงข่าวก่อนการเลือกตั้งทำนองว่าหลังการเลือกตั้งแล้ว การชุมนุมประท้วงควรจะยุติได้แล้ว เหมือนกับเป็นบอกเป็นนัยๆ ว่า เตรียมตัวที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีก ซึ่งมีหลายฝ่ายคาดคะเนสถานการณ์ไม่ถูกว่าการเมืองไทยนับจากนี้จะเป็นเช่นไร
ในสถานการณ์การเมืองเช่นนี้ สำนักข่าวประชาธรรมติดตามความเห็นของผู้นำศาสนา ปราชญ์ชาวบ้าน และนักวิชาการอาวุโสมานำเสนอ เพื่อช่วยกันมองหาทางออกของสังคมไทยในระยะต่อไป
พระไพศาล วิสาโล
พระนักพัฒนา
อาตมามองว่าวิถีการต่อสู้โดยยึดหลักสันติวิธีเป็นทางออกที่ดีที่สุดในห้วงสถานการณ์ขณะนี้ แม้ว่าสันติวิธีจะยุติปัญหาได้ช้าไม่รวดเร็วเหมือนการยุติปัญหาแบบใช้ความรุนแรง ตัวอย่างเหตุการณ์ต่อต้านการปราศรัยของแกนนำประชาธิปัตย์ที่เชียงใหม่ และการปิดล้อมสำนักงาน นสพ.คมชัดลึกนั้นเป็นแนวโน้มที่น่ากลัว อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงได้ตลอดเวลา แต่อยากเตือนสติทุกฝ่ายว่า การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันทางการเมืองนั้นสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น
สถานการณ์ตอนนี้เป็นการพิสูจน์วุฒิภาวะของสถาบันต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น รัฐสภา ศาลสถิตยุติธรรม รวมทั้งองค์กรอิสระต่าง ๆ ว่ายังใช้การได้หรือเปล่า เพราะที่ผ่านมาองค์กรต่างๆ เหล่านี้ไม่ทำงานหรือทำได้ไม่เต็มที่เพราะถูกซื้อไว้เกือบทั้งหมด จึงเป็นที่มาของปัญหาและลุกลามมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนสถาบันทหาร ตำรวจ นั้นก็ต้องจับตาดูว่ายังยึดมั่นในแนวทางที่ถูกต้องอยู่หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จำเป็นจะต้องพึ่งบารมีของสถาบันสูงสุดก็คือ สถาบันกษัตริย์ แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเราก็เห็นแล้วว่าพระองค์ท่านจะเสด็จออกมาก็ต่อเมื่อกลไกต่างๆ ทำอะไรไม่ได้แล้ว นั่นก็หมายความว่าสถานการณ์ถึงขั้นนองเลือดแล้ว ถึงตอนนั้นอาจจะสายเกินไป
ที่น่ากลัวตอนนี้คือต่างฝ่ายต่างอ้างสถาบันกษัตริย์ อย่างกรณีหมิ่นเบื้องสูงของ นสพ.คมชัดลึก ทั้งที่ยังไม่ได้พิสูจน์กันในชั้นศาลเลย แต่อีกฝ่ายก็มีความพยายามจะทำให้เรื่องมันบานปลายออกไป อาตมาขออย่าให้ถึงขั้นเกิดการนองเลือดกันเลยยังไงเราก็คนไทยด้วยกัน ความคิดที่แตกต่างวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะเหมือนกันก็ได้ อย่าให้ถึงขั้นต้องพินาศกันไปข้างหนึ่งเลย ที่สำคัญอย่าเอาอุดมการณ์มาทำลายความเป็นมนุษย์ด้วยกันเอง ใครจะอยู่จะไปก็ช่างแต่สังคมเราต้องอยู่ อย่าให้คนๆ เดียวมาทำลายความเป็นสังคมของเรามันไม่คุ้มกันหรอก
ในส่วนของการปฏิรูปการเมืองที่มีการพูดถึงกันมาก 7-8 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า การเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญให้ดีอย่างเดียวไม่สามารถทำให้สังคมดีขึ้นได้ กฎหมายดีแต่นักการเมืองหรือ ส.ส.ไม่ดี ยังไงเขาก็ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเองและหาช่องโหว่ของกฎหมายกอบโกยหาผลประโยชน์เข้าตัวเองและพรรคพวกได้
การปฏิรูปการเมืองอย่าจำกัดเฉพาะคำว่า คนดี ระบบดีเท่านั้นแต่ต้องทำไปพร้อมกันทั้งสามเส้า คือการเขียนกฎหมายที่ดี สร้างสังคมที่ดีงาม และการทำให้คนในสังคมมีคุณธรรม จริยธรรมและเป็นคนที่มีคุณภาพ สามารถตรวจสอบระบอบการเมืองไม่ให้คนชั่วมีโอกาสเข้ามาทำให้ระบอบการเมืองที่ดีอยู่แล้วนั้นเสียหาย นั่นคือต้องกระจายอำนาจลงสู่ภาคประชาชนมากขึ้นและต้องทำอย่างจริงใจมากกว่าที่ผ่านมา ด้านการศึกษาต้องส่งเสริมให้เกิดการสร้างสังคมที่ดีงาม สื่อต่างๆ ต้องสร้างวัฒนธรรมในการตรวจสอบระบบการเมือง ทำอย่างไรให้กลไกมันเดินไปได้ด้วยดี
มรว.อคิน ระพีพัฒน์
นักวิชาการอาวุโส
ถ้าหากพรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลเป็นผลสำเร็จ หากมองในแง่ดีทักษิณอาจจะลาออกแล้วแต่งตั้งคนขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน แต่ก็เหมือนกับรัฐบาลหุ่น เรื่องก็ไม่จบอยู่ดี เพราะพรรคไทยรักไทยยังมีผลประโยชน์ทับซ้อน เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าผู้แทนราษฎรนั้นมักจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ความสัมพันธ์ก็เป็นส่วนตัว แล้วทำอย่างไรมันถึงจะจบได้
เราต้องพยายามสร้างความเข้าใจให้เกิดกับคนรากหญ้า การรวมกลุ่มของชาวบ้านในท้องถิ่นแต่ละแห่งมีความสำคัญ ถ้าหากชาวบ้านสามารถรวมตัวกันได้เข้มแข็ง และไม่แบมือรับเงินง่ายๆ เช่น เงินกองทุนหมู่บ้านละล้าน แต่ถ้าหากมีเงื่อนไขบางอย่างที่ชาวบ้านรวมตัวกันช่วยกันเอง ชาวบ้านจะสามารถทำได้ดีกว่า ประชาธิปไตยจะดีขึ้น
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังมีอะไรที่บกพร่องหลายอย่างที่ทำให้ทุนใหญ่ๆ สามารถเข้ามาปกครองประเทศได้ มีปัญหาอยู่สองอย่างคือคนกับตัวบทกฎหมาย ที่คิดกันอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือว่า พยายามจะแต่งตั้งคนกลางที่ไม่เข้าข้างใครมาแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญ แต่เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยเวลาเพราะมันมีความซับซ้อน ผมคิดว่าถ้าหากเราสามารถปรับปรุงการศึกษาให้ชาวบ้านได้คิดได้รู้จักว่าชาวบ้านสามารถถูกหลอกทางอ้อมได้อย่างไร ให้ชาวบ้านสามารถเข้าใจโครงสร้างในระดับที่สูงขึ้น ก็จะทำให้ประชาธิปไตยของเราดีขึ้น
บำรุง บุญปัญญา
นักพัฒนาอาวุโส ภาคอีสาน
ถ้าวิเคราะห์ให้ดีจะพบว่ามีคำขวัญเกิดขึ้นก่อนเลือกตั้งตลอดเวลา เช่น คุ(ถังน้ำ)แลกหมา น้ำปลาแลกคน ชาวบ้านไม่เคยคิดว่าจะศรัทธาต่อระบอบเลือกตั้งเลย กลายเป็นเรื่องว่าประชาชนคิดว่าทำอย่างไรจะได้เงิน ความศรัทธาต่อระบอบการเลือกตั้งไม่มีเลย กลายเป็นปาร์ตี้โพลิติค การเมืองผ่านม๊อบ ณ ปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นมานิดเดียว คือเกิดคำขวัญใหม่ขึ้นมาในการเลือกตั้งคราวนี้ ในกรณีที่ตนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมา 2 รอบคือเป็นที่ปรึกษาขององค์กรกลาง รอบแรกบอกว่าเงินไม่มา กาไม่เป็น หมายความว่า ชาวบ้านไม่ได้เลื่อมใสในระบอบเลือกตั้ง เงินไม่มา กาไม่เป็น คือเขาไม่รู้เรื่องที่เกี่ยวกับตัวนักการเมืองเลยว่าใครจะดีจะชั่วอย่างไร ล่าสุดนี้บอกว่า เงินไม่มา ปากกาหมดหมึก หมายความถ้าซื้อไม่ถึง ไม่เลือก คือชาวบ้านไม่มีความรู้สึกว่าจะสร้างปรากฏการณ์ของพรรคการเมือง หรือจะหนุนพรรคการเมืองเลย อยู่ที่ว่าเงินจะมาหรือไม่มาแค่นั้น
สรุปคือศรัทธาประชาชนต่อการเมืองระบอบนี้ไม่มี แต่เขารู้ชัดเจนว่าพวกนายทุนสร้างพรรครู้แค่นี้เขาไม่สนใจเรื่องอื่นใด แต่ปัจจุบันเขารู้ว่าทักษิณเอาเงินมาให้ดีกว่าใคร ๆ ที่แล้วมา การที่ชาวบ้านยอมระบอบทักษิณจึงไม่ใช่การเลื่อมใสระบอบการเมือง เป็นเรื่องของเงินเท่านั้นเอง
ปัญหาคือคนจะสร้างโจทย์ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านกับนักการเมืองอย่างไร ถ้าตั้งโจทย์ว่าพรรคการเมืองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประชาชนแล้ว ก็จะมองว่าปรากฏการณ์ทักษิณคือเราปฏิเสธการยอมรับอันนี้ยาก แต่ถ้าคนตั้งทฤษฎีว่าพรรคการเมืองนี้ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่ไหนก็ตาม คือแปลกแยกกับประชาชน เพราะฉะนั้นเทศการเลือกตั้งเป็นเทศกาลความคึกคักของการหาเงิน และการเอาเปอร์เซ็นต์ของหัวคะแนน มันไม่ใช่ความคึกคักของการต่อสู้ทางอุดมการณ์ ในที่สุดก็คือระบอบการเมืองแบบพรรค(ปาร์ตี้โพลิติค) ไม่เคยมีฐานมวลชนหรือมีฐานก็แบบซื้อเข้ามา และระบบการเมืองแบบไม่ใช่พรรคคือกลุ่มพลังเคลื่อนไหวต่าง ๆ
ปรากฏการณ์ของพลังทางสังคมมันสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งว่าประชาชนประเมินพรรคการเมืองย่ำแย่ไปเลย ดังนั้นวันที่ 2 (เมษายน) นี้จึงต้องจับตามองอย่ากระพริบเด็ดขาด เพราะจะเป็นวันแห่งการเช็คบิลของทักษิณ การที่เขาเสนอแนวคิดเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งก็เพื่อตีพรรคประชาธิปัตย์ ตีกลุ่มพันธมิตร เพื่อสร้างนัยยะให้คนเห็นว่า ผมใจกว้างขนาดนี้คุณยังจะเอาอะไรกับผมอีก หลังเลือกตั้งจึงเป็นช่วงแห่งการปะทะของมวลชนไม่มีสิทธิ์จะเป็นอย่างอื่นได้เลย ไม่ว่าจะเป็นตรอกซอกซอย ตามตลาดตามที่ไหน ๆ ก็จะเกิดความขัดแย้งขึ้นทุกหย่อมหญ้า เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก
คำเดื่อง ภาษี
ปราชญ์ชาวบ้าน จ.บุรีรัมย์
สถานการณ์การความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตอนนี้ ทุกคนต้องตั้งสติ อดทน เพราะทุกคนต่างก็เครียดๆ กันทั้งนั้น อย่าคิดว่าจะทำอย่างไรให้เรื่องมันจบลงเร็ว ๆ ไม่มีทางจบได้ง่ายหรอก เพราะต่างฝ่ายก็มีแผนกันไว้แล้ว ปัญหาและความรุนแรงที่ผ่านมายังไม่ถือว่าใหญ่โตอะไร หลังจากนี้ไปต่างหากที่เรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต ทุกฝ่ายต้องเตรียมรับมือให้สูงขึ้นจากที่แล้วมาเตรียมเพียง 50 ก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็น 70 เป็น 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะมันเป็นเรื่องของคนที่มีทิฐิต่อกัน แต่ก่อนเคยเกิดขึ้นแต่ในชนบท ที่มีการแบ่งขั้วกันระหว่างคนเลือกและไม่เลือก (ส.ส.) ถึงขั้นไล่ควายออกจากคอกกัน ส่วนคนเมืองซึ่งเดิมเป็นสังคมต่างคนต่างอยู่ดิ้นรนกันไป แต่ปัจจุบันปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ลุกลามเข้าไปในสังคมเมืองแล้ว
หากจะมองในแง่ดีก็คงต้องปล่อยไปสักระยะเพราะถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ภาคประชาชนจะได้เรียนรู้ท่ามกลางสถานการณ์จริง เรียนรู้ระบบการเมืองว่าจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้จริงไหม เรียนรู้ว่านักการเมืองได้ตอบสนองเราขนาดไหน ถ้าคำตอบว่าไม่ได้ตอบสนองอะไรเลย ก็เป็นโอกาสที่ชาวบ้านจะได้เริ่มหันกลับมาพึ่งตนเองให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ระบอบการเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้เรียกได้ว่า เป็นประชาธิปไตยนำเข้าจากชาติตะวันตก มันไม่ใช่ของเรา เหมือนพืชนำเข้าพอเอามาปลูก ภูมิอากาศมันก็ต่างกัน ปลูกไม่ขึ้น เลี้ยงไม่โต ประชาธิปไตยนำเข้า เป็นการสร้างบรรทัดฐานสังคมใหม่ ปฏิเสธภูมิปัญญาของคนจบ ป.4 เอาเด็กจบปริญญาตรีที่เรียนหลักสูตรจากเมืองนอก มาเป็น ครู เป็น อบต. ก็ไม่เข้าใจพื้นฐานสังคมชนบทว่าเป็นมาอย่างไร ภูมิปัญญาดั่งเดิมก็สูญหายไปเรื่อย ๆ ถึงวันนี้ก็เปรียบเหมือนป่าถูกทำลายไปหมด จะปลูกใหม่ก็ไม่มีปัญญาทำได้แล้ว
การปฏิรูปการเมืองต้องคิดกันทั้งประเทศ ต้องคิดขึ้นจากภูมิปัญญา และวัฒนธรรมของประเทศเราเอง ต้องปลูกพืชของเราเอง และต้องปลูกแบบผสมผสาน อย่าทำให้เป็นประชาธิปไตยเชิงเดี่ยว ที่สำคัญต้องเป็นประชาธิปไตยสายพันธุ์คนไทยแท้ๆ อย่าเอาแนวคิดของตะวันตกเข้ามาใกล้ การยึดหลักประชาธิปไตยแบบนำเข้านั้นไม่มีอะไรกำหนดได้ว่าประเทศจะเดินต่อไปได้ การเขียนกฎหมายก็เพื่อตอบสนองนักธุรกิจและนักการเมืองไม่ได้ตอบสนองคนหมู่มาก และพยายามทำให้เป็นเรื่องไกลตัวชาวบ้าน ไม่กล้ามีส่วนร่วมในการตรวจสอบระบบกลไกการเมือง
ตราบใดที่ประชาชนยังไม่เข้มแข็ง รัฐธรรมนูญต่อให้เขียนดีขนาดไหนมันก็เดินไปไม่ได้ แต่ถ้าชาวบ้านเข้มแข็งสามารถพึ่งตนเองได้ เข้าใจระบอบการเมืองแล้ว ต่อให้รัฐบาลเปิดเขตการค้าเสรี หรือทำอะไรที่สร้างปัญหา ชาวบ้านก็จะสามารถจัดการได้
การเขียนรัฐธรรมนูญต้องเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกสาขาอาชีพเข้ามาระดมความคิดเห็น อย่าบอกว่า พระไม่เกี่ยวกับการเมือง ถือว่าทุกคนที่เป็นคนไทยเกี่ยวข้องหมด ไม่ว่าเด็ก คนพิการ ต้องมีส่วนร่วม และอย่าไปยึดติดว่าคนร่างรัฐธรรมนูญต้อง 99หรือ 100 คน เอามาเป็น 500 เป็น 1,000 คนมาช่วยกัน เวลาในการร่างก็อย่าจำกัดแค่ 1- 2 ปี ต้องร่างกันยาว ๆ เฉพาะหน้าอาจร่างฉบับบังคับใช้ชั่วคราวก่อน ส่วนฉบับจริงอาจจะต้องใช้เวลาร่าง 8 - 10 ปี ก็ต้องทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด ให้เป็นรัฐธรรมนูญสายพันธุ์ไทยแท้ ๆ อย่าไปคิดว่าต้องเอาตัวอย่างจากอเมริกาเท่านั้นถึงจะถือว่าเป็นที่สุดของโลก แต่เราต้องร่างของเราขึ้นมาให้เป็นที่สุดของโลก ใครไม่เอากับเราก็ช่างเขา ขอให้เป็นความภูมิใจของเราเอง
บาทหลวงนิพจน์ เทียรวิหาร
ผู้นำศาสนาคริสต์ นักพัฒนาภาคเหนือ
ทางออกสำหรับยุคนี้ภายใต้สภาวะทางการณ์เมืองแบบนี้เราต้องสร้างรากฐานแนวความคิดเสรีนิยมให้ออกนอกกรอบ ไม่เช่นนั้นคนที่จะขึ้นมาทำหน้าที่บริหารต่อก็จะเป็นเสรีนิยมแบบเดิม สร้างฐานให้ชาวบ้านรวมกลุ่มทางวัฒนธรรม ให้มีมิติทางจริยธรรม ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดการปฏิรูปยาก หรือทุกอย่างเวียนวนอยู่แบบเดิม ซึ่งเป็นระบบประชาธิปไตยที่เน้นแต่การไปเลือกตั้ง
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการปฏิรูปการเมืองอาจจะยากสำหรับสังคมไทย แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องให้ประชาชนมีการเคลื่อนไหวอย่างเข้มแข็ง มีตัวแทนที่มีจริยธรรม สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ได้ทำให้สังคมไทยเรียนรู้เกี่ยวกับกระแสสมัยใหม่แบบไม่รุนแรง และสังคมได้เรียนรู้ความแตกต่างในแง่ของความคิดเห็นต่อประเด็นทางการเมืองขณะนี้ ผมมองว่า เสรีนิยมแบบประชาธิปไตย จะไม่สามารถแก้ปัญหา เพราะทำให้คนมีอำนาจเงิน มีความทันสมัย เน้นการพัฒนาไปสู่การเพิ่มขึ้น จีดีพี (ผลผลิตมวลรวมรายได้ประชาชาติ) ซึ่งจะปัญหางูกินหางในตัวของมันเอง
ดร.ฉลาดชาย รมิตานนท์
อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่
ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้แม้ยังไม่มีความรุนแรง ยังไม่มีการออกมาใช้กำลังกันแต่มิได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่เกิด ดังนั้นทางออกที่ดีคือน่าจะปล่อยให้กระบวนการแก้ปัญหาการเมืองตอนนี้มันดำเนินไปด้วยตัวมันเอง ผมเห็นว่าการที่คนออกมาชุมนุมแบ่งเป็น 2 ฝ่ายแสดงว่ากระบวนการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมันยังทำงาน ยังไม่หยุด หากเราดูว่าการออกมาชุมนุมของเครือข่ายพันธมิตรฯที่กรุงเทพนอกจากไม่ผิดหลักการในระบอบประชาธิปไตยแล้ว มันยังไม่ขัดรัฐธรรมนูญด้วย ดังนั้นเมื่อยังไม่ขัดรัฐธรรมนูญและอยู่ในครรลองของระบอบประชาธิปไตยผมคิดว่าปัจจัยอื่นเป็นปัจจัยรอง อย่างปัญหาการจราจร ปัญหาการขาดรายได้ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เหล่านี้อาจเป็นปัญหาที่ตามมาแต่ไม่ได้เป็นภาวะวิกฤต เพราะยังมีทางออกคือให้เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตยอย่างที่กล่าวมา
ประเด็นสำคัญคือสังคมไทยยังไม่เคยมีประสบการณ์การชุมนุมที่ยืดเยื้อและสงบอย่างนี้มาก่อน ที่น่าจับตาคือผู้มาชุมนุมในฝ่ายพันธมิตรเราก็ทราบกันดีว่าไม่มีการจัดตั้ง หรือมีก็น้อย ในระยะหลังๆ ผู้ร่วมชุมนุมก็เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งคุณภาพของผู้ชุมนุมก็ค่อยๆ ยกระดับมาเรื่อยๆ ซึ่งประเด็นนี้น่าคิดว่ากระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยของเรามันยังไม่หยุดนิ่ง แต่ขณะเดียวกันต้องเข้าใจว่าระบอบประชาธิปไตยมันไม่มีวันจะลงตัว มันต้องมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นเสมอเหมือนที่เราคาดไม่ถึง
กรณีปัญหาที่เกิดในปัจจุบันอันเนื่องมาจากนายกรัฐมนตรีที่มีลักษณะรวบอำนาจ นี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงกันมาก่อน ขณะที่การเขียนรัฐธรรมนูญ การวางกฎกติกาต่างๆ ในที่สุดแล้วมันใช้ไม่ได้กับสถานการณ์ปัจจุบันนี้เพราะเป็นปัญหาเรื่องบุคลิกเฉพาะตัวบางอย่างของตัวนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งในตัวรัฐธรรมนูญมันไม่ได้ควบคุมตรงนี้ เช่น การพูดจาท้าทาย การไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆ การกระด้าง บางครั้งก็ดูถูกคนอื่นๆซึ่งเป็นมาตลอด รวมทั้งการออกแบบรัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบันก็ออกแบบมาเพื่อให้มีฝ่ายบริหารที่เข้มแข็งซึ่งมันกลายเป็นว่าเข้มแข็งเกินไปในความหมายที่ว่ามันไม่มีช่องว่างให้มีการตรวจสอบได้
ส่วนประเด็นคุณทักษิณออกไปจะสามารถลดอุณหภูมิทางการเมืองตอนนี้ได้หรือไม่นั้น ผมมองว่าได้แน่นอน แต่แก้ปัญหาได้ในระยะสั้นเท่านั้น ในระยะยาวมันต้องมีการปฏิรูปการเมืองที่ลึกซึ้งกว่านี้อีกมาก เพราะเหตุการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งหมด แต่มีปัญหาเรื่องบุคลิกภาพและเรื่องส่วนตัวของรักษาการนายกรัฐมนตรีมาเกี่ยวข้องมันจึงทำให้ทุกเสียงของประชาชนเพ่งไปที่ทักษิณในฐานะต้นเหตุปัญหา
ที่ผ่านมา เราเคยพูดมาตลอดว่าระหว่างระบบกับตัวบุคคลมันแยกกันลำบาก หากว่าระบบดีแต่คนไม่ดีก็ทำให้ระบบนั้นเสียได้หากคนคนนั้นมีอำนาจ ดังนั้นตรงนี้เป็นอุทาหรณ์ว่าในที่สุดแล้วสังคมของชนชั้นกลาง ประชาชนต่างๆ ก็สร้างวาทะกรรมคำว่าระบอบทักษิณขึ้นมา ดังนั้นหากแก้ปัญหาต้องเอาตัวคนที่เป็นปัญหาออกก่อนเพื่อที่จะแก้ระบบได้ ไม่เช่นนั้นกระบวนการแก้ไขจะไม่เคลื่อนไปตามที่คาดหวังได้
ส่วนประเด็นปฏิรูปการเมืองนั้น ผมคิดว่าการปฏิรูปการเมืองต้องลึกซึ้ง ละเอียด มองกลับไปที่ปัญหารากเหง้า ไม่ใช่มองแค่มาตรา 313 ที่ทักษิณเสนอว่าหากจะปฏิรูปการเมืองต้องปลดล็อคมาตรา 313 ก่อน ซึ่งผมมองว่ามันตื้นเกินไป
ระบบในที่นี้ผมอยากให้มองว่าเราต้องการสร้างสังคมแบบไหน สร้างชีวิตแบบไหนให้ประชาชน เราต้องการสังคมที่มั่งคั่งร่ำรวยแต่ขณะเดียวกันก็มีความเป็นธรรม ไม่สร้างปัญหาช่องว่างระหว่างชนชั้นคนรวยคนจนที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เราต้องการสังคมที่ยังมีศีลธรรมจริยธรรม ไม่ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เราต้องการสังคมที่เคารพในสิทธิมนุษยชน มันต้องคิดให้ลึกถึงระดับนี้ไม่ใช่คิดเพียงว่าจะปลดล็อคการเมืองโดยปรับแก้มาตราใดมาตราหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้คำถามที่ชัดเจนก็จะเริ่มปรากฏขึ้นมาว่าเราต้องการให้สังคมไทยเป็นอย่างไร ที่ผ่านมาสังคมไทยมีการพูดมาตลอดว่าเราต้องการการพัฒนาอย่างยั่งยืน เราต้องการการพัฒนาแบบทางเลือก เราต้องการเศรษฐกิจพอเพียง เหล่านี้คือรูปธรรมของการบอกว่าเราไม่ต้องการกระโดดเข้าสู่กระแสโลกาภิวัตน์แบบเต็มตัว เราต้องมีทางเลือกพูดง่ายๆ คือต้องมีระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์หรือไตรลักษณ์มากกว่าทุนนิยม
ดังนั้น หากมีการปฏิรูปการเมืองต้องลงลึกไปถึงตรงนี้ แล้วค่อยมาออกแบบการเมืองและรัฐธรรมนูญกันใหม่ ไม่ใช่เอาแต่เพียงบางมาตรามาแล้วบอกให้คนกลุ่มหนึ่งไปศึกษาแล้วเขียนออกมาใหม่ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จะตกอยู่ที่นักเทคนิคทางกฎหมายหรือเนติบริกรทั้งหลายโดยที่มันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลยหรืออาจแก้ได้แบบผิวเผิน
คำถามที่ว่าทักษิณเชื่อในวิถีประชาธิปไตยไหม ผมตอบได้เลยว่าเขาไม่เชื่อ เขาเชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือในการบรรลุวัตถุประสงค์อันใดอันหนึ่งเท่านั้นเอง
ที่ผ่านมาทักษิณใช้ประชาธิปไตยเพื่อก้าวเข้าไปสู่อำนาจ แล้วเอาอำนาจนั้นมาใช้แล้วอ้างว่าเขาได้ทำประโยชน์ให้กับประเทศ เช่น การปราบปรามยาเสพติด ดังนั้นวิธีการของเขาจึงเป็นการฆ่าตัดตอน เป็นต้น เหล่านี้เป็นการมองข้าม ไม่ให้ความสำคัญของกระบวนการไต่สวนตามระบอบประชาธิปไตยที่ต้องมีการฟ้องร้อง พิจารณาคดีให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้พิสูจน์ตัวเองด้วยพยานหลักฐานต่างๆ นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
หรือกรณีเขาได้เสียงข้างมาก มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เขาก็มองว่ารัฐสภาเป็นแค่เครื่องมือ หากเป็นเจ้าของเครื่องมือนั้นเขาก็ทำอะไรก็ได้ซึ่งนี่คือปัญหาใหญ่ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ในปัจจุบัน
สำนักข่าวประชาธรรม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)