ประชาไท - 4 ก.พ.49 คณะกรรมการสถาบันวิชาการ 14 ตุลา ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ พ.ต.ท.
ทั้งนี้ เพราะในการบริหารประเทศที่ผ่านมา พิสูจน์ชัดว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้จังหวะโอกาสและอำนาจไม่ชอบธรรม เข้าควบคุมครอบงำ แทรกแซง สถาบันต่างๆ ทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรอิสระ องค์กรตรวจสอบ หน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ตลาดหลักทรัพย์ และสื่อมวลชน รวมทั้งปิดกั้นการแสดงออก ซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้องอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการขายหุ้นของครอบครัวตระกูลชินวัตรที่ครอบครองธุรกิจต่างๆ ทั้งที่เป็นสัมปทานของรัฐ และธุรกิจที่เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของชาติเป็นจำนวนมากมหาศาล
สำหรับคณะกรรมการสถาบันวิชาการ 14 ตุลาที่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ ประกอบด้วย 1.ศาสตราจารย์ ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย 2. รศ.ดร. ธเนศร์ เจริญเมือง อดีตรองเลขาธิการฝ่ายการเมือง ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย 3.นายพีรพล ตริยะเกษม อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 4.ดร.นายแพทย์ ประยงค์ เต็มชวาลา อดีตนายกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล 5.นายชัยวัตร สุรวิชัย อดีตอุปนายกสโมสรนิสิตนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 6.นายชัยพันธุ์ ประภาสะวัต อดีตอุปนายกสโมสรนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร 7.ดร.ประยูร อัครบวร อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนักศึกษาครูแห่งประเทศไทย 8.นายบวร ยสินทร อดีตกรรมการสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กป.อพช.และพันธมิตรย้ำนายกฯหมดความชอธรรม
ด้านคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) และพันธมิตร 11 เครือข่าย พร้อมสมาชิกมากกว่า 250 องค์กร ก็ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนการใช้สิทธิชุมนุมเคลื่อนไหวของประชาชนในการปฏิเสธรัฐบาล พ.ต.ท.
"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หมดความชอบธรรมแล้วโดยสิ้นเชิงที่จะบริหารประเทศต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีที่มีเจตนาแก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้อให้บริษัทต่างชาติเข้ามายึดครองกิจการโทรคมนาคม ดาวเทียม และสถานีโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสมบัติของชาติ รวมทั้งความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความยากจน และได้สร้างเงื่อนไขให้ประชาชนอยู่ในภาวะที่ยากจนเพิ่มขึ้น เช่น นโยบายการค้าเสรีแบบผูกขาดเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนและพวกพ้องของตนเอง" แถลงการณ์ของ กป.อพช.ระบุ
เอฟทีเอวอทช์ชี้กรณีชินคอร์ปฟ้องทักษิณเปิดเสรีเพื่อใคร
ขณะที่กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชนได้ออกแถลงการณ์ประกาศสนับสนุนการใช้สิทธิชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อปฏิเสธรัฐบาล พ.ต.ท.
นอกจากนี้กลุ่มเอฟทีเอวอทช์ยังเรียกร้องให้ รัฐบาลเอื้ออำนวยความสะดวก และดูแล ป้องกัน มิให้มีฝ่ายใดเข้ามาแทรกแซง สร้างความวุ่นวาย และจัดหาเจ้าหน้าที่ที่มีความเข้าใจในการเผชิญหน้ากับฝูงชน ให้กำชับเจ้าหน้าที่ไม่ให้ใช้ความรุนแรง ไม่พกอาวุธปืนเข้าควบคุมพื้นที่ เพื่อช่วยกันลดความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น
"ระหว่างการชุมนุมใหญ่ของประชาชนมากกว่า 10,000 คน เพื่อต่อต้านการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐที่เชียงใหม่ รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ให้คำมั่นสัญญากับผู้ชุมนุมว่าจะไม่มีการเปิดเสรีสินค้า และจะไม่ยอมรับข้อตกลงทรัพย์สินทางปัญญาที่มีผลกระทบต่อประชาชน แต่พฤติกรรมของผู้นำประเทศกรณีการขายกิจการชินคอร์ป ชี้ให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมแล้วที่จะยอมรับข้อเสนอของฝ่ายสหรัฐฯเพียงเพื่อกลุ่มธุรกิจของตนเองและพรรคพวกที่ใกล้ชิด ดังที่ขณะนี้คณะเจรจาด้านทรัพย์สินทางปัญญา การบริการและการลงทุน และสิ่งแวดล้อม/แรงงาน ได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากรัฐบาลให้อ่อนข้อกับฝ่ายสหรัฐ" แถลงการณ์ระบุ
สกน. หมดเวลายื่นหนังสือ เลิกสังฆกรรมแม้ว
สกน.จี้ทักษิณลงจากอำนาจชี้หมดความชอบธรรม ทั้งกรณีการหลีกเลี่ยงภาษี หรือเมกะโปรเจกที่ไม่โปร่งใส ผลประโยชน์ซับซ้อน และถือว่าเป็นยุคของการต่อสู้ภาคประชาชนที่ถูกฆ่าตายมากที่สุด รวมไปถึงมีการแทรกแทรงสื่อและองค์กรอิสระจนทำให้กระบวนการตรวจสอบรัฐล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
นาย
เนื่องจากว่า 1.พ.ต.ท.
"ดังนั้น ในนาม สกน.ขอบอกว่า นายกรัฐมนตรีหมดความชอบธรรม และเราไม่ยื่นหนังสือใดๆ ให้ท่านอีก การที่เราแถลงก็เป็นการเสนอข้อมูลว่าเรากังวลเรื่องอะไร และมีผลประโยชน์อะไรที่เป็นเงื่อนงำซับซ้อนที่มีเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นโครงการเมกะโปเจก การขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และตามเงื่อนไขของจริยธรรมทางสังคม เราคิดว่า เราคงไม่สามารถที่จะทำงานร่วมกับนายกได้อีกต่อไป" ตัวแทน สกน.กล่าว
ทั้งนี้ ตัวแทน สกน.กล่าวถึงกรณีที่มีการแอบอ้างชื่อ สกน.ว่ามีการจ้างคนลงไปม็อบกับกลุ่มสนธิที่กรุงเทพฯ ในระหว่างวันที่ 4-5 ก.พ.นั้น ว่า ทาง สกน.ขอบอกว่าเป็นการแอบอ้าง ซึ่งเรายืนยันอยู่แล้วว่า จะไม่ไปเคลื่อนไหวเรียกร้องกับรัฐบาลชุดนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะถือว่ารัฐบาลนี้หมดความชอบธรรม
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเอง ก็ได้ออกมาแถลงข่าวแสดงความห่วงใยสถานการณ์การชุมนุม โดยระบุว่า การชุมนุมโดยสงบเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชานตามระบอบประชาธิปไตย การแสดงความคิดเห็นและความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกันเป็นสิทธิเสรีภาพที่ทุกฝ่ายสามารถแสดงออกได้ แต่ขอย้ำให้ทุกฝ่ายชุมนุมด้วยความสงบและสันติ และขอให้รัฐบาลดูแล ป้องปราม มิให้การชุมนุมในวันที่ 4 ก.พ.นี้มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ