Skip to main content
sharethis


เมื่อวันที่  18  มกราคม 49 เวลา 13.30 น. เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย แถลงข่าวที่สภาทนายความ ถึงกรณีที่ตำรวจบุกค้นสำนักงานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 7 จ.ศรีษะเกษ เมื่อวันที่ 12 มกราคม หลังจากกลุ่มเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลับจากการเคลื่อนไหวรณรงค์ต้านเอฟทีเอที่จังหวัดเชียงใหม่

 


ตัวแทนจากเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ในวันนั้นมีตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบประมาณสิบนาย ขอค้นสำนักงานโดยให้เหตุผลว่า สถานที่ดังกล่าวมีผู้แจ้งมาว่ามีของผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นอะไร พร้อมนำอุปกรณ์ในการตรวจปัสสาวะมาด้วย ในหมายค้นที่ตำรวจนำมา กลับไม่ปรากฏบ้านเลขที่ จำนวนคนในสำนักงาน และช่วงอายุของผู้อาศัยก็ไม่ตรงตามความเป็นจริง นอกจากนี้ ทางตำรวจยังได้ข่มขู่ว่า หากไม่ยอมให้ตรวจค้นถือเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ต้องขึ้นศาล ติดคุก ซึ่งหลังจากการค้นก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดใด


 


ทั้งนี้ตัวแทนจากเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีดังกล่าวว่า หมายค้นฉบับดังกล่าวออกมาจากศาลจริงหรือไม่ เหตุใดข้อมูลจึงผิดพลาด ใจความไม่สมบูรณ์, สำนักงานของเครือข่ายฯ ดำเนินการมานานกว่า 2 ปี และตำรวจเองก็แจ้งว่าได้รับเรื่องดังกล่าวมานานแล้ว เหตุใดจึงมาค้นช่วงที่กลับจากการรณรงค์เคลื่อนไหวต่อต้านเอฟทีเอที่จังหวัดเชียงใหม่, เหตุใดทางตำรวจต้องแสดงท่าทีข่มขู่คุกคาม ทั้งที่ยังไม่ได้ฟังการชี้แจงจากฝ่ายที่ถูกค้น, การค้นหาสิ่งผิดกฎหมายของตำรวจมุ่งค้นแค่กระเป๋าเดินทางที่กลับจากเชียงใหม่ แต่กลับไม่ได้ค้นในส่วนสำนักงานมากนัก


 


นายกมล อุปแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นคุกคามสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน หากการค้นสำนักงานของตำรวจเกี่ยวข้องกับการที่ชาวบ้านเครือข่ายไปร่วมรณรงค์ต่อต้านเอฟทีเอที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็เป็นการทำลายขวัญให้คนทำงานไม่มีกำลังใจ เป็นการขัดขวางการทำหน้าที่ของพลเมืองไทย ในการแสดงความคิดเห็นตามสิทธิที่ควรจะทำ


 


"ดังนั้น จึงต้องการเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจง ให้ข้อมูล และแสดงความรับผิดชอบในเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อแสดงเจตนาที่บริสุทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะการกระทำเช่นนี้เหมือนเป็นการแสดงท่าทีที่ไม่ตรงไปตรงมาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สร้างความไม่สบายใจให้กับประชาชนโดยไม่ทราบข้อมูลอะไรเลย และไม่ต้องการให้ผู้ใช้อำนาจทางกฎหมายกระทำการข่มขู่คุกคามเช่นนี้อีก" นายกมล กล่าว


 


ด้านนายจักร์กริช เจษฎางกูร ณ อยุธยา กรรมการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย กล่าวว่า ขณะนี้ทางสภาทนายความรับเรื่องดังกล่าวไว้ก่อน และต้องสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นกรณีเร่งด่วน คาดว่าจะใช้เวลาในการตรวจสอบข้อมูลไม่เกิน 1 สัปดาห์ หากพบว่าหมายค้นที่ตำรวจนำมาเป็นหมายปลอมก็จะมีความผิดทางกฎหมาย ส่วนในกรณีที่มีข้อกังวลว่า ตำรวจจะสามารถขอหมายศาลย้อนหลังได้หรือไม่นั้น ในทางกฎหมายทำไม่ได้อย่างแน่นอน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net