บทความใน "มุมคิดจากนักเรียนน้อย" เป็นแบบฝึกหัดที่นักศึกษาทำเพื่อส่งผู้บรรยายในวิชา การเขียนบทบรรณาธิการและบทความ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2548 |
กฎอัยการศึกฉบับป่าชุมชน
ศรุต โคตะสินธิ์
คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสดูรายการ "ถึงลูกถึงคน" อันที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะดูหรอก เพียงแต่เปลี่ยนช่องผ่านมาพอดี ขณะนั้นรายการกำลังเข้มข้นเลยทีเดียว ผู้ร่วมรายการคนหนึ่งกำลังพูดอย่าง "ออกรส" ฟังไปฟังมาก็จับความได้ว่ากำลังพูดเรื่อง "ป่าชุมชน"
เรื่อง "ป่าชุมชน" เป็นปัญหาที่เกิดมานานเป็น 10 กว่าปีแล้ว แต่ก็ไม่จบเสียที ยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าปัญหากำลังจะได้ข้อยุติแล้วเมื่อร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน ฉบับกรรมาธิการร่วมระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา(ฉบับกรรมาธิการร่วม 2 สภา) "คลอด" ออกมาในที่สุด
ทว่า กลับเป็นอีกครั้งที่ชาวบ้านผู้เดือดร้อนต้อง "ช้ำใจ" เนื่องจาก พ.ร.บ.ป่าชุมชน ฉบับกรรมาธิการร่วม 2 สภาได้มีประเด็น "พื้นที่อนุรักษ์พิเศษ" เพิ่มเข้ามา โดยพื้นที่อนุรักษ์พิเศษที่ว่านี้ คือพื้นที่ที่ชาวบ้านจะไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆทั้งสิ้น
ครั้งแรกรัฐไล่ชาวบ้านออกมาโดยการประกาศพื้นที่ป่าที่พวกเขาอาศัยอยู่มาก่อนเป็น "พื้นที่อนุรักษ์ตามกฎหมาย" ซึ่งได้แก่ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตป่าสงวน พอชาวบ้านขอให้มี "ป่าชุมชน" รัฐก็มา "เหนือ" กว่าโดยให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐประกาศพื้นที่ที่เห็นว่าเข้าข่ายให้เป็น "พื้นที่อนุรักษ์พิเศษ" เพื่อไล่ชาวบ้านออกอีกหน รวมไปถึงไล่ชาวบ้านในพื้นที่ใหม่ๆที่อาจโดนประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์พิเศษ เท่ากับเป็นการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ซ้ำซ้อน เพราะ "พื้นที่อนุรักษ์ตามกฎหมาย" เดิมก็ยังมีอยู่
อย่างไรก็ตาม ประชาชนผู้เดือดร้อนเองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เรียกร้องให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยัน "ร่างพ.ร.บ.ป่าชุมชน ฉบับประชาชน" ที่เคยผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2544 แต่กลับโดนวุฒิสภาแก้ร่างพ.ร.บ.ฯ โดยลงมติมิให้จัดตั้งป่าชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์ จนต้องส่งกลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรที่ยังคงยืนยันความเห็นเดิม ไม่เห็นด้วยกับวุฒิสภา ทำให้ในที่สุดต้องตั้งกรรมาธิการร่วม 2 สภาเพื่อพิจารณา
ผลจะออกมาอย่างไร เป็นเรื่องของอนาคต แต่ผมรู้สึกเห็นใจ และเข้าใจชาวบ้านที่เดือดร้อน รู้สึกชื่นชมที่พวกเขาสู้ไม่ถอย และขอเป็นกำลังใจให้พวกเขาได้ "พ.ร.บ.ป่าชุมชน ฉบับประชาชน" สมใจ
ผมอยากให้คนที่มีอคติต่อพวกชาวบ้านว่าเป็นคนทำลายป่าลองคิดดูว่า หากบ้านที่คุณอยู่มานานนับสิบๆปี อยู่ๆก็ถูกรัฐเวนคืน คุณจะรู้สึกอย่างไร พวกชาวบ้านเองก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากคนที่ถูกเวนคืนที่ดินเลย เผลอๆอาจจะรู้สึกแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะถูกสังคมส่วนหนึ่งเข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นตัวการทำลายป่าด้วย
ความเป็นจริงแล้วตัวการที่ทำลายป่าไม้ที่แท้จริงนั้นหาใช่ชาวบ้าน แต่กลับเป็นรัฐเองที่มีการให้สัมปทานทำป่าไม้ จนป่าถูกทำลายไปอย่างมหาศาลเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ พอป่าจะหมดประเทศก็มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการประกาศพื้นที่อนุรักษ์
รัฐหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับป่าได้ แต่กลับห้ามประชาชนใช้ป่าเพื่อการดำรงชีพ
นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยมากมายที่ยืนยันว่าชาวบ้านดูแลรักษาป่าได้ดีกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีผลงานการดูแลรักษาป่า "ติดเอฟ" จนเป็นที่ประจักษ์อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา จึงน่าจะเป็นการดีกว่าที่จะให้ชาวบ้านได้พึ่งพาป่าในการดำรงชีพและฟื้นฟูป่าไปพร้อมๆกัน
ไหนๆก็จะ "เก็บป่าไว้ดูเล่น" เหมือน "สวนดอกไม้" ทั้งที ได้ "คนสวน" ฝีมือดีแบบ "ฟรีๆ" ก็น่าจะดีกว่าต้องเสียเงินจ้าง "คนสวน" ที่ "ไม่รู้เรื่องดอกไม้" มาดูแล
เป็นที่น่าสังเกตว่าการที่กรรมาธิการร่วม 2 สภาเพิ่มประเด็น "พื้นที่อนุรักษ์พิเศษ" นั้นช่างคลับคล้ายคลับคลากับกรณีที่รัฐบาลประกาศใช้ "กฎอัยการศึก" เพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงที่ภาคใต้
"กฎอัยการศึก" และ "พื้นที่อนุรักษ์พิเศษ" นั้นล้วนแต่เป็นการเพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อที่จะจัดการกับ "ประชาชน" ที่พวกเขาตัดสินใจว่าเป็น "ผู้ร้าย" พ.ร.บ.ป่าชุมชน ฉบับกรรมาธิการร่วม 2 สภา จึงไม่ต่างอะไรกับ "กฎอัยการศึกฉบับป่าชุมชน" ที่ไม่ก่อให้เกิดความ "สมานฉันท์" แต่กลับสร้างความ "แตกแยก" ระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชนให้มากยิ่งขึ้น
น่าแปลกใจที่รัฐบาลที่มีนโยบาย "ประชานิยม" มากมาย กลับมีวิธี "จัดการ" กับประชาชนในแบบที่มองอย่างไรก็ไม่น่าจะทำให้ประชาชน "นิยม" เลยสักนิด
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)