วัดยังพัง - สภาพชายฝั่งธรรมสถานหาดทรายแก้ว อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ที่ถูกกัดเซาะอย่างรุนแรง จากเดิมมีพื้นที่ 70 กว่าไร่ ปัจจุบันเหลือไม่ถึง
....................................................
กัดเซาะชายฝั่งสงขลาสาหัสวัดจมทะเลพระเผ่นหนีอุตลุต
ปัญหาการกัดเซาะชายหาด ตลอดแนวชายฝั่งภาคใต้ ด้านอ่าวไทย ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปจนถึงจังหวัดนราธิวาส นับวันยิ่งรุนแรงขึ้นทุกปี "ธรรมสถานหาดทรายแก้ว" อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เป็นอีกที่หนึ่งที่ถูกกัดเซาะอย่างหนัก
จากเอกสารประกอบการประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชน "โครงการสำรวจและศึกษาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน (จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมช และสงขลา" ของกรมทรัพยากรธรณี จัดทำโดยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2548 ที่จังหวัดสงขลา ระบุว่า หาดแก้วแห่งนี้ เป็น 1 ใน 12 พื้นที่ ที่มีการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรง เป็นระยะทางยาว
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 "ประชาไทออนไลน์" จึงได้เดินทางเข้าไปสำรวจความเสียหายของธรรมสถานหาดทรายแก้ว พบว่าเกาะเล็กๆ ริมชายฝั่งแห่งนี้ ปัจจุบันเหลือเพียงศาลาปฏิบัติธรรม 1 หลัง มีกุฎพระที่ยังใช้ประโยชน์อยู่ 2 หลัง ห้องน้ำอีก 2 หลัง ที่เหลือเป็นซากกุฏิที่ถูกคลื่นกัดเซาะจมน้ำทะเล
เมื่อสำรวจตรงบริเวณชายหาด พบว่าถูกคลื่นกัดเซาะจนพังเป็นแถบๆ โดยเฉพาะตรงบริเวณหัวสะพานไม้ฝั่งธรรมสถาน ขณะที่บริเวณชายหาดฝั่งแผ่นดินใหญ่ ด้านทิศเหนือพบการกัดเซาะเป็นระยะ ส่วนด้านทิศใต้ของเกาะ มองออกไปไกลๆ เห็นคลังน้ำมันของ บริษัท ปตท. ตั้งอยู่ลิบๆ
"ประชาไทออนไลน์" ได้มีโอกาสนมัสการสัมภาษณ์ "พระมหาประทีป อุตฺตมปญฺโญ" ประธานคณะสงฆ์ธรรมสถานหาดทรายแก้ว ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาชนิดลืมหูลืมตาไม่ขึ้น และคลื่นลมที่สาดซัดเข้าหาชายหาดของธรรมสถานแห่งนี้อย่างรุนแรง
ต่อไปนี้ คือ คำบอกเล่าจากปากของ "พระมหาประทีป อุตฺตมปญฺโญ"
........................................
"ธรรมสถานแห่งนี้ ตั้งมาเมื่อปี 2519 โดยพระโกวิท เขมะนนฺโท ต่อมาอาจารย์สงวน จนฺทวงฺโส ซึ่งมีชื่อเสียงมากเป็นที่เคารพนับถือของญาติโยม ได้เข้ามาเป็นหัวหน้าคณะสงค์ของที่นี่ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จากนั้น อาตมาก็มาเป็นหัวหน้าคณะสงฆ์ที่นี่ต่อ
เดิมที่นี่ญาติโยมมาจัดกิจกรรม หรือมาใช้เป็นสถานที่อบรมภาคฤดูร้อนทุกปี เพราะมีที่พักพร้อมสถานที่รับรองกว้างขวาง และมีพระอยู่หลายรูป ตอนนี้เหลือพระอยู่ 2 รูป มีโยมสีกาเป็นญาติกันอีก 2 คน มาดูแลเป็นประจำ คนอื่นอยู่ไม่ได้เพราะเขากลัวคลื่น
ที่ตั้งของธรรมสถานแห่งนี้เป็นเกาะชายฝั่ง เดิมมีเนื้อที่ประมาณ
หลังจากสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลา ก็เกิดการกัดเซาะจนหาดพังเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม จะกัดเซาะหนักเพราะมีคลื่นซัดรุนแรง ตอนเกิดพายุไต้ฝุ่นเกย์มาทั้งคลื่นทั้งน้ำ น้ำท่วมสูงถึงหัวเข่า ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา อาคารที่พัก 2 ชั้น พังไปแล้ว 2 หลัง กุฏิพระพังไปแล้ว 20 กว่าหลัง ยังไม่รวมห้องน้ำที่จมทะเลไปแล้วหลายหลัง พังแล้วสร้างใหม่ เสร็จแล้วก็พังอีก
มาช่วงหลังๆ คลื่นกัดเซาะชายหาดรุนแรงมาก เพราะมีการสร้างเขื่อนกันคลื่น หรือรอตรงปากน้ำทะเลสาบสงขลา ปีนี้น่าจะกัดเซาะรุนแรง เพราะเขาสร้างเขื่อนกันคลื่นตัวที่ 2 แล้วเสร็จ
ที่จริงอาตมาจะย้ายออกจากที่นี่ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2548 เพราะวันนั้นมีคลื่นกัดเซาะรุนแรงมาก ชายหาดพังต่อหน้าต่อตาเห็นๆ อาตมากลัวว่า สะพานไม้จะพัง ถ้าพังแล้วจะข้ามไปมาลำบาก ตอนนี้ชายหาดพังมาเกือบถึงหัวสะพานไม้แล้ว ถ้าเสาไฟฟ้าตรงหัวสะพานล้ม ก็กลัวว่าจะถูกไฟฟ้าช็อตด้วย แต่ที่ทนอยู่เพราะว่า วันที่ 24 พฤศจิกายน 2548 จะมีพระจากกรุงเทพมหานคร มาเยี่ยม
คลื่นที่ซัดเข้ามา จะวนเข้าไปในคลอง ทรายที่อยู่ตรงชายหาดจะถูกพัดพาเข้าไปถมในคลอง ถ้าแรงมาก อาตมากลัวว่า สะพานไม้ที่อยู่ตรงปลายเกาะทางทิศเหนือจะพังเอา สมัยที่นาย
ที่ผ่านมา ยังไม่มีหน่วยงานไหนมาช่วยเหลือ ทางธรรมสถานหาดทรายแก้วต้องช่วยเหลือตัวเอง เพราะเขาต้องการเอาที่แถวนี้ให้นายทุนเอาไปสร้างท่าเรือ ในช่วงที่นาย
อาตมาเห็นว่า ตอนนั้นมีโครงการก่อสร้างใหญ่ๆ ตรงริมชายฝั่งใกล้ๆ อีกหลายแห่ง เลยคิดว่าเขาน่าจะต้องการเอาชายฝั่งตรงนี้ ไปให้นายทุนใช้ประโยชน์มากกว่า
ที่ผ่านมา มีญาติโยมมาช่วยเหลืออยู่บ้าง มาถวายปัจจัย มาทอดผ้าป่าให้ อย่างกระสอบทรายที่ไปตั้งกันคลื่น ตรงบริเวณชายหาด เพิ่งทำเมื่อช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ตอนนี้ก็พังแล้ว เพราะทนแรงคลื่นกัดเซาะเข้าเรื่อยๆ ไม่ไหว ..."
ขณะกำลังให้สัมภาษณ์ "ประชาไท" อยู่นั้น เกิดคลื่นซัดเข้ามาเป็นระยะ จนบางครั้งน้ำทะเลไหลเข้ามาถึงศาลาปฏิบัติธรรม พร้อมกับกระแสลมกรรโชกรุนแรง
"เตรียมย้าย โว้ย!"
หลวงพ่ออุทานออกมา เมื่อป้ายนิทรรศการ และข้าวของต่างๆ ล้มระเนระนาดตามแรงลม ก่อนจะหันไปบอกโยมสีกา ที่มาเฝ้าดูแลให้เตรียมตัวย้ายออกจากที่นี่ได้แล้ว
"อาตมาจะไปอยู่ที่ป่าช้าวัดเขาน้อย ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร ส่วนธรรมสถานแห่งนี้ก็ต้องปล่อยให้มันพังไป ไม่นานมันคงพังหมดแน่ๆ...."
เย็นวันเดียวกัน หลวงพ่อพร้อมกับโยมสีกาอีก 2 คน ก็ย้ายออกจากธรรมสถานหาดทรายแก้ว คงเหลือแต่หลวงตาอีก 1 รูป กับลูกศิษย์อีกหนึ่งคน ที่ยังไม่ยอมย้ายออกมา
"ท่านอยากอยู่ดู เลยไม่ยอมย้ายออกมา อาตมาอยู่ไม่ได้คลื่นแรงมาก รอให้คลื่นลมสงบก่อน แล้วค่อยกลับไปดู...."