ประชาไท23 พ.ย. 2548 วงเสวนาวิชาการการการอภิปรายทางวิชาการ เรื่อง "พระราชอำนาจกับการปฏิรูปการเมือง ครั้งที่ 2" ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วานนี้ ผู้ร่วมวงเสวนาเห็นสอดคล้องกันในเรื่องการปฏิรูปการเมืองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่น.พ. นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ส.ว.อุบลราชธานี กล่าวว่าตนเองเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไม่ลืมเรื่องเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมืองที่ต้องการลดอำนาจรัฐและเพิ่มอำนาจประชาชน
เวที "พระราชอำนาจกับการปฏิรูปการเมือง ครั้งที่ 2" มีผู้เข้าร่วมการเสวนาประกอบด้วยนายอมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ส.ว.อุบลฯ นายกล้านรงค์ จันทิก อดีตเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายประมวล รุจนเสรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ โดยมี นายสมยศ เชื้อไทย อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย
ผู้ร่วมการอภิปรายเห็นสอดคล้องกันในประเด็นที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนาย
รัฐธรรมนูญบังคับ ส.ส. สังกัดพรรค เปิดโอกาสนักการเมืองรุมกินโต๊ะ
นายอมรระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งบัญญัติให้นักการเมืองต้องสังกัดพรรคนั้น เป็นรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้นักการเมืองรุมกินโต๊ะ ซึ่งสอดคล้องกับ นายประมวล ซึ่งระบุว่าการที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค และการระบุว่า ส.ส. ต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมือง
โดยนายประมวลได้ยกตัวอย่างตนเองซึ่งเมื่อแสดงความเห็นที่แตกต่างจากมติพรรคก็ถูกกดดันอย่างหนัก ในขณะที่ถ้าออกจากพรรคก็ไม่มีสิทธิจะลงสมัคร ส.ส. ได้
ด้านนายสนธิ ก็แสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน โดยระบุว่า การที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ส.ส. ต้องจบระดับปริญญาตรีเพราะเชื่อว่าคนมีการศึกษาจะไม่โกง แต่คนจบด็อกเตอร์ก็ยังโกง
ประเด็นเรื่องวุฒิการศึกษาของ ส.ส. และการบังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรคการเมือง เป็นประเด็นที่วงเสวนาเห็นไปในทางเดียวกันว่าจะต้องแก้ไข เนื่องจากเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางการเมือง และการเมืองไทยที่ผ่านก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การกำหนดคุณสมบัติ ส.ส. เช่นนั้น ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยได้ ส.ส. ที่เป็นตัวแทนประชาชนอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ นายสนธิ กล่าวว่า หากส.ส. ไม่สังกัดพรรคการเมือง ก็จะมีโอกาสที่จะมีตัวแทนของประชาชนที่แท้จริงได้ เช่น อาจจะมี ส.ส. ที่เป็นตัวแทนของร้านโชว์ห่วย เข้ามาในสภาเพท่อปกป้องประโยชน์ของร้านค้าเล้ก ๆ ที่กำลังถูกร้านค้ารายใหญ่กลืนกินตลาดอยู่ขณะนี้
ด้านนานประมวลได้เสริมประเด็นนี้ว่า การที่ส.ส. ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง กลับจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองด้วยซ้ำ เนื่องจากพรรคการมเองต้องพัฒนาคุณภาพของตนเองเพื่อจะรวบรวม ส.ส.เข้าไว้ในสังกัดพรรคของตน และหากพรรคการเมืองไม่ดี ส.ส. ก็ย่อจะปฏิเสธที่จะร่วมพรรคนั้น ๆ
องค์กรอิสระถูกครอบงำโดยรัฐบาลอำนาจเบ็ดเสร็จ
ด้านนายกล้าณรงค์ ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นองค์กรอิสระ โดยอเฉพาะอย่างยิ่ง ปปช. ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญและถอดถอนยากกว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ปัจจุบันนี้ก็ถูกครอบงำโดยรัฐบาลไปแล้ว
นายกล้าณรงค์ระบุว่าจุดประสงค์ของการปฏิรูปการเมืองคือ ต้องการให้มีการเมืองของภาคพลเมือง ต้องการให้มีการตรวจสอบอำนาจรัฐ และสุดท้าย ต้องการให้รัฐบาลมีความมั่นคง แต่ปัจจุบันหลายสิ่งหลายอย่างได้แปรเปลี่ยนไปหมดแล้ว
นายกล้าณรงค์กล่าวย้ำว่า ประเด็นขององค์กรอิสระโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปปช. และ กกต. เป็นประเด็นที่ต้องแก้ไขในรัฐธรรมนูญใหม่
ในประเด็นเดียวกันนี้ นายสนธิได้เสริมว่า วุฒิสภาในฐานะที่เป็นผู้แต่งตั้งองค์กรอิสระก็มีสถานะเป็นเพียงยางอะไหล่ของสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น และเมื่อวุฒิสภามีสภาพเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะต้องมีองค์กรอิสระอีกต่อไป
ทั้งนี้ นายสนธิระบุว่า หากจะแก้รัฐธรรมนูญใหม่ ก็ควรต้องแก้เรื่องของวุฒิสภาด้วยโดยนายสนธิเสนอว่าวุฒิสภาควรมาจากการเลือกตั้ง 30 เปอร์เซ็นต์ และมาจากการแต่งตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่มีข้อแม้ว่ากระบวนการแต่งตั้งวุฒิสภาจะต้องโปร่งใส
หมอนิรันดร์ชำแหละ 5 ปีกว่าของวงจรอุบาทว์
ด้านนายแพทย์นิรันดร์กล่าวว่าสถานการณ์การเมืองขณะนี้เลวร้ายมากเท่ากับ 14 ตุลา หรือพฤษภาทมิฬ และกล่าวว่า "ตลอดระยะเวลา 5 ปีกว่าที่ผ่านมาผมเห็นภาพวงจรอุบาทว์ของระบบอำนาจนิยมซึ่งไม่ต่างกับวงจรอุบาทว์ของเผด็จการทหาร เป็นวงจรอุบาทว์ของอำนาจนิยมของทักษิณ นี่คือสิ่งที่อันตรายของสังคมไทย"
ทั้งนี้ น.พ. นิรันดร์ระบุว่า วงจรอุบาทว์ในรอบ 5 ปีกว่าที่ประเทศไทยถูกปกครองโดยรัฐบาลทักษิณมีอยู่ 7 ประการคือ
1 การผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็ในรัฐบาล สภา องค์กรอิสระ หรือแม้แต่สื่อมวลชน จนกระทั่งลุแก่อำนาจในที่สุด
2 ลักษณะของการผูกขาดทางเศรษฐกิจ โดยทุนนิยมผูกขาดและทุนนิยมข้ามชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนที่ถูกเรียกว่า "ทุนนิยมผูกขาดในระบอบประชาธิปไตย
3 ธุรกิจการเมืองซึ่งมีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ส่วนรวม และผลประโยชน์ระหว่างสงศาคณาญาติ ทำให้เกิดคำศัพท์ประเภท นายใหญ่ นายหญิง เจ๊ใหญ่นายเล้ก
4 ผูกขาดนโยบายและกฎหมาย เช่น กรณีการออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการประชุม ครม. ซึ่งส่งผลให้มติ ครม. สามารถทำได้โดยนายกรัฐมนตรี 1 คนกับ รัฐมนตรีอีก 1 คน
5 สังคมตกต่ำลงเพราะคนเพียงไม่ถึง 10 ตระกูลซึ่งทุจริตเชิงนโยบาย ผูกขาดอำนาจ ซึ่งเรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า "โคตรโกง"
6 นโยบายติดสินบนประชาชนหรือที่เรียกว่า "ประชานิยม" ซึ่งทำลายชาติ ทำลายความเป็นคนไทยและทำลายความเป็นตัวของตัวเองของประชาชน และสุดท้าย
7 กระบวนการครอบงำสื่อมวลชน
"โจทย์ที่ผมต้องตอบคือ ทำไมต้องปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 ก็เพราะ มีการเข้าสู่อำนาจอย่างไม่สุจริตขัดแย้งกับการมอบพระราชอำนาจให้กับประชาชน และขัดแย้งกับพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 7 เมื่อครั้งมอบรัฐธรรมนูญว่าไม่ต้องการมอบอำนาจให้ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และประการที่ 2 คือ องค์กรอิสระมีตามรัฐธรรมนูญนั้นตายหมดแล้ว เพราะอยู่ใต้กำมือของอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จ"
เตือน รัฐธรรมนูญต้องแก้ แต่ระวังศรีธนญชัย
"ผมเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะจะเป็นการแก้ที่ระบบโครงสร้าง แต่ก็ต้องระวังศรีธนญชัย ซึ่งอาจจะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจเรื่องจุดมุ่งหมายในการปฏิรูปการเมืองว่าเป็นไปเพื่อลดอำนาจรัฐและเพิ่มอำนาจประชาชน" น.พ.นิรันดร์ กล่าวและย้ำว่าปัจจุบันสังคมมีการตื่นตัวและเข้มแข็งมิใช่น้อย แต่การเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ใช่การลุกขึ้นขับไล่ ชุมนุมประท้วงเพียงอย่างเดียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รวมพลังปฏิรูปแก้ รธน.สกัดกินรวบ - "สนธิ" จี้สร้างปัญญายุติปิดกั้นสื่อ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000161638
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)