โลกทั้งผองพี่น้องกัน (ออกอากาศ 10 -11 กันยายน 2548)

คลื่นความคิด


โดย ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ และทีมงาน

ออกอากาศ  วันเสาร์  9.00 - 10.00 น. / วันอาทิตย์  8.30 - 10.00 น.

ออกอากาศซ้ำ (re-run)  คืนวันเสาร์ - อาทิตย์ 02.45 น. โดยประมาณ

ทางสถานีวิทยุ เอฟเอ็ม 101 เมกะเฮิร์ตซ์ (101 INN NEWS CHANNEL)

 

(คลื่นความคิดเป็นรายการสนทนาเชิงวิเคราะห์ในหลากหลายเรื่องราว ตั้งแต่ปรัชญา  แนวคิด  เศรษฐกิจ  การเมือง สังคม   ค่านิยม   ธรรมชาติ   ศาสนา   ศิลปวัฒนธรรม   ฯลฯ  ไปจนถึงปรากฏการณ์ในประเด็นต่างๆ ในมิติของประวัติศาสตร์ ปัจจุบันและอนาคต)

 

 

โลกทั้งผองพี่น้องกัน

(ออกอากาศ 10 -11  กันยายน  2548)

 

"หม้อทุกใบล้วนแต่เผาแบบเดียวกัน ในเตาเดียวกัน แต่หม้อแต่ละใบมิได้เหมือนกัน เพราะบางใบดูดซับเนื้อสีดีกว่าใบอื่นๆ และความงามของสีย่อมผิดแผกกันไป"

สุภาษิตเผ่ามองโกในคองโก

 

ราวสองสัปดาห์ที่แล้วพายุเฮริเคนแคทารีนาโผล่เข้าไปในอ่าวเม็กซิโก กวาดเข้าไปในเมืองต่างๆ ทางแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา แทบไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นเรื่องเป็นราว กลายเป็นการเมืองภายในของอเมริกาไปแล้ว ทั้งๆ ที่รู้กันก่อนล่วงหน้า และทั้งๆ ที่อเมริกานั้นมีเทคโนโลยีก้าวหน้าจนแทบเรียกได้ว่าไม่ครณากับภัยธรรมชาติสักเท่าไหร่ เคยคิดถึงขั้นยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ใส่อุกกาบาตที่กำลังจะพุ่งชนโลกให้สิ้นฤทธิ์กันง่ายๆ หรือคิดจะใช้ดาวเทียม ยานอวกาศไปเบนทิศทางของดาวเคราะห์น้อยให้พ้นไปจากวงโคจรของโลกกันมาแล้ว แต่ก็แปลก เจอแค่เฮอริเคนที่มีความเร็วลมที่ศูนย์กลางประมาณ 200 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง พอๆ กับลูกเสิร์ฟของนักเทนนิสยูเอส โอเพนที่กำลังแข่งกันอยู่ในขณะนี้  แวบ! เดียว อะไรต่อมิอะไรถึงกับพังพินาศวอดวาย หนักหนาสาหัสกันทั้งประเทศเลยก็ว่าได้

ความเสียหายที่คิดเป็นตัวเงิน ว่ากันว่าเป็นระดับล้านล้านบาท หรือ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ  แต่สิ่งที่น่าจะเสียหายยิ่งกว่านั้นที่คิดออกมาเป็นเงินๆ ทองๆ ไม่ได้ก็คือ ชีวิตของผู้คน มากน้อยอย่างไรก็คือชีวิต ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นโศกนาฏกรรมที่ต้องยอมรับสภาพกันไป อย่างที่บ้านเราเคยเจอสึนามิ ก็ยังคงโศกเศร้ายังทำใจกันลำบากมาจนทุกวันนี้ แต่ที่บ้านเรานั้น คงต้องถือว่าดีกว่า  อาจจะเพราะนิสัยใจคอ ความรู้สึกที่คนคนมีต่อกัน ยังทำให้เกิดมุมมองที่ดีๆ อยู่บ้าง คือความมีน้ำใจ    การไม่ถือเขาถือเรา     พยายามช่วยเหลือเกื้อกูลกัน   โดยไม่มีการพูดถึงเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ ภาษา  แต่สำหรับอเมริกา ถึงจะก้าวหน้าทันสมัยทางวัตถุกว่าบ้านเราไม่รู้กี่เท่า  ต้องเรียกว่าอะไรต่อมิอะไรแทบจะไม่เหลือมุมมองที่ดีไว้ให้มองกันเลย

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ หลังจากพายุพัดผ่านไปแล้ว ภาพที่ปรากฏให้เห็นเมืองนิวออร์ลีนส์  เมืองเอกของรัฐหลุยเซียนา ที่ถือกันว่าเป็น "มหานครแห่งดนตรีแจ๊ซ" เป็นต้นรากแห่งศิลปะของชนผิวดำในอเมริกา มีประชากรผิวสีอาศัยอยู่มากและส่วนใหญ่ยากจน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความจนจึงถูกมองว่าไม่สำคัญนัก หรือจะเป็นปัญหาสีผิว ที่คาราคาซังอยู่ในสังคมอเมริกันมานับร้อยๆ ปีแล้วก็ยังไม่จบจนถึงวันนี้ จึงทำให้เกิดการทิ้งๆ ขว้างๆ คนจำนวนนับเป็นหมื่นๆ แสนๆ ให้อดๆ อยากๆ ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ไม่มียารักษาโรค ติดแหงกอยู่ในเมืองนานถึง 5 วัน จนเกิดการปล้นสะดม ข่มขืน ยิงทิ้ง ฆ่ากันเอง กลายเป็นโศกนาฏกรรมซ้อน หนักหนายิ่งขึ้นไปอีก

ภาพในแบบที่ว่ามานี้   ทำให้มีการหยิบปัญหาสีผิว   เผ่าพันธุ์   เชื้อชาติมาพูดกันอีกครั้ง           บาทหลวง

"เจฟเฟอร์สัน พาริช"  ซึ่งเป็นคนผิวดำ ถึงกับบอกโทรทัศน์เอ็นบีซี.ว่า "คนผิวดำในอเมริกาได้ถูกทอดทิ้งโดยประเทศของเราเอง"  นักร้องเพลงแร็พผิวดำอีกราชื่อ นาย "เคเนีย เวสจ์" ถึงกับหลุดปากกลางจอทีวีระหว่างงานระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติคราวนี้กันตรงๆ เลยว่า…สังคมอเมริกันนั้น ไม่ใส่ใจชีวิตพวกผิวสีเท่าไหร่ หรอก    แม้กระทั่งสื่อมวลชนอเมริกันเองก็เถอะ พยายามประโคมข่าวในระหว่างที่เกิดความวุ่นวายจลาจลในเมือง

นิวออร์ลีนส์ ว่ามีต้นเหตุมาจากพวกผิวดำกันอีกต่างหาก แล้วก็บอกต่อว่า "คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมพวกเราต้องใช้เวลาถึง 5 วันก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง ก็เพราะคนส่วนใหญ่ในเมืองนิวออร์ลีนส์เป็นคนผิวดำน่ะสิ"

ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่า "ปมระหว่างเชื้อชาติ สีผิว เผ่าพันธุ์"  ที่เรื้อรังในสังคมอเมริกันมาตลอด เคยสู้กันแรงๆ จังๆ กันเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว  ราวช่วงทศวรรษที่ 1960 ที่ในมลรัฐต่างๆ มีการลอบสังหารผู้นำการเคลื่อนไหวผิวดำเป็นจำนวนมาก มาในช่วงหลังๆ นี้ ดูเหมือนจะ "สมานฉันท์" กันได้พอสมควร แต่พอเกิดเหตุการณ์ที่นิวออร์ลีนส์  ปมความขัดแย้งที่ว่านี้ก็โผล่ขึ้นมาอีก

แต่เราจะไม่ไปหยิบเอาเฉพาะเรื่องของเหตุการณ์เฮอริเคนแคทารีนา หรือเหตุการณ์การเหยียดผิวในสังคมอมริกันมาแลกเปลี่ยนกันโดยเฉพาะเท่านั้น  เพราะว่าจริงๆ แล้วเรื่องของการเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์นั้น มีอยู่ในแทบทุกชาติ ทุกภาษา ทุกสีผิว แม้แต่ผิวสีเดียวกัน แต่ต่างกันแค่ความเชื่อ วัฒนธรรม หรือต่างกันเพียงชาติกำเนิด ก็มักกลายเป็นสิ่งที่ถูกนำมาแบ่งแยกเหยียดหยามกันเสมอๆ บางครั้งบางคราวมันดูเหมือนจะ "สมานฉันท์" กันได้ในบางช่วงบางระยะ แต่พอเกิดเหตุการณ์บางอย่างตึงตังโครมครามขึ้นมาในแต่ละสังคม สิ่งที่เคยพยายามสมานฉันท์ เคยพยายามปกปิดกลบเกลื่อนเรื่องทำนองนี้เอาไว้ ก็มักจะโผล่ออกมาให้เห็น กลายเป็นการแยกเผ่า แยกพันธุ์ แยกสีผิวกันมาโดยตลอด

สัปดาห์นี้ จึงขอชวนคุยกันในเรื่องนี้อย่างเป็นระบบดูสักครั้ง ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไม หรืออย่างไร ถึงทำให้คนที่เป็นมนุษย์ที่มีเลือดมีเนื้อเหมือนๆ กัน จึงได้เกิดความรู้สึกเหยียดผิว-ชังพันธุ์ เกิดการแบ่งแยกว่าเป็นเขาเป็นเรากันขึ้นมาได้

 

พระเจ้าสรรสร้าง…ปากของพรหม…และเซลล์โปรคาริโอต

เริ่มแรก ลองไปขุดรากเหง้า ความคิดความเชื่อต่างๆ ของมนุษย์ดูว่าเพราะอะไร มนุษย์จึงมองมนุษย์ด้วยกันไม่เป็นมนุษย์ หรือมองเป็นสิ่งที่ต่ำกว่าตัวเอง มองแบบเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์กันได้ง่ายๆ ซึ่งเรื่องของความคิด-ความเชื่อที่อาจถือได้ว่ามีอิทธิพล มีบทบาทต่อความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ อาจพอแยกออกเป็น 2 แนวใหญ่ๆ  แนวแรกคือ ความคิด-ความเชื่อที่เกิดจากศาสนา ซึ่งมีอิทธิพลทางความคิดของมนุษย์มาตั้งแต่เริ่มแรก ตั้งแต่อดีตโบราณจนมาถึงทุกวันนี้  แนวที่สองคือ วิทยาศาสตร์ ที่ต้องยอมรับว่ามีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนยุคใหม่มากขึ้นๆ จนอาจกล่าวได้ว่ามากกว่าศาสนาด้วยซ้ำ

ในแนวทางแรก เมื่อลองตรวจสอบดูก็พอจะพูดได้ว่า สำหรับศาสนานั้น ไม่ว่าจะเป็นแบบที่มีพระเจ้าหรือ "เทวนิยม" หรือที่ไม่มีพระเจ้าหรือมีรูปร่างหน้าตาไม่ชัดเจนนัก อย่างที่เรียกว่า "อเทวนิยม"   ล้วนแล้วแต่ไม่มีสิ่งใดส่อไปในทางที่ต้องการให้มนุษย์มองมนุษย์ด้วยกันเองเป็นคนละเผ่า คนละพวก เป็นสิ่งมีชีวิตคนละชนิด   หรือต้องการให้เกิดความรู้สึกแบ่งแยก แตกต่างระหว่างมนุษย์ด้วยกันแม้แต่น้อย

ลองพิจารณา ศาสนาที่เชื่อว่ามีพระเจ้าหรือมีเทพเจ้า เช่น ศาสนายิว ที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดหรือที่มาของศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม อย่างที่รู้ๆ กันพอสมควรแล้วว่า พระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆ นั้น สร้างมนุษย์ขึ้นมาคนเดียว ไม่ได้สร้างเป็นเผ่าพันธุ์ สีผิวใดๆ เลย  คือสร้างอาดัม จากนั้นก็นำกระดูกซี่โครงของอาดัมมาทำเป็นเอวา ทั้งสองรายถูกถือว่าเป็นบรรพบุรุษ เป็นต้นตระกูลของมนุษย์ทุกชาติพันธุ์ ทุกสีผิว ทุกภาษา  หรือต่างก็เป็นพี่น้องท้องเดียวกันมา เป็นลูกหลานของอาดัมและเอวาด้วยกันทั้งสิ้น

ศาสนาอียิปต์โบราณก็คล้ายกัน เทพเจ้าชื่อ "ปทาห์" ใช้ดินเหนียวสีแดงที่มีอยู่มากมายในยุคนั้นปั้นเป็นมนุษย์คนแรก ให้เป็นต้นกำเนิดมนุษย์ที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกันหมด    ในแถบเมโสโปเตเมีย  หลังจากที่เทพเจ้าชื่อ

"มาร์ดุค" เอาชนะมังกรแห่งความมืดและความไร้ระเบียบได้เรียบร้อยแล้ว ก็สร้างท้องฟ้า สร้างดวงดาว สร้างโลก ก็ไม่ได้เนรมิตมนุษย์ให้แตกต่างเป็นเผ่าโน้นเผ่านี้ แต่ใช้โคลนมาผสมกับเลือดของตัวท่านเองแล้วปั้นเป็นมนุษย์คนแรก เช่นเดียวกับพระเจ้าของพวกโพลินีเชียน ในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก ที่เป็นบรรพบุรุษของชาวเอเชีย พวกเขาเชื่อกันว่า  "เทพเจ้าแทนกาเลา"    ได้นำเลือดมาผสมกับดินเหนียว   แล้วปั้นเป็นมนุษย์สองคนแรก   ผู้ชายชื่อว่า

"ติกิ" ผู้หญิงชื่อว่า "มา-ริโก-ริโก" แล้วก็กลายเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทั้งหลายทั้งมวลในโลกนี้

ส่วนศาสนาที่ไม่ค่อยออกไปในทางเทพเจ้าอย่างศาสนาอารยันเดิม ก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นศาสนาฮินดู ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นต้นรากของศาสนาพุทธ ได้กล่าวถึงบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะไม่ได้มีลักษณะเป็นตัวตนชัดเจนอย่างเทพเจ้า แต่เรียกว่า "เจตจำนงแห่งจักรวาล" ที่มีสภาพในแบบที่เรียกว่า "พลังแห่งกรรมที่แฝงอยู่ในอาตมัน" ที่เป็นผู้ทำให้สิ่งต่างๆ ที่เวิ้งว้างว่างเปล่าไร้ขอบเขต ค่อยๆ เคลื่อนที่จนเกิด "อณูแห่งลม" หมุนวนไปมา จนเริ่มกลั่นตัวปรากฏเป็น "อณูแห่งน้ำ" แล้วหมุนวนต่อไปจนเกิด "อณูแห่งดิน" และ"อณูแห่งไฟ" ตามลำดับ จนสุดท้ายการหมุนวนไปวนมาของอณูต่างๆ ก็ทำให้เกิด "ฟองไข่แห่งโลก" หรือที่เรียกว่า "พรหม" อันเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง แต่มีชีวิต มีปัญญาญาณ มีความกล้าหาญและมีอิสระ  แล้วพรหมที่ว่านี้ก็ได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจาก "ปากของพรหม" เพราะฉะนั้นมนุษย์แต่ละรายล้วนมีที่มาจากพรหมด้วยกันทั้งสิ้น หรือไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลยตั้งแต่ต้นราก

เมื่อหันไปพิจารณาแนวคิด-ความเชื่อที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่เชื่อทั้งเทพเจ้าและอะไรก็แล้วแต่ที่แม้จะไม่ใช่พระเจ้า หากไม่สามารถอธิบายตามกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ได้ ก็จะไม่เชื่อ ถึงแม้ว่าพวกวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่ออะไรในแบบศาสนาเลยก็ตาม  แต่เมื่อต้องพูดถึงการก่อเกิด "ชีวิต"ขึ้นมาบนโลก ไม่ว่าจะเป็นพืช เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์สีผิวอะไรก็แล้วแต่ พวกเขากลับเชื่อว่าเกิดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน หรือต่างก็เคยมีบรรพบุรุษเดียวกันทั้งสิ้น เพียงแต่อาจจะเรียกชื่อบรรพบุรุษชนิดแรกๆ กันให้น่าปวดหัวสักหน่อย เช่น เริ่มต้นตั้งแต่เซลล์ชนิดหนึ่งที่เรียกกันในภาษาวิทยาศาสตร์ว่า "เซลล์โปรคาริโอต" ก่อนที่จะกลายมาเป็น"เซลล์ยูคาริโอต" แล้วค่อยๆ กลายมาเป็นหนอน เป็นแมงกะพรุน เป็นปลาหมึก เป็นปลากระดูกแข็ง เป็นกบ จระเข้ คางคก ไปจนถึงช้าง เสือ แมว ลิง แล้วก็แค่ลิงตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้นที่กลายมาเป็นต้นตระกูลของมนุษย์ทั้งหลาย ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกเผ่าพันธุ์ กันในท้ายที่สุด

 

ศรีธนญชัยฝรั่ง..ตีความพระคัมภีร์

คนผิวดำคือเหยื่อ

เพราะฉะนั้นหากจะว่ากันถึงต้นรากของความเชื่อแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนาหรือความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ ก็ต้องเรียกว่าแทบไม่มีอะไรส่อให้เห็นถึงจุดที่สามารถนำมาอ้างเป็นเหตุผลในการเหยียดผิว  แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ เป็นเรา เป็นเขา เป็นมันกันได้เลย แต่ก็อย่างว่า สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นภายหลังก็เพราะมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ ที่เริ่ม "ตีความ" ความเชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนาหรือทางวิทยาศาสตร์ จนเกิดการแยกผิว แยกเผ่าพันธุ์ แยกชาติกันในเวลาต่อมาจนได้ เหตุผลก็เพื่อผลประโยชน์ที่ทำให้เกิดความชอบธรรมในการที่จะเหยียดมนุษย์ด้วยกันเองให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยกว่าเผ่าพันธุ์ของตน จนต้องกลายเป็นทาส เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมันสมองด้อยกว่า มียีนที่ด้อยกว่า หรือเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไร้ประโยชน์ สามารถที่จะกดขี่ ทารุณ หรือฆ่าทิ้งไปเลยก็ได้ ถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดปกติธรรมดามากนัก ในบางยุคบางสมัย ไม่ใช่ปล่อยให้อดข้าวอดน้ำอยู่ 4-5 วันเท่านั้น กระทั่งใช้มนุษย์เป็นเป้ายิงเพื่อทดสอบความแม่นยำ หรือชำแหละเนื้อมนุษย์ให้สุนัขกินเพราะรู้สึกว่าไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสิ่งเดียวกับสัตว์…ก็เคยมีมาแล้วในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

อะไรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ เปลี่ยนแปลงความรู้สึกระหว่างมนุษย์ด้วยกันได้ถึงขนาดนี้!

ต้องเริ่มกันที่พวกฝรั่งตะวันตก ที่ค่อนข้างเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์ใครต่อใครแรงมาก และยังเหยียดกันอยู่ไม่เลิกในหลายประเทศ เมื่อมองย้อนหลังไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นช่วงที่ฝรั่งกำลังเจริญรุ่งเรือง เดินทางออกจากทวีปยุโรปไปยึดบ้านยึดเมืองใครต่อใครเอามาเป็นอาณานิคมกันทั้งโลกนั้น ตอนนั้นว่าไปแล้วก็มีศาสนาและยึดมั่นกับศาสนาอยู่ไม่น้อย และเป็นศาสนาคริสต์ที่พระศาสดาคือพระเยซูทรงต่อต้าน หรือเรียกว่าทรงปฏิวัติศาสนายิวที่พยายามแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งมนุษย์ออกเป็นฝ่ายที่มีพันธะสัญญากับพระเจ้า หรือฝ่ายที่เป็นยิว กับใครก็ตามที่ไม่ได้เป็นยิวก็จะคือพวกที่ไม่มีพันธะสัญญากับพระเจ้า แต่มาถึงยุคพระเยซูท่านไม่เอาเลย จะเป็นชาติยิวหรือชาติไหนๆ ก็แล้วแต่  หรือกระทั่งจะเป็นคนที่ถูกเรียกว่าคนบาป พวกคนเก็บภาษี โสเภณี คนทุกข์ยาก ที่ไม่มีโอกาสไปทำบุญหรือไปเข้าโบสถ์ วิหาร แต่ถ้าหากมีความเคารพศรัทธาในพระเจ้า ท่านถือว่าเป็นคนที่มีพันธะสัญญากับพระเจ้าทั่วกันทั้งหมด เรียกว่าไม่มีชาติยิว ไม่มีชาติอื่น มนุษย์ทุกคนเป็นลูกพระเจ้าอย่างทั่วถึงกันหมด

หลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ อัครสาวกในรุ่นต่อๆ มา ได้สืบทอดความคิดความเชื่อที่พระองค์ทรงบัญญัติสั่งสอน ตัวอย่างเช่นในพระคัมภีร์ไบเบิล ในบทที่เรียกว่า "หนังสือที่มีไปถึงคนฮิบรู" ได้บอกไว้ว่า "เมื่อพระองค์ (หรือพระเจ้า) ตรัสถึงพันธะสัญญาใหม่ พระองค์ถือว่าพันธะสัญญาเดิม (หรือพันธะสัญญาเก่า) นั้นได้พ้นสมัยไปแล้ว สิ่งที่พ้นสมัยและเก่าไปแล้ว ก็จะเสื่อมสูญไป" หรือพูดง่ายๆ ว่า อย่าไปยึดถืออะไรที่เป็นตัวแบ่งแยกความเป็นชนชาติให้แตกต่างกันไปในแบบยุคเก่าๆ ที่พวกยิวเคยยึดมั่นถือมั่น

กลับมาที่ฝรั่งนักล่าอาณานิคม ยึดบ้านยึดเมืองคนอื่นเขา ออกปล้นสะดมทรัพย์สมบัติของใครต่อใคร กวาดคนผิวดำแทบจะทั้งทวีปแอฟริกามาขายเป็นทาส จนเกิดกิจการค้ามนุษย์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทำกำไรให้มั่งคั่งมหาศาล โดยเฉพาะในหมู่ชาวดัทช์ (ฮอลันดา) และชาวฝรั่งเศส ถึงกับมีโชว์รูมค้าทาสแถบเมืองมาดากัสการ์ เมืองโมแซมบิก ปัญหาก็คือ เมื่อตัวเองอ้างว่าเป็นเป็นคนที่ยึดมั่นกับศาสนา หรือปากยังคาบคัมภีร์อยู่ แล้วจะทำอย่างไรดีกับการค้าทาส การมองมนุษย์ด้วยกันเองเป็นสินค้า เป็นสัตว์ที่สามารถซื้อๆ ขายๆ ได้ ไปๆ มาๆ แล้วจะเห็นได้ว่าพวกฝรั่งนี่ไม่เบาทีเดียว คือมีศรีธนญชัยฝรั่ง รวมกระทั่งพระในศาสนาคริสต์เองด้วยซ้ำไปตีความพระคัมภีร์ไบเบิลให้เข้าข้างตัวเองจนได้ คือไปพลิกคัมภีร์พันธะสัญญาเก่าตั้งแต่ยุค "โนอาห์" ที่มีเรื่องราวว่าเป็นคนที่รอดจากน้ำท่วมโลก โนอาห์มีลูกชายสามคน วันหนึ่งเผอิญท่านดื่มเหล้าองุ่นมากไปหน่อย ก็เลยนอนเปลือยอยู่ในกระโจม ลูกชายคนกลางที่ชื่อ  "ฮาม" เห็นเข้า แทนที่จะหาอะไรมาปกปิดร่างกายของพ่อไม่ให้น่าอาย กลับไปบอกพี่น้องอีกสองคนคือ "เชม" กับ "ยาเฟท" ว่าพ่อนอนเปลือยอยู่ในกระโจม จนคนทั้งสองต้องเดินถอยหลังหาเสื้อผ้าไปปิดบังร่างกายให้พ่อ  เมื่อโนอาห์ตื่นขึ้นมาทราบเรื่องก็คงรู้สึกอาย  ก็เลยแช่งฮามว่า "คานาอัน (หมายถึงฮาม) จงถูกแช่ง ให้เป็นทาสแสนเลวของพี่น้อง ขอพระเจ้าของข้าพระองค์จงอวยพระพรแก่เชม แก่ยาเฟท และให้ฮามหรือคานาอัน เป็นทาสของเขาเถิด"

เมื่อหยิบเอานิยายยุคน้ำท่วมโลกมาตีความกันอย่างนี้ก็เรียบร้อยโรงเรียนฝรั่ง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้สึกผิด รู้สึกบาปอะไรเลย เพราะถือว่าบรรดาทาสผิวดำทั้งหลายนั้นคือเชื้อสายของฮาม ของคานาอัน ที่อาศัยกระจัดกระจายอยู่ในแอฟริกาตรงกับที่พระคัมภีร์บอกไว้เสียด้วย การทารุณโหดร้ายต่อทาสผิวดำจึงเลวร้ายสาหัสสากรรจ์มาโดยตลอด อย่างในมลรัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐฯ ซึ่งต้องใช้แรงงานทาสผิวดำทำไร่ฝ้าย ทำไร่ยาสูบเป็นจำนวนมาก ได้ออกกฎหมายบังคับใช้ว่า คนผิวดำนั้น เป็นคนที่มีสถานะต่ำต้อยกว่าคนผิวขาวในแบบที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แล้วก็ตาม หรือแม้นว่าจะเป็นลูกนอกสมรสที่คนผิวขาวไปทำให้คนผิวดำท้อง เด็กที่เกิดมาก็ยังต้องต้อยต่ำไปโดยตลอด คนผิวดำมีมีสิทธิใดๆ แม้กระทั่งสิทธิความเป็นมนุษย์ก็ไม่มี คนผิวขาวสามารถเฆี่ยนตี  ฆ่า ซื้อขายได้ หรือจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ถึงจะมีการเลิกทาสในสมัยประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น แล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกทำนองนี้ที่ปฏิบัติกันมาจนเคยชิน เป็นร้อยๆ ปีมันได้ฝังรากอยู่ในความคิดของคนผิวขาวเสมอว่าคนดำนั้นต่ำกว่าตัวเอง เป็นคนที่เกิดมาเพื่อเป็นทาส เพราะกระทั่งพระคัมภีร์ยังยืนยันไว้  กลายเป็นความเชื่อกันไปถึงขั้นนั้น

 

จากทฤษฎีวิวัฒนาการถึงระบบวรรณะ

ความเหนือกว่าของชาติพันธุ์และชนชั้น

ไม่ใช่แค่การกดขี่ ทารุณ เหยียดเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันโดยอ้างศาสนาหรือนำมาตีความผิดๆ เท่านั้น พวกที่ทันสมัย หรือไม่ได้เคร่งศาสนาเท่าไหร่ แต่หันไปเชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าก็ไม่ต่างกัน ที่สำคัญคือ มองมนุษย์แทบทุกรายที่ไม่ใช่ฝรั่งว่าเป็นพวกที่สามารถกดขี่ ทำทารุณกรรมอย่างไรก็ได้  เพราะมีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับให้ทำได้ และฝรั่งอังกฤษคือพวกที่มีบทบาทโดดเด่นในการอ้างหลักการที่ว่ามาเหยียดเผ่าพันธุ์มนุษย์

อันที่จริง ในยุคที่มีการค้าทาสในโมแซมบิก ในมาดากัสการ์ จนแอฟริกากลายเป็นศูนย์กลางการค้าทาสของโลกนั้น ดูเหมือนพวกอังกฤษหลายรายจะไม่เห็นด้วย ขนาดเคยมีกฎหมายต่อต้านการค้าทาสและนำเรือรบไปปิดเส้นทางการค้าทาสในแอฟริกากันเลยทีเดียว แต่ก็น่าแปลกที่เมื่ออังกฤษมีปัญหากับคนที่ไม่ใช่ทาสผิวดำแต่เป็นชนพื้นเมืองอย่างชาวอะบอริจินในออสเตรเลีย ชาวเมารีในนิวซีแลนด์ พฤติกรรมกลับหนักหนากว่าที่พวกอเมริกา ฝรั่งเศส ดัทช์ ฯลฯ ทำกับทาสผิวดำหลายเท่า เช่น ในยุคที่อังกฤษเนรเทศนักโทษไปไว้ที่ออสเตรเลีย ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1788 นั้น เดิมทีคงเห็นว่าออสเตรเลียที่ยุคนั้นต้องเรียกว่าอยู่ไกลสุดขอบโลก เป็นแผ่นดินที่แห้งแล้ง กันดาร  แต่พอเกิดธุรกิจ เกิดผลประโยชน์ต่างๆ ขึ้น เช่น การล่าแมวน้ำ ทำปศุสัตว์ ค้าขนแกะ ส่งกลับไปขายที่อังกฤษทำเงินได้ปีละเป็นล้านๆ ปอนด์ ก็เริ่มทำการรุกรานเพื่อแย่งชิงที่ดินของชาวพื้นเมือง เมื่อถูกแย่งที่ดิน ถูกบังคับให้ต้องทำอะไรต่อมิอะไรตามที่พวกอังกฤษต้องการ ชาวอะบอริจินย่อมไม่พอใจ จึงแสดงอาการต่อต้านออกมาบ้าง  อังกฤษก็เลยได้ทีประกาศกฎอัยการศึกเพื่อใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานปราบปรามพวกคนพื้นเมืองจนเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "สงครามมืด"หรือ "black war" กฎอัยการศึกที่ว่านี้ต้องบอกว่าโหดกว่าพรก.ฉุกเฉินฯหลายร้อยเท่า คือจะมอบอำนาจให้ใครก็ได้ที่เป็น "ประชาชนผิวขาว" ให้สามารถ "ฆ่าทิ้ง" คนพื้นเมืองได้ทุกรายทันทีที่พบเห็น และมีการตั้งค่าหัวให้คนผิวขาวรายใดก็แล้วแต่ที่สามารถจับชาวอะบอริจินเป็นๆ ได้ ในราคา 5ปอนด์สำหรับผู้ใหญ่ และ 2 ปอนด์สำหรับเด็กๆ

นักประวัติศาสตร์ที่รวบรวมการกระทำของชาวอังกฤษในยุคนั้น มีบันทึกเป็นหลักฐานไว้มากมาย  เช่น "จาเร็ด ไดมอนด์" ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย UCLA และนักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ได้ค้นคว้าในเรื่องนี้และเขียนบรรยายถึงการกระทำของสุภาพบุรุษและ ผู้ดีอังกฤษในยุคนั้นว่า…

"กลวิธีของชาวอังกฤษในการฆ่าชาวอะบอริจินในเกาะทัสมาเนียนั้น ป่าเถื่อนอย่างผิดมนุษย์ มีตั้งแต่ขี่ม้าไล่ยิง ใช้กับดักสัตว์วางไว้ในป่า ใส่ยาพิษในอาหารแล้วนำไปวางล่อ ถ้าจับตัวได้เป็นๆ พวกผู้ชายจะถูกตัดอวัยวะเพศแล้วปล่อยให้วิ่งไปตายด้วยความเจ็บปวด ส่วนผู้หญิงก็จับมาข่มขืนแล้วทุบหัวทิ้ง บางครั้งก็นำศพมาเป็นอาหารเลี้ยงสุนัข  การสังหารหมู่ทีละ 20-30 คนไม่ใช่เรื่องผิดปกติ"

"เจมส์ มอริส"  นักประวัติศาสตร์อีกรายก็บันทึกไว้ว่า…

"เราได้ยินเรื่องที่เด็กอะบอริจินถูกลักพาตัวมาใช้เป็นทาส ผู้หญิงถูกล่ามโซ่ไว้เหมือนสัตว์ เราได้ยินเรื่องการสังหารหมู่ชาวอะบอริจิน 70 คนที่ผู้ชายถูกยิงทิ้ง ส่วนผู้หญิงกับเด็กถูกลากออกมาจากหลืบหินแล้วทุบหัวจนสมองกระจาย เราได้ยินเรื่องที่หนุ่มคนขาวชื่อว่า…แครอทส์…บังคับให้หญิงอะบอริจินนำหัวสามีของเธอที่เพิ่งถูกตัดมาร้อยเชือกแขวนคอแล้วลากตัวกลับกระท่อม…"

การเล่นงานชาวพื้นเมืองที่มีความแตกต่างไปในด้านสีผิว รูปร่าง หน้าตา ลัทธิประเพณีอย่างที่ชาวอังกฤษทำนี้ น่าสยองขวัญอย่างมาก   ไล่ล่า สังหารกันจนกระทั่งชาวอะบอริจินบางกลุ่มในเกาะทัสมาเนีย   ที่เคยมี

อยู่ประมาณ  5,000 คนในปี ค.ศ.1803      ใช้เวลาเพียง 20 กว่าปีเท่านั้นเหลือแค่ 100-200 คน และหลังจากนั้นอีก

2-3 ปี ก็เหลือเพียงคนเดียว     และสุดท้ายก็ "สูญเผ่าพันธุ์"     มีเพียงโครงกระดูกที่วางโชว์ไว้ในฐานะ "อะบอริจิน

คนสุดท้ายแห่งเกาะทัสมาเนีย" เป็นหญิงชื่อ "ทรูกานินี"

ถ้าถามว่าอะไรเป็นแรงผลักดันให้ชาวอังกฤษจำนวนไม่น้อยรู้สึกเป็นเรื่องปกติในการกระทำสิ่งที่เลวร้ายขนาดนี้ได้ ว่ากันว่า "วิทยาศาสตร์" ที่เกิดจากการค้นคิดของชาวอังกฤษคนหนึ่ง มีส่วนมากพอสมควรที่สร้างความชอบธรรมรองรับการกระทำในลักษณะดังกล่าว นั่นก็คือทฤษฎี "วิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน" ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงนั้นพอดี คุณ "ชาร์ลส์ ดาร์วิน" ผู้นี้เดินทางรอบโลกไปกับเรือสำรวจ "บีเกิล" ของราชนาวีอังกฤษ เพื่อศึกษาธรรมชาติของสัตว์ พืช สิ่งมีชีวิตในพื้นที่ต่างๆ ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1931-1936 และไปเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในช่วงที่เกิดสงครามและการต่อสู้ระหว่างชาวอังกฤษกับชนพื้นเมืองพอดี  คุณชาร์ลส์ ดาร์วินได้ข้อสรุปในการศึกษาของตนว่า "กระบวนการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ แล้วเกิดความแตกต่างในด้านรูปร่าง สีผิว เผ่าพันธุ์ ที่แม้จะมีบรรพบุรุษร่วมกันมาตั้งต้น เกิดจากแรงผลักดันสำคัญ คือสิ่งที่เรียกว่ากระบวนการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาหรือเป็นเรื่องธรรมชาติที่สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าก็ย่อมมีโอกาสรอดน้อยกว่า หรือสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะด้อยหรือลักษณะที่ไร้ประโยชน์ย่อมถูกขจัดทิ้งไป และสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเด่นและมีประโยชน์เท่านั้นที่สามารถคงอยู่ต่อไปได้ภายใต้กระบวนการแบบนี้ หรือที่เรียกว่า …กระบวนการคัดสรรทางธรรมชาติ…" หรือที่มักเปรียบเปรยกันว่า… ปลาใหญ่กินปลาเล็กนั่นเอง

ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วินนี้ โด่งดังและมีอิทธิพลอย่างมากกับฝรั่งทั้งหลายไม่ว่าในยุโรปหรืออเมริกา เพราะเป็นสิ่งที่สามารถนำมาอ้างความชอบธรรมในการล่าเมืองขึ้น การเข่นฆ่าล่าสังหารใครต่อใครที่มีลักษณะด้อยกว่า อ่อนแอกว่าได้เต็มไม้เต็มมือ ทฤษฎีที่ว่ายังมีอิทธิพลมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะได้เห็นได้ยินข่าวเป็นระยะๆว่า นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันบางราย ได้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีที่ว่านี้ สรุปว่าคนผิวดำสมองน้อยกว่าคนผิวขาว หรือพวกที่ไม่ใช่ผิวขาวมียีนด้อยกว่า เป็นต้น

ว่ากันว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินได้สำแดงผลให้เกิดการเหยียดผิว เหยียดพันธุ์กันแบบสุดโต่ง ก็ในยุคที่ฝรั่งเยอรมันนาม "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" นำไปใช้กับพรรคนาซี   เพื่อให้ยีนเด่นหรือพวก "อารยันเยอรมัน"กลายเป็นผู้เหลือรอดตามทฤษฎีที่ว่านี้  พวกที่ถูกหาว่าเป็นยีนด้อยจึงถูกขจัดไปหลายล้านศพ

ที่จริงนาซีเยอรมันใช้วิทยาศาสตร์และศาสนาควบคู่กันไป           ในทางศาสนาอ้างว่ายิวคือ ผู้ฆ่าพระเยซู

จึงต้องกวาดล้างให้สูญพันธุ์  ในทางวิทยาศาสตร์ ไปหยิบแนวคิดของนักคิดเยอรมันชื่อ    "เฮอร์เบิร์ต  สเปนเซอร์"

ที่นำแนวคิดมาจากทฤษฎีชาร์ลส์ ดาร์วิน อีกทอดหนึ่ง นำมาสรุปเป็นหลักการว่า…กระบวนการคัดสรรทางธรรมชาตินั้นคือการทำให้พันธุ์ที่เหลืออยู่คือเผ่าพันธุ์อันเหมาะสม… จึงเกิดความรู้สึกว่าชาวเยอรมันนั้นน่าจะเป็นพันธุ์ที่เหมาะสม สืบเชื้อสายมาจากเผ่าอารยัน ถึงขั้นเดินทางไปติดตามต้นรากบรรพบุรุษกันถึงทิเบต ในขณะที่มองยิวว่าเป็นพวกลักษณะด้อย ไร้ประโยชน์ ซึ่งโดยรวมแล้วจะด้วยข้ออ้างทางศาสนาหรือวิทยาศาสตร์ก็แล้วแต่ ก็ได้ล้างผลาญชาวยิวไปกว่า 6 ล้านคน เรียกว่าหวิดจะสูญพันธุ์ตามทฤษฎีชาร์ลส์ ดาร์วินไปเลย

ทางด้านเอเชียก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเท่าไหร่ แม้ว่าจะไม่ได้เก่งกาจด้านวิทยาศาสตร์ แต่ศาสนาเก่าแก่อย่างศาสนาฮินดูนั้น ดังที่กล่าวไว้แต่ต้นว่าโดยแก่นสาระแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพรหม หรือล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่กำเนิดมาจากจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่เป็นแบบเดียวกันทั้งสิ้น แต่จู่ๆ มาวันหนึ่ง เมื่อบรรดาพราหมณ์ชาวฮินดูที่เป็นชาวอารยันเช่นกัน บุกไปยึดแว่นแคว้นต่างๆ ในอินเดีย แล้วสถาปนาตัวเองเป็นผู้ปกครองชาวพื้นเมืองแต่ละกลุ่ม ก็ตีความศาสนาอารยันเดิมให้กลายเป็นว่า ถึงแม้ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกสร้างขึ้นมาจากพรหม แต่เวลาพรหมสร้างมนุษย์นั้น ได้สร้างพราหมณ์จากปาก สร้างกษัตริย์จากแขน สร้างแพศย์หรือพ่อค้าจากลำตัว สร้างศูทรหรือพวกกรรมกร ชาวนา พวกช่างมาจากฝ่าเท้า…นั่นก็คือกลายเป็นที่มาของ "ระบบวรรณะ"ในทันที ส่วนผู้ที่แต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์ข้ามวรรณะก็ต้องกลายเป็นพวกจัณฑาล หรือพวกนอกระบบวรรณะ กลายเป็นผู้น่ารังเกียจที่สุด เหมือนไม่ได้เป็นมนุษย์ เวลาพบเจอ คนทั่วไปต้องถอยห่าง 65 ฟุตหรือ 22 เมตร หรือจัณฑาลจะไปไหนต้องแบกกลองไปตีไป เพื่อให้ผู้คนถอยห่างได้ทัน แม้แต่เงาของจัณฑาลก็ยังถือว่าสกปรก หรือเป็นสิ่งแปดเปื้อน รังเกียจกันยิ่งกว่าสัตว์ไปเลย

และแม้นว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นอารยันแท้ แต่ทรงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ได้เคยศึกษาหาความรู้จากพวกฮินดู หรือเคยอ่านคัมภีร์ "อุปนิษัท" ก่อนจะตรัสรู้ แต่เมื่อทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ทรงทำการ "ปฏิวัติฮินดู" เหมือนกับที่พระเยซู "ปฏิวัติศาสนายิว" ซึ่งทฤษฎีการปฏิวัติของพระพุทธเจ้ามีให้เห็น ในบท "อัคคัญญสูตร"ของพระไตรปิฎก ที่สรุปว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเสมอกัน ต่างเกิดขึ้นมาจาก"ธรรม" ไม่ได้เกิดมาจาก"อธรรม" ความแตกต่างของแต่ละชนชั้น แต่ละวรรณะนั้นเป็นไปตามหน้าที่ที่เป็นธรรมไม่ใช่เป็นอธรรม เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ยึดมั่นในธรรม คนนั้นก็เป็น "สิ่งประเสริฐที่สุดในหมู่ชนไม่ว่าในปัจจุบันและในอนาคต"

 

ถือผิว-ชังพันธุ์…กันจนทุกวันนี้

แม้พระพุทธเจ้าจะทรงปฏิวัติความคิดความเชื่อมากว่า 2,500 ปีแล้ว แต่ทุกวันนี้การเหยียดหยามเผ่าพันธุ์ ชาติกำเนิดด้วยระบบวรรณะในอินเดียก็ยังคงฝังรากชนิดแกะไม่หลุดอยู่จนทุกวันนี้ และก็ไม่ใช่ฝรั่งอย่างยุโรป อเมริกา เอเชียอย่างอินเดียเท่านั้น เรียกว่าแทบทุกทวีป ทุกภาษา ความเชื่อความยึดมั่นต่อเผ่าพันธุ์ ต่อสถานะของตัวแล้วเหยียดหยามคนที่แตกต่างไปจากตัวก็ยังมีอยู่มิเว้นวาย

นิตยสารยูเนสโก คูริเย ขององค์การยูเนสโก แห่งสหประชาชาติ ฉบับเดือนกันยายน ค.ศ. 2001 ได้จัดทำรายงานพิเศษ เกี่ยวกับเรื่องการเหยียดผิวไว้หลายแง่หลายมุม อ่านแล้วอดสังเวชต่อความเป็นมนุษย์ไม่ได้ เพราะได้เห็นว่ามนุษย์สามารถเหยียดมนุษย์กันเองได้ในทุกๆ เรื่อง ในทุกๆ ประเทศ ในทุกทวีป อย่างในอเมริกาใต้ ในประเทศชิลีที่ต่างก็น่าจะเป็นอินเดียนแดงมาด้วยกันแท้ๆ เคยถูกพวกเสปน พวกยุโรปเข้าไปเหยียดเผ่าพันธุ์มานานนับเป็นร้อยๆ ปี แต่ถึงจะมีเอกราชมีประเทศเป็นตัวเป็นตนอยู่ในทุกวันนี้  บรรดาอินเดียนพื้นเมืองบางเผ่าบางกลุ่มที่เรียกว่าพวก "มาปูเช" ที่มีประชากรประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ ก็ยังถูกเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์โดยชาวชิลีด้วยกันเอง  ให้เป็นพลเมืองคนละชั้น  ห้ามแต่งเสื้อผ้าประจำเผ่าเข้าห้องเรียน ไม่เปิดโอกาสให้มีงานทำ ถูกดูหมิ่นดูถูก จนต้องเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียงเปลี่ยนบุคลิก เอกลักษณ์ของตนเองเพื่อจะได้เข้ากับสังคมชิลีได้ หรือต้องหันมาทำลายเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ตนเองจนเรียกได้ว่าใกล้จะสูญพันธุ์กันแล้ว

ในบราซิล ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลายชาติ หลายภาษา มีทั้งหัวดำ หัวแดง ผิวดำ ผิวแดง ผิวขาว ที่น่าจะหลากหลายกลมกลืนกันดี เพราะไม่ว่าผิวสีไหน พอเสียงเพลงแซมบ้าดังขึ้นก็เต้นกันสุดเหวี่ยง แต่ในความเป็นจริง ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะในประวัติศาสตร์ของบราซิลก่อนที่จะเป็นชาตินั้นเคยเป็นศูนย์กลางการค้าทาสมาก่อน ทาสผิวดำที่ถูกกวาดต้อนจากแอฟริกาลงเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมา ถูกทารุณกรรม กดขี่กันหนักหนาสากรรจ์มาก่อน ถูกใช้เป็น "เครื่องระบายทางเพศ"ให้กับคนผิวขาวขาว ถึงขั้นว่าใช้เป็นบทเรียนทางเพศให้แก่เด็กหนุ่มผิวขาวที่ต้องการมีประสบการณ์ครั้งแรก จึงเกิด "ลูกผสม" มากมาย แต่สุดท้ายบรรดาคนผิวดำและลูกผสมเหล่านี้ก็ยังถูกกีดกันโดยคนขาว เวลาจะสมัครงานหรือจะทำอะไรก็แล้วแต่ เรียกว่าแทบไม่มีโอกาส คือต้องมาทีหลังพวกผิวขาว พวกยิว พวกอินเดีย แม้กระทั่งพวกรักร่วมเพศก็ยังมีโอกาสมากกว่า

ในโคลัมเบีย ที่เคยใช้ทาสผิวดำในอุตสาหกรรมประมงตามชายฝั่งด้านเหนือของประเทศ ก็คล้ายๆ กัน คือประวัติศาสตร์ความเป็นทาสมันถูกฝัง ถูกจารึกไว้ในแบบที่แทบจะเป็นการตีตราบนหน้าผาก หรือในอินเดียที่ทุกวันนี้ระบบวรรณะก็ยังลบล้างออกไปไม่ได้ กดขี่กันเป็นขั้นๆ วรรณะสูงสุดกดขี่วรรณะต่ำกว่า วรรณะต่ำก็ไปกดขี่วรรณะที่ต่ำกว่าลงไปอีก จนกระทั่งพวกจัณฑาลที่อยู่นอกระบบวรรณะก็ยังกดขี่กันเองเพราะความเชื่อที่ฝังรากมานานด้วยการนำศาสนาหรือความเชื่อไปตีความกันผิดๆ มานานนับเป็นพันๆ ปีนั่นเอง

ยิ่งโลกกลายเป็นโลกาภิวัตน์ ผู้คนหลากหลายเดินทางไปทำมาหากินในประเทศต่างๆ มากขึ้น แทนที่จะทำให้เกิดการเคารพกันและกันใน "ความหลากหลาย" หรือ "ความแตกต่างทางวัฒนธรรม"  ปรากฏว่าความเห็นแก่ตัวเอง เห็นแก่เผ่าพันธุ์พวกพ้องอันเป็นสันดอนที่ฝังอยู่ลึกที่สุดในตัวตนของมนุษย์ กลับทำให้เกิดการกีดกัน เหยียดผิวขึ้นมาอีกจนได้  ไม่ว่าจะเป็นในยุโรปที่เกิดพวกนาซีใหม่ที่ต่อต้านชาวต่างชาติถึงขนาดไล่ทุบ ไล่ฆ่ากันกลางถนน พรรคการเมืองฝ่ายขวาในยุโรปต่างหันมากีดกันพวกต่างเผ่า ต่างพันธุ์หนักขึ้นเรื่อยๆ และมิใช่กระทำกับคนที่มีฐานะด้อยกว่าหรือต่ำกว่าเท่านั้น กระทั่งคนที่มีชื่อเสียง มีเงินทอง แต่ถ้ามีสีผิวต่างกันแล้ว ก็ต้องฝ่าด่านการเหยียดผิวมาแต่ต้นจนกระทั่งประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วก็ยังไม่หมดไป

ดังที่นิตยสาร "ยูเนสโก คูริเย" ได้ตีพิมพ์ข้อเขียนของนักฟุตบอลผิวดำรายหนึ่งที่มีชื่อเสียงระดับโลก ใครที่เป็นแฟนฟุตบอลสโมสรอิตาลี หรือแฟนฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส รับรองว่าต้องเคยได้ยินชื่อแน่ๆ นั่นก็คือกองหลังทีมชาติฝรั่งเศสที่เคยได้ชื่อว่าเป็น "วิงแบ็ค" ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกที่ชื่อว่า "ลิลิยง ตูราม"

คุณตูรามที่ว่านี้ได้บรรยายถึงความรู้สึกและประสบการณ์ในการถูกเหยียดผิวไว้อย่างลึกซึ้งกินใจที่จะขอนำมาเป็นข้อสรุปสำหรับเรื่องที่คุยแลกเปลี่ยนกับท่านในสัปดาห์นี้…คุณตูรามเขียนไว้ว่า…

"ครั้งแรกที่ผมได้พบเจอการเหยียดผิวคือที่ประเทศฝรั่งเศส ตอนนั้นผมอายุได้เก้าขวบ เด็กผิวดำในโรงเรียนของผมล้วนแล้วแต่ถูกตั้งฉายาไปต่างๆ นาๆ และแม้นว่าสิ่งที่เด็กๆ กระทำต่อกันและกันมันอาจะดูเป็นแค่ความเขลา แต่มันก็ยังสร้างผลต่อผมอยู่ดี…ผมคิดว่าการเหยียดผิวไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปโดยธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่พวกผู้ใหญ่คิดและสร้างมันขึ้นมา ด้วยการกำหนดความเหนือกว่าและความด้อยกว่าบนพื้นฐานของสีผิวและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซึ่งอันที่จริงแล้วโรงเรียนน่าจะมีบทบาทสำคัญในการลบล้างสิ่งเหล่านี้ให้กับเด็กๆ แต่เด็กๆ ก็ยังไม่ได้ถูกสอนให้เข้าใจว่า ความจริงแล้วมนุษย์เรามีกำเนิดมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน การสอนประวัติศาสตร์ของผู้คนในโรงเรียนต่างๆ ก็เลวร้ายเต็มที แต่ละประเทศยึดถือสิ่งที่ถูกสอนต่อๆ กันมา เพื่อสร้างความชอบธรรมรองรับพฤติกรรมในอดีตของตน ผมรู้สึกตกตะลึงที่เรื่องราวของคนผิวดำนั้น ปรากฏอยู่ในตำราประวัติศาสตร์ก็เมื่อตอนที่คนผิวดำได้ตกเป็นทาสแล้วเท่านั้น แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวผิวดำที่อาจมีความตื่นตาตื่นใจก่อนหน้านั้นกลับไม่ได้ถูกทำให้รับรู้ ราวกับว่าคนดำนั้นเกิดมาเพื่อเป็นทาสอย่างนั้นแหละ วัฒนธรรมความเป็นมาที่แท้จริงของคนผิวดำล้วนถูกดูหมิ่นเสมอๆ อันทำให้เกิดความว่างเปล่าทางประวัติศาสตร์และคลี่ม่านคลุมความทรงจำของผู้คนเหล่านี้…"

ข้อเขียนมีต่อไปว่า "ถ้าเราหวังว่าจะขจัดการเหยียดผิวเหล่านี้ให้สิ้นไป เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องจดจำเรื่องราวแต่ละเรื่องที่ชาติต่างๆ ต้องยอมรับความผิดพลาดที่ตัวเองได้เคยทำไป โดยเฉพาะเรื่องของการใช้ทาส ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นที่มาอย่างหนึ่งของการเหยียดผิว เราควรจะต้องหยิบเอาความจริงเหล่านี้มาพูดถึงกัน ไม่ใช่เพื่อมุ่งให้เกิดการแก้แค้น แต่เป็นวิถีทางที่จะนำพาพวกเราไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ผมเคยผ่านประสบการณ์อันเจ็บปวดระหว่างการแข่งขันนัดหนึ่งเมื่อครั้งที่ยังสังกัดอยู่สโมสรปาร์มา (ในอิตาลี) แฟนบอลบางคนพากันตะเบ็งเสียงร้องเพลงล้อผู้เล่นผิวดำสองคน เมื่อแข่งเสร็จ ผมก็หยิบเรื่องนี้มาคุยกับเพื่อนร่วมสโมสรคนอื่นๆ    แต่ผมรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจใดๆ เลย   ซึ่งผมไม่อาจรับได้   เพราะผมคิดว่า การเงียบเฉยเป็น

เจตคติที่เลวร้ายที่สุด การที่เราคิดจะต่อสู้กับการเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์ เราจะต้องต่อสู้กับการเงียบเฉยด้วยเช่นกัน…"

สรุปลงท้ายว่า "ผมผิดหวังที่ลัทธิเหยียดชนชาติยังคงแสดงอิทธิฤทธิ์อยู่ในโลกทุกวันนี้     ทั้งๆ ที่มันเคยเป็นเช่นนี้มาหลายศตวรรษแล้ว อันที่จริงเราได้รับการบอกกล่าวเสมอๆ ว่าเราอยู่ในโลกมหัศจรรย์ที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้ผู้คนใกล้ชิดกัน แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามอย่างโหดร้าย เพราะในแง่จิตวิญญาณแล้ว เราไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นมาสักกี่มากน้อย ผมเชื่อว่าโลกาภิวัตน์ที่เหมาะสมนั้น น่าจะหมายถึงการเคารพซึ่งกันและกัน เคารพความแตกต่างของบุคคล เพราะตัวเราแต่ละคนและทุกคน อันที่จริงต่างก็มีความเป็นมาที่แตกต่างกันอยู่แล้ว…"

ถือเป็นการสรุปที่สามารถนำไปคิดถึงอะไรต่อมิอะไรได้อีกมาก ทั้งเรื่องภัยพิบัติที่อเมริกาที่ทำให้เรื่องราวการเหยียดผิวโผล่ขึ้นมาให้เห็นอีก หรือจะโยงกลับมาในประเทศเราที่ปัญหาเรื่องความแตกต่างทางประวัติศาสตร์ เผ่าพันธุ์ วัฒนธรรมต่างๆ ยังอุตส่าห์โผล่มาให้ต้องปวดหัว-ปวดใจกันอยู่ในขณะนี้.

 

ข้อมูลเพิ่มเติมบางส่วนที่น่าสนใจ

-นิตยสาร "ยูเนสโก คูริเย" ฉบับประจำเดือนกันยายน 2544 ในเรื่องเด่น "ทำไมต้องเหยียดผิว"

-"Rabbit-Proof  Fence" ภาพยนตร์สะท้อนชีวิตชาวอะบอริจิน ในออสเตรเลีย (สร้างจากเรื่องจริง)

-"แด่อนาคต : ค่านิยมอันทรงคุณค่าของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา" (The Ties That Bind)

   จอยซ์ เอ.แลดเนอร์ เขียน / รุ่งฤดี ธีรบวร แปล / สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง จัดพิมพ์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท