"สุรยุทธ์" ลั่นไม่เกี่ยวรัฐประหาร ไม่กังวล "ทักษิณ" พาดพิง

ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วิดีโอลิงก์พาดพิงถึงกลุ่มบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่สนามกีฬาสมโภช 700 ปีเชียงใหม่ เมื่อค่ำวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมานั้น ผู้ที่ถูกพาดพิง และคิดว่าถูกพาดพิงได้ออกมาให้ความเห็นตอบโต้การโฟนอินระบบวิดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังกล่าว

 

 

ลูกสนธิ ลิ้มทองกุล ปัดไม่เคยพบทักษิณ

โดยช่วงหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พาดพิงถึง "ลูกชายเจ้าของหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง" โดย พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ได้ทราบจากลูกชายเจ้าของหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง โดย พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าได้ถามว่า "ทำไมหนังสือพ่อถึงตีอาจังเลย ตีรัฐบาลจังเลย โดยไม่มีเหตุผล" โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับคำตอบว่า คุณอาครับช่วยเหลืออะไรไม่ได้จริงๆ เพราะว่ามีองคมนตรีท่านหนึ่งไปกินข้าวกับพ่อ แล้วแอบอ้างว่าทางวังไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ต้องการให้พ้นจากตำแหน่งไป

 

และในเวลา 21.30 น. วันที่ 22 มี.ค. ทันทีที่ทักษิณ เลิกโฟนอิน น.ส.อัญชลี ไพรีรักษ์ ได้เปิดเสียงโฟนอินของทักษิณช่วงที่พาดพิงดังกล่าว ในรายการ "จับตา(ย)" ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี โดยหลังจากนั้น น.ส.อัญชลี ได้ขยายความดังกล่าวให้ผู้ชมรายการและกล่าวว่าโฟนอินหนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเปิดชื่อหมด โยนระเบิดลงมาโครมๆๆ เหมือนระเบิดในมือเด็ก จากนั้น น.ส.อัญชลี ได้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเดย์ ดอท คอม จำกัด ที่ปรึกษาสำนักพิมพ์บูรพัฒน์ คอมมิคส์ บุตรชายนายสนธิ ลิ้มทองกุล

 

โดยนายจิตตนาถกล่าวว่า ตนไม่เคยได้พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณมาก่อน โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ก่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เคยพบเฉพาะช่วงแรกๆ ที่เพิ่งเป็นนายกฯ แต่ว่าไม่เคยคุยกันส่วนตัว เคยแต่สวัสดีเฉยๆ และไม่ได้พบบ่อย ไม่ได้สนิทกัน แค่พูด "สวัสดีครับท่านนายกฯ" ไม่เคยสนิทสนมกันถึงขั้นเรียกว่าคุณอา ไม่เคยพบ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นการส่วนตัวเลย และไม่เคยพูด (เรื่ององคมนตรี) ตามงานก็ไม่เคยพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นการส่วนตัว

 

"ที่พบก็คือมีแต่คนเต็มไปหมด และเราก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานและเราก็ไม่เคย ท่านก็ไม่รู้จักอะไรเป็นการส่วนตัว เคยเจอตอนงานหนังสือ แล้วคุณทักษิณก็มากับกองทัพสื่อมวลชน ผมก็อยู่ที่บูท ผมก็สวัสดีเท่านั้นเอง ไมได้มีอะไร"

 

นายจิตตนาถกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ นายสนธิก็ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าเคยไปรับประทานอาหารกับองคมนตรีและองคมนตรีมอบหมายให้มาทำพันธมิตรฯ เพราะว่าต้องการจะล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ

 

 

ชี้เป็นการสร้างเรื่องให้รากหญ้าเสื้อแดงมีอารมณ์

นายจิตตนาถกล่าวอีกว่า ที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดเรื่องลูกชายเจ้าของหนังสือพิมพ์ขึ้นมานั้น คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณโกหกอยู่ทุกวันอยู่แล้ว สร้างเรื่องอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ก็คิดว่าคงจะไม่มีทางออกอื่น คงจะต้องปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมา แล้วก็ตอนนี้ก็พยายามจะโจมตีสถาบันเบื้องสูง และกลุ่มคนชั้นสูงอย่างเต็มตัว แล้วก็มั่วเรื่องขึ้นมา ประมาณอย่างนั้น ทำให้พวกรากหญ้าพวกเสื้อแดง มีอารมณ์ขึ้นมา

 

"อยากให้เขาระบุชื่อมาสิครับ คือผม ถ้ามีใครมาสัมภาษณ์ผมก็คงจะตอบปฏิเสธไป แล้วก็ผมคิดว่าคงไม่มีใครบ้าเชื่อ คือเชื่อก็บ้าแล้ว เพราะว่าอย่าลืมนะครับว่าองคมนตรีใครเป็นคนตั้งขึ้นมา คุณทักษิณกล่าวโจมตีองคมนตรีอย่างนี้ เท่ากับคุณทักษิณกำลังกล่าวโจมตีใครที่เราเคารพกันอยู่หรือเปล่า" นายจิตตนาถกล่าว

 

 

"ปราโมทย์ นาครทรรพ" ชี้ทักษิณฝันเอามาโฟนอิน

ด้านนายปราโมทย์ นาครทรรพ ให้สัมภาษณ์ น.ส.อัญชลี ทางรายการ "จับตา(ย)" เช่นกันถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าเขาร่วมกับบุคคลอีก 3 คน ไปประชุมเพื่อร่วมมือกันโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณนั้น รู้สึกว่าเป็นการพูดที่ให้เกียรติเขามาก ที่เขาสามารถจะไปใช้คนโน้นคนนี้ หรือถูกคนโน้นคนนี้ใช้

 

"อย่างท่านองคมนตรี ชาญชัย ลิขิตจิตถะนี่ ในชีวิตผมก็อาจจะเคยพบท่าน สักหนหนึ่งนะครับ นึกไม่ออกว่ามากกว่า 1 หนหรือเปล่า ส่วนคุณอักขราทรนั้น ผมรู้จักดีเพราะว่าเคยทำงานร่วมกันสมัยร่างรัฐธรรมนูญ 2517

 

"พล.อ.พัลลภก็รู้จักดีเหมือนกัน เพราะเป็นเพื่อนเรียนหนังสือด้วยกัน ผมไม่เชื่อหรอกว่า พล.อ.พัลลภ จะเป็นคนเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คุณทักษิณฟัง เขาจะหวังอะไรจากคุณทักษิณ เพราะว่าเขาเป็นเพื่อนรักกับผม ไปอ่านหนังสือที่เขาเขียนสิครับ ในยามที่เขาทุกข์ หาใครไม่ได้ในแผ่นดินนี้ ผมเป็นคนช่วยเหลือเขา เขาก็พูดเสมอว่า ผมเป็นคนช่วยชีวิตเขามา ผมไม่เชื่อว่าเขาไปเล่าเรื่องนี้ แต่ว่าคุณทักษิณคงจะฝันเอาเอง ตามประสาคนที่คุ้มดีคุ้มร้าย เที่ยวว่าคนเกลื่อนกลาดไปหมด"

 

นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า ที่หาว่าเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์นั้นตนเขียน โดยบอกว่า ไม่ทราบว่าปฏิญญาฟินแลนด์มีจริงหรือไม่ มีการไปพบปะกันหรือไม่ ข้อเขียนของตนเปิดเผย ตนมีอาชีพนักวิชาการ ใช้แต่ปากกา จะไปใช้ พล.อ.สุรยุทธ์ หรือโดน พล.อ.สุรยุทธ์ใช้ หรือถูก คมช.ใช้ได้อย่างไร สมัยที่ คมช.เป็นใหญ่ ตนวิพากษ์วิจารณ์ คมช.ตลอดอายุ คมช.คิดโดยเฉลี่ยแล้วไม่น้อยกว่าที่วิพากษ์วิจารณ์ รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ

 

"เพราะฉะนั้นคุณทักษิณก็เพี้ยนใหญ่ เพราะเดิมพันมันใหญ่ คุณทักษิณยังฝันอยู่ว่าจะกลับมาเมืองไทยได้ ยังฝันอยู่ว่า จะกลับมาครองอำนาจได้ ไปโจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่าเป็นรัฐบาลที่โลกไม่ยอมรับ ก็เห็นอยู่แล้วที่คุณอภิสิทธิ์ ไปอังกฤษ การตอบรับนี่ และการรับเชิญไปจี 20 มันสูงกว่าที่คุณทักษิณได้รับอยู่เวลานี้ คุณทักษิณเวลานี้ไปไหนก็ไม่ได้แล้ว โลกประชาธิปไตยแท้ๆ ถ้าเก่งจริงแกก็ไปอังกฤษ ไปอเมริกา ไปฝรั่งเศส ให้ดูหน่อยสิครับ

 

"เวลานี้แกน่าจะนึกถึงธรรมะนะครับ เอาธรรมะเข้าข่ม แล้วก็ทบทวนดู ว่าการกระทำของท่านเองทำให้ท่านตกเป็นเป้าของผู้ที่ต้องการความถูกต้อง เรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน ทำให้คนหายคนตาย ก็ดี เรื่องคอร์รัปชั่นทางนโยบายหรือคอร์รัปชั่นโต้งๆ ที่ท่านและบริวารของท่านทำจนเกิดเป็นคดีความก็ดี นี่ท่านเป็นคนที่ไม่รู้จักขอโทษ ไม่รู้จักรับผิดว่านี่ผมพลาดนะ ผมไม่น่าเลย ท่านเป็นบุคคลที่ไม่เคยสำนึกเลย โทษไปตั้งแต่รากหญ้าอีกหน่อยก็จะต้องโทษไปถึงฟ้าดิน โทษศาล โทษทุกสิ่งทุกอย่าง ราวกับว่าในประเทศไทยนี้มีคนดีอยู่คนเดียว มีคนเก่งอยู่คนเดียว คือ พ.ต.ท.ทักษิณ

 

 

ขอบคุณ "ทักษิณ" ที่ให้เกียรติ ลั่นใช้ปากกาด้ามเดียวสู้เผด็จการทั้งชีวิต

"ขอบคุณที่ให้เกียรติผมมาก ในฐานะที่ผมเป็นนักวิชาการ มีปากกาด้ามเดียว และผมก็สู้กับเผด็จการมาตลอดชีวิต ขอบคุณที่ให้เกียรติว่าผมสามารถเป็นแกนในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับบ้าน เมืองได้ เปลี่ยนแปลงโดยการไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งคุมทั้งทหาร คุมทั้งตำรวจ คุมทั้งนักการเมืองได้ ก็จะเป็นการให้เกียรติผมเกินไป ผมไม่สามารถจะรับเกียรตินี้ได้ ขอยกเกียรติทั้งหมดให้ความคุ้มดีคุ้มร้ายและความฝันของคุณทักษิณก็แล้วกันนะ ครับ" นายปราโมทย์ กล่าว

 

นายปราโมทย์กล่าวต่อว่า มีใครในโลกที่จะเชื่อว่าเขาและอีก 3 คนจะไปเป็นแกนนำล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทั้ง 3 ท่านเป็นผู้มีเกียรติสูงในวงการตุลาการ คิวด่าเป้าต่อไปที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะย่ำยีลงให้ราบคาบน่าจะเป็นวงการตุลาการ

 

"และคนอย่างผมจะไปทำอะไรกับวงการตุลาการได้ นอกจากจะเป็นจำเลยของผู้ที่ฟ้องผิดฟ้องถูก ดีไม่ดีเขามอบอำนาจผิด และอาจถอนฟ้อง ผมก็เป็นจำเลยของ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ ก็คอยให้ศาลเขาตัดสินซักหน่อย ก็จะดีว่าศาลเขาจะว่าอย่างไรกรณีปฏิญญาฟินแลนด์ ซึ่งความจริงคนอื่นเป็นคนพูดถึงคือคุณโสภณ สุภาพงษ์ และคุณคำนูณ สิทธิสมาน ผมเป็นเพียงแต่เป็นคนที่วิจารณ์ว่า เรื่องนี้จะมีจริงหรือไม่จริงไม่ทราบ แต่ผมได้วิจารณ์การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณมา ซึ่งมีหลายอย่างที่สอดคล้องกับเรื่องที่คนพูดเกี่ยวกับปฏิญญาฟินแลนด์ เช่น การทำให้พรรคการเมืองมีพรรคเดียว ทำให้ระบบราชการสวามิภักดิ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพรรค ทำสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นเพียงสัญลักษณ์ เอาสมบัติของชาติไปลงทะเบียนเพื่อจะทำให้เป็นทุน เป็นเรื่องที่ผมได้วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณมาก่อน ซึ่งบังเอิญมันมีเรื่องเหล่านี้อยู่ในปฏิญญาฟินแลนด์ที่คนอื่นเอามาพูด

 

"ถ้าผมมีฤทธิ์ อย่างที่คุณทักษิณพูดมันก็ดีสิครับ แต่ผมไม่มีฤทธิ์หรอก ความจริงต่างหาก เป็นอำนาจในตัวของมันเอง ถ้ามันมีความจริง อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับคุณทักษิณที่เป็นโทษกับคุณทักษิณ ความจริงนั้นอาจจะเกิดจากคุณทักษิณเอง มากว่าจะเกิดจากผม ผมเป็นนักวิชาการคนหนึ่งเท่านั้น ก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเคร่งครัด ไม่ฝักใฝ่ไปเป็นลูกพี่ของทหาร ไม่ฝักใฝ่ไปเป็นลูกน้องของทหาร ไม่ฝักใฝ่ไปเป็นลูกพี่ของรัฐบาล ไม่ฝักใฝ่ไปเป็นลูกน้องรัฐบาล

 

"เรื่องความคิดความเห็นเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ถ้ามีอานิสงส์ถึงเพียงนั้น ผมก็ดีใจ ผมยินดีรับผลพลอยได้ จากอานิสงส์ เรืองนั้นที่ทำให้ เมืองไทยปลอดภัยจากคุณทักษิณ" นายปราโทย์กล่าวทิ้งท้าย

 

 

 

"สนธิ" ปฏิเสธไม่เคยกินข้าวกับองคมนตรี ยันลูกชื่อ "ปั๊ป" ไม่ใช่ "หนุ่ม"

ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กล่าวเมื่อเวลา 6.00 น. ของวันที่ 23 มี.ค. ผ่านรายการ "Good Morning Thailand" ซึ่งเขาเป็นผู้ดำเนินรายการโดย ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี

 

โดยเขากล่าวถึงการโฟนอินของทักษิณว่า คุณจิตตนาถ ซึ่งเผอิญเป็นลูกชายผม ก็ตอบปฏิเสธไปหลายๆ อย่างว่า คุณจิตตนาถ บอกว่า ไม่เคยรู้จักคุณทักษิณ ถ้าเจอกันก็เจอกันในงานใหญ่ เช่นงานแสดงสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ซึ่งคุณทักษิณไป รู้ว่าเป็นลูกชายผม ก็เดินเข้ามาแล้วก็ทักทายเฉยๆ มีเพียงแค่นั้นเอง การเจอกันนั้นไม่มี

 

ลูกชายเจ้าของหนังสือพิมพ์อีกฉบับที่ไม่เอาคุณทักษิณ คือ หนังสือพิมพ์แนวหน้าครับ ฉบับอื่นผมไม่รู้ แต่ว่าฉบับนี้ไม่มีแน่ อีกอย่าง นายจิตตนาถ ชื่อ ปั๊ป ไม่ใช่ชื่อ หนุ่ม ผมไม่เคยรับประทานอาหารกับองคมนตรีท่านใดเลย ไม่เคยเจอหน้าด้วย ได้เจอหน้าครั้งเดียวในชีวิต คือ ท่าน พล.ต.กำธน สินธวานนท์ เจอที่ไหนรู้ไหมครับ ท่านเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อท่านเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยรังสิต วันนั้นมหาวิทยาลัยรังสิตได้มอบดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาผู้นำสังคม ให้กับผม คนที่ได้รับก็มีหลายคน มีผม มีท่านมุ้ย ท่านไกรฤกษ์ เกษมสันต์ รู้สึกจะมี 3-4 คน ก็ได้เจอท่าน พล.ต.กำธน สินธวานนท์ หรือมีชื่อว่า พี่โด่ง ก็ทักทายกันธรรมดา เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่คุณทักษิณพูด ก็เป็นเรื่องที่เหมือนเดิม มันเป็นเชื้อไวรัสซึ่งติดกัน คุณทักษิณ พูดสับปลับ พูดจาไม่ตรง และยังกล่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ก็พูดจาไม่ตรงด้วย

 

 

ชี้ "ทักษิณ" ไม่รู้ตัวว่าเป็นผู้สร้างปัญหา

นายสนธิยังกล่าวถึงทักษิณ ที่พูดว่า "ถึงจะโกรธอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ทุกฝ่ายก็มีวันตาย เราเอาชาติรอดดีกว่า เอาประเทศให้ผาสุกดีกว่า เอาความสบายพระราชหฤทัยของในหลวงดีกว่า" นายสนธิเห็นว่านี่คือปัญหาใหญ่ของคุณทักษิณ คือคุณทักษิณนึกจะพูดอะไรก็พูด พูดโดยที่ไม่ได้คิดเลย ตัวเองนี่ก่อปัญหา สร้างปัญหามาให้ตลอด แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า ทุกฝ่ายต้องมีวันตาย ถ้าคุณทักษิณรู้ว่าในที่สุดแล้วมันก็อนัตตา ก็คือตาย เพราะฉะนั้นทำไมคุณทักษิณไม่ทบทวนตัวเองบ้างว่าได้ทำอะไร คือปัญหาของใหญ่ของคุณทักษิณนะครับพ่อแม่พี่น้อง และท่านผู้ชม คือเป็นคนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองนั้นผิด ชีวิตนี้ไม่มีวันผิด ทุกอย่างตัวเองถูกหมด นั่นคือปัญหาใหญ่ที่สุดของเขา และเป็นปัญหาซึ่งคุณทักษิณต้องแก้ด้วยตัวคุณทักษิณเอง

 

 

สนธิวอนแฟนแยกแยะเสียบ้าง "เยาวลักษณ์ ชินวัตร" ไม่ได้ยุ่งเรื่องการเมือง

นายสนธิยังกล่าวถึงข่าวนางเยาวลักษณ์ ชินวัตร พี่สาวคนโตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เสียชีวิตแล้วว่า ขณะนี้ศพอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส คุณเยาวลักษณ์นั้น เป็นพี่สาวคนโต และเป็นคนที่ไม่สบายมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว เป็นแม่ของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คุณยิ่งลักษณ์ที่คนเขาบอกว่าเป็นน้องคุณทักษิณนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นหลาน มีศักดิ์เป็นหลาน คุณยิ่งลักษณ์นั้นเป็นลูกสาวของคุณเยาวลักษณ์ แล้วก็มอบให้เป็นน้องของคุณทักษิณ ให้เข้าใจที่นี้ก่อนนะครับ ส่วนคุณเยาวลักษณ์นั้นไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับการเมืองเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นคนที่ไม่สบายมาตลอด ก็ขอให้ดวงวิญญาณไปสู่ที่สงบ ส่วนท่านผู้ชมที่มีอะไรที่ไม่ดีกับตระกูลชินวัตร ก็แยกแยะเสียบ้างนะครับ มีแค่บางคนเท่านั้นเอง คุณเยาวลักษณ์ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทั้งสิ้น

 

 

ลูกชาย "ประธานแนวหน้า" ปัดไม่เคยคุยกับทักษิณ อัดเป็นคนไม่บริสุทธิ์ต่อชาติ

และเมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา นายผรณเดช พูนศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด บุตรชายของนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ประธานหนังสือพิมพ์แนวหน้า ได้ให้สัมภาษณ์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ทางรายการ "รู้ทันประเทศไทย" ทางเอเอสทีวี ว่า โดยทางส่วนตัวแล้ว ไม่เคยรู้จักกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกฯ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นนักโทษชาย เคยแต่ทางที่บ้านคือคุณพ่อ ท่านประธานวารินทร์ โดนกลั่นแกล้ง แต่ไม่มีการพูดคุยและก็ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด ซึ่งเท่าที่ฟังโฟนอินดูก็เห็นว่า(พ.ต.ท.ทักษิณ)เป็นคนพูดจาไม่อยู่กับร่อง กับรอย

 

"ยืนยันว่าต่อตัวไม่เคยคุยกันเลย อาจเจอกันที่งานก็ผ่านๆ กัน ไม่เคยคุยกัน แล้วก็ไม่อยากคุยด้วย เราไม่ต้องการจะคุยกับคนที่ไม่บริสุทธิ์ต่อประเทศชาติครับ"

 

นายผรณเดช กล่าวต่อว่า สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ นั้น เคยกลั่นแกล้งหนังสือพิมพ์แนวหน้า โดยท่านประธานโดนตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินเป็นครั้งแรกตั้งแต่เคยทำธุรกิจมา โดยใช้อำนาจทางภาครัฐ ไปตรวจสอบบัญชีธนาคารโดยใช้ ป.ป.ง. สองก็คือฟ้องหลายคดีมาก จำนวนประมาณ 17 คดี ตัวเลขอาจจะคลาดเคลื่อน แต่ส่วนมากจะฟ้องในที่ที่ไม่มีเครื่องบินลง เป็นการกลั่นแกล้งกันโดยตรง แล้วก็กลั่นแกล้งธุรกิจอื่นๆ ที่เราทำอยู่ด้วย อย่างมีการไปตรวจสอบสนามกอล์ฟตอนวันปีใหม่ หาว่าเราไปบุกรุกป่า ทั้งที่เราไม่เคยบุกรุก

 

 

ลั่นแนวหน้าไม่ขายให้ เพราะทักษิณไม่มีจริยธรรมและจรรยาบรรณ

นายผรณเดช กล่าวต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคนขอซื้อกิจการหนังสือพิมพ์แนวหน้า แต่ถ้าซื้อท่านประธานก็คงไม่ขาย ให้กับคนไม่มีจริยธรรม และจรรยาบรรณ ที่หนังสือพิมพ์แนวหน้าต้องตรวจสอบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณค่อนข้างมาก เพราะเราอยู่ข้างพี่น้องประชาชน ก็เหมือนอาจารย์เอง เราอยู่ข้างความถูกต้อง

 

สำหรับในโอกาสที่วันนี้ (23มี.ค.) เป็นวันขึ้นปีที่ 30 หนังสือพิมพ์แนวหน้า นายผรณเดช กล่าวว่า ในฐานะสื่อมวลชนได้แต่หวังว่า พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารจะใช้ให้เป็นประโยชน์สักรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง ไม่ใช่เป็นหุ่นไล่กาที่ใช้ประโยชน์ไมได้เลย แล้วก็เราอยากเห็นสังคมที่ปราศจากการทุจริต คอร์รัปชั่น ตรงไปตรงมา เหมือนอย่างเมื่อ 40 ปีก่อน ที่สิงคโปร์ มาเลเซียนเขาไม่ได้พัฒนาขนาดนี้ แต่เขาก็พัฒนาการศึกษาจนขณะนี้เขาแซงเราไปไกลลิบลับ แล้วก็คอร์รัปชั่นเขาน้อย

 

ทั้งนี้ หากพูดกับ พ.ต.ท.ทักษิณได้ นายผรณเดช กล่าวว่า จะบอก พ.ต.ท.ทักษิณว่า ท่านควรจะกลับเข้ามาในประเทศ กลับมารับโทษที่ท่านได้ก่อไว้ และปล่อยให้ทุกอย่าง ดำเนินตามกลไกความถูกต้องและรัฐธรรมนูญต่อไป

 

 

พะจุณณ์เผย "เปรม" รู้ "ทักษิณ" พาดพิงองคมนตรี

สำหรับปฏิกิริยาของฝ่ายนายทหาร และคณะตุลาการที่ถูกพาดพิงนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 มี.ค.) พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ระบุว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ทราบข่าวการปราศรัยผ่านวิดีโอลิงค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อกลุ่มเสื้อแดงจังหวัดเชียงใหม่เมื่อค่ำวานนี้ ที่พาดพิงถึงองคมนตรีทั้งสองคือ พล.อ.สุรุยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ว่าอยู่เบื้องหลังเหตุลอบสังหารและเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 แล้ว แต่ พล.อ.เปรม ยังไม่แสดงท่าทีใด ๆ

 

 

"แอ๊ด" ยันไม่เกี่ยวปฏิวัติ ไม่กังวลถูกพาดพิง เชื่อกฎแห่งกรรม และความจริงพิสูจน์ได้

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 มีนาคม ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในฐานะนายกสภาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ให้สัมภาษณ์หลังร่วมงานประชุมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง "มหาวิทยาลัยกับคดีพิพาทในศาลปกครอง" ถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวพาดพิงเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ว่า คิดว่าเป็นเรื่องของการเข้าใจผิด เพราะข้อมูลที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับอาจคลาดเคลื่อน ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติรัฐประหารที่ผ่านมา ความจริงเป็นเรื่องที่สามารถพิสูจน์ได้ "เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม คิดว่าคนที่ทำอะไรต้องได้รับผลตอบแทนทั้งในทางที่ดีและไม่ดี"

 

พล.อ.สุรยุทธ์ยังปฏิเสธว่าไม่เคยเชิญ พล.อ.พัลลภไปหารือ และไม่ได้กังวลเรื่องที่ถูกพาดพิง และจะไม่ไปดำเนินการฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงคงไม่ไปขอร้องให้ยุติการพาดพิง เพราะเป็นหน้าที่ของแต่ละบุคคลที่จะสำนึกได้เอง

 

สำหรับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในช่วงก่อนหน้าการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อยู่ในตำแหน่งองคมนตรี หลังการรัฐประหารดังกล่าว ได้รับเชิญจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้ลาออกมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยในช่วงเวลาที่ พล.อ.สุรยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้ง มีการร่างและลงประชามติรัฐธรรมนูญ 2550 และพ้นจากตำแหน่งหลังจัดให้มีการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 และได้นายสมัคร สุนทรเวช พรรคพลังประชาชนที่มาจากการชนะการเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาลแทน โดยหลังจากพ้นตำแหน่ง พล.อ.สุรยุทธ์ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรีต่อ

 

ขณะที่ พล.อ.สุรยทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีการออก "พระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งขององคมนตรีและ รัฐบุรุษ พ.ศ. 2551" [1] มีเนื้อหาให้เพิ่มเงินประจำตำแหน่งให้ประธานองคมนตรี องคมนตรี และรัฐบุรุษ โดยประธานองคมนตรีรับเงินเดือนประจำตำแหน่งเดือนละ 121,990 บาท จากเดิมที่เคยได้รับเดือนละ 114,000 บาท ส่วนองคมนตรีได้รับเดือนละ 112,250 บาท จากเดิมที่เคยได้รับเดือนละ 104,500 บาท ส่วนรัฐบุรุษได้รับเงินประจำตำแหน่งเป็นรายเดือน เดือนละ 121,990 บาท จากเดิมที่เคยได้รับเดือนละ 100,000 บาท

 

โดย พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เมื่อ 23 มกราคม 2551 และพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวตีพิมพ์ลงในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 125 ตอนที่ 22 ก วันที่ 25 มกราคม 2551 โดยขณะนั้นมีการคัดค้านกฎหมายดังกล่าวโดยกลุ่มพลเมืองภิวัตน์ด้วย [2]

 

โดยหลังจากที่ พล.อ.สุรยุทธ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ในวันที่ 8 เมษายน 2551 ก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง 1.พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ 2.นายศุภชัย ภู่งาม และ 3.นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ เป็นองคมนตรี มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ [3]

 

 

 

"พัลลภ" รับเล่าเรื่องปฏิวัติจริงแต่ไม่มีแผนลอบฆ่า

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์ว่า ยอมรับเคยเล่าเรื่องเบื้องหลังปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ให้ พ.ต.ท.ทักษิณฟังจริงว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังการวางแผนในการปฏิวัติ แต่ไม่มีเรื่องแผนการลอบสังหารแต่อย่างใด ซึ่งในเวลานั้นตนได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมโดยมี พล.อ.ส. เข้าร่วมประชุม ซึ่งมีความเห็นพ้องกันว่าควรจะต้องทำการยึดอำนาจรัฐบาล เพราะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความจงรักภักดี แต่ยืนยันว่าไม่มีแผนลอบสังหาร ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณอาจนำข้อมูลจากที่อื่นมาพูดผสมกับสิ่งที่เคยเล่าให้ฟังจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะพ.ต.ท.ทักษิณหวาดระแวงเรื่องลอบสังหารมาตลอด ในช่วงก่อนปฏิวัติมีเพียงแต่คิดแผนการจับตัว พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น แต่ในที่สุดไม่ได้นำแผนนี้มาใช้ แต่เลือกใช้จังหวะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปต่างประเทศจึงทำการปฏิวัติยึดอำนาจในช่วงนั้น

 

 

"จรัญ" ขออย่าดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง

ด้านนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ขอยืนยันยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์เลยว่าสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดนั้นเพ้อเจ้อ หรือมีการบอกว่าจะขอปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน ซึ่งได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ไปแล้ว ส่วนจะชี้แจงถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวหาหรือไม่นั้น "มันไม่เสียอะไรผมหรอก แต่อย่าให้ผมไปยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ด้วยเลย และขอไม่พูดถึงสิ่งที่ถูกกล่าวหาปล่อยเขาไป"

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวอ้างว่านายจรัญให้สัมภาษณ์หาก พ.ต.ท.ทักษิณเอ่ยชื่อกันแบบนี้ ก็อาจต้องพูดอะไรบ้าง แต่ขอปรึกษาผู้ใหญ่ก่อนว่าในฐานะผู้พิพากษา สมควรตอบโต้อะไรหรือไม่ ส่วนที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนเป็นการจับแพะชนแกะ ถือเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ

 

 

นายกฯ เมินทักษิณรุก ยันรบ.เดินหน้า

ที่ทำเนียบรัฐบาล วานนี้ (23 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณโจมตีองคมนตรีว่า รัฐบาลก็คงจะดูแลว่าหากอะไรผิดกฎหมาย ก็จะดำเนินการ ที่ผ่านมาก็มีการพาดพิง ซึ่งได้บอกไปแล้วว่าให้เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองเท่านั้น อย่าเอาสถาบันอื่น โดยเฉพาะสถาบันที่ประชาชนเทิดทูนเคารพนับถือเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อถามว่า ประเมินการรุกของ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดในเรื่องนี้ ให้ความสนใจกับงานที่ทำมากกว่า เพราะมีหน้าที่แก้ไขปัญหาให้กับประเทศ ส่วนปัญหาของคนหนึ่งคนก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย

 

เมื่อถามว่า ในวันที่ 26 มีนาคม จะมาทำงานที่ทำเนียบหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ผมตั้งใจที่จะมาทำงานตามปกติทุกอย่าง ถ้ากลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวภายใต้กรอบของกฎหมาย รัฐบาลไม่สามารถไปสกัดกั้น แต่ก็พยายามลดเงื่อนไขการชุมนุม แต่บางเรื่องก็ยอมรับว่าจะให้เห็นตรงกันไม่ได้ เช่น อยากไล่ผมออกจากตำแหน่ง ความเห็นย่อมไม่ตรงกันแน่นอนเพราะผมยืนยันว่าจะทำงานต่อไป"

 

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ทั่วไปและผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน พบว่ายังอยู่ในสถานการณ์ที่รัฐบาลยังทำงานได้ และหลายฝ่ายก็มองว่าเสถียรภาพของบ้านเมืองไม่ได้มีปัญหาอะไร รัฐบาลพยายามไม่เข้าไปอยู่ในวังวนแห่งความแตกแยก จึงไม่ไปต่อปากต่อคำ หรือต่อล้อต่อเถียง ที่ผ่านมาการนโยบายและการปฏิบัติก็เดินหน้าไปได้กับคนส่วนใหญ่ ไม่ได้มีปัญหา ส่วนคนอีกส่วนที่ยังมีความข้องใจ รัฐบาลก็พยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เขากังวลไม่เป็นจริง และให้ความสำคัญกับข้อเรียกร้องต่างๆ

 

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าความแตกแยกระหว่างคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงนั้น ดำรงมาหลายปีแล้ว เพียงแต่ในรอบปีที่ผ่านมามีความรุนแรงมากขึ้นถึงขั้นปะทะกันและมีการทำผิดกฎหมาย รัฐบาลจะไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นอีก แต่ก็เคารพในสิทธิเสรีภาพของทุกสี เมื่อถามว่า ดูเหมือนรัฐบาลจะไม่เด็ดขาดกับการแก้ไขปัญหาต่างๆ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ความเด็ดขาดไม่ได้มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องความผิดคดีอาญาที่การสืบสวนสอบสวนหรือส่งฟ้องจะต้องไม่มีข้อสงสัย หากการใช้ความเด็ดขาดถูกตีความว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ก็จะยิ่งจะเป็นการไปเติมเชื้อและนำไปสู่ความขัดแย้งได้

 

เมื่อถามว่า มั่นใจว่ารับมือความเคลื่อนไหวต่างๆ โดยเฉพาะแผนตากสินได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "มั่นใจว่ารับมือได้ เพราะผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศเดินหน้า ใครที่พยายามฉุดรั้งบ้านเมืองจะไม่ได้รับการสนับสนุน"

 

 

รมต.กลาโหม ชี้ให้ทักษิณรับผิดชอบคำพูดตัวเอง

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึง พ.ต.ท.ทักษิณกรณีโฟนอินว่า เรื่องตัวบุคคลต้องว่าต่อไป เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณกล้าเอ่ยนามยืนยันแสดงว่าคงจะรู้อะไร และต้องรับผิดชอบในคำพูด ประชาชนจะต้องรู้และมีวิจารณญาณว่าอะไรที่ควรจะเชื่อ และอะไรที่ไม่ควรเชื่อ ขณะนี้ประเทศต้องเดินไปข้างหน้า รัฐบาลพยายามจะแก้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีพยายามทำงานหนักอยู่แล้ว

 

เมื่อถามถึงการตรวจสอบแผนตากสินที่จะล้มรัฐบาล พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า อย่าให้ต้องวิจารณ์เพราะไม่รู้ว่าใครเขียน ต้องดูว่าเป็นไปตามนั้นหรือไม่ เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยออกมาโต้ว่าฝ่ายความมั่นคงเป็นคนเขียนเองเพื่อของบประมาณไปใช้ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่จริง จะไปเขียนทำไม ไม่มีใครเขียน กองทัพมีกฎระเบียบชัดเจน ฝากสื่อช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมด้วย

 

 

"สาทิตย์" สั่งทุกหน่วยจับตาใกล้ชิด

ที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ดูการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณช่วงหลังมีความหมิ่นเหม่มากและยิ่งชัดเจนเมื่อมีเจตนาพาดพิงสถาบันมากขึ้น โดยเฉพาะการระบุชื่อองคมนตรี และคนในกระบวนการยุติธรรม การพูดจาลักษณะนี้ต้องถามหาความรับผิดชอบของคนพูด สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดไม่ใช่เสียหายเฉพาะคนที่เอ่ยถึง แต่เสียหายถึงสถาบันด้วย และโพลก็ระบุชัดเจนว่าความนิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณตกต่ำลงมาก เชื่อว่าหน่วยงานต่างๆ จะเข้าดูการโฟนอินอย่างใกล้ชิด และระมัดระวัง เพราะประชาชนเริ่มวิตกกังวลมากขึ้นกับการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ รัฐบาลอยากลดดีกรีความรุนแรงหลีกเลี่ยงการปะทะทั้งหมด แต่ดูเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่หยุด จึงต้องพูดขอร้องบ่อยๆ จนคนส่วนหนึ่งเริ่มรู้สึกว่ารัฐบาลไม่เด็ดขาด แต่การเด็ดขาดต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย

 

ที่กระทรวงมหาดไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สั่งผู้ว่าราชการจังหวัดเข้มข้นติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุม ให้เน้นประชาสัมพันธ์บอกประชาชนว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเดินทางเข้ามา ทั้งเสียเวลาและค่าเดินทาง

 

 

"พล.อ.สรรเสริญ" โฟนอินชี้ชิงพื้นที่ข่าวส่งผลลบต่อ "ทักษิณ" เอง

เวลา 18.00 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก แถลงถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณวิดีโอลิงค์พาดพิงกองทัพว่าเข้าไปเกี่ยวข้องการลอบสังหารและการปฏิวัติวันที่ 19 กันยายน 2549 ว่า ทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน เรื่องคดีลอบสังหารเป็นเรื่องตำรวจต้องหาข้อเท็จจริง ขณะนี้ทุกคนติดตามกันอยู่ และกองทัพไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนเรื่องการปฏิรูปการปกครอง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. เคยชี้แจงแล้วว่าคิดกับฝ่ายเสธ.ของท่านเพียง 2-3 คนเท่านั้น ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ดังนั้น 2 เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน

 

"การโฟนอินเป็นการแย่งชิงพื้นที่ข่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งท่านทำได้ แต่ต้องมองว่าสิ่งที่ปรากฏออกมาประชาชนได้รับทราบข้อมูลแล้ว มีความคิดเห็นอย่างไร มุมมองของกองทัพมองว่าน่าจะส่งผลในทางลบต่อตัวท่านเองมากกว่าเพราะขัดกับข้อเท็จจริง ผมไม่อยากให้ไปดูหมิ่นความคิดเห็นของประชาชน แต่นานวันเมื่อข้อมูลมีมากขึ้นประชาชนจะสามารถวิเคราะห์ได้เองว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร"

 

 

ป้อง "ป๊อก" - "แอ๊ด" ไม่เกี่ยวปฏิวัติ

พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า กองทัพไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร ซึ่ง พล.อ.พัลลภ ก็พูดเองว่าไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ เป็นการผูกโยงกันเอง ลองคิดง่ายๆ ว่า การลอบสังหารกับการปฏิรูปการปกครองสิ่งไหนง่ายกว่ากัน กองทัพไม่เคยมีความคิดลอบสังหารไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด ขอยืนยันว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางแผนการปฏิวัติ ยืนยันได้ 100% ว่า ผบ.ทบ.ไม่เคยมีการพูดคุยกันเรื่องวางแผนปฏิวัติกับ พล.อ.สุรยุทธ์

 

เมื่อถามว่า พล.อ.อนุพงษ์จะดำเนินการอย่างไรกับสิ่งที่ถูกพาดพิง พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ต้องตรวจสอบ แต่หากจะมุ่งแต่เรื่องคดีความคงไม่เกิดประโยชน์อะไร หลายคนพยายามผูกโยงกองทัพกับเรื่องการเมือง ทุกฝ่ายต้องใช้วิจารณญาณ และความอดทน และอยากฝากวิงวอนว่าวันนี้บ้านเมืองต้องการความรัก ความสามัคคีให้มากในช่วงที่ยังอยู่ในช่วงวิกฤต ถ้าทุกคนพยายามพูดไปในทิศทางที่สร้างสรรค์ อย่างน้อยก็มีส่วนทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

 

 

ผบ.ทบ.ไม่กลัวคำขู่-สั่งทุกหน่วยเต็มที่

"สำหรับแผนตากสิน ผบ.ทบ.ได้ให้ฝ่ายเสนาธิการไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้วว่าสอดคล้องหรือเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ผบ.ทบ.สั่งการกำชับกับทุกหน่วยว่าขอให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่บนพื้นฐานของการดูแลความมั่นคงและผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่ ผบ.ทบ.ยังไม่ได้ยอมรับว่ามีแผนตากสิน"

 

พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น กองทัพไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ ทหารคงปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม และใช้แผนเดิม เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณขู่จะนำเอกสารลับมาเปิดเผย โดยเฉพาะการที่ทหารเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ไม่ว่าจะถามตน ผบ.ทบ. หรือนักการเมืองที่ได้มาปรึกษาหารือกับท่าน ทุกคนต้องตอบแบบนี้ ข้อเท็จจริงพิสูจน์ได้อยู่แล้ว ยืนยันได้ว่าไม่มีคลิปวิดีโอในการสนทนาหารือในการจัดตั้งรัฐบาล และ ผบ.ทบ.ไม่ใช่คนมีบาดแผล จึงไม่ต้องกลัวคำขู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ

 

 

คำนูญอ้าง "องคมนตรี" ลำบากชี้แจงเองไม่ได้ ฐานภาพทางกฎหมายต่ำกว่าตำรวจจราจร

วานนี้ เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ยังเสนอข่าว นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.ระบบสรรหา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามมาตรการการบังคับใช้กฎหมาย และมาตรการอื่นในการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา กล่าวถึงการปราศรัยผ่านระบบวิดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อหน้าการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และเผยแพร่ไปทั่วประเทศผ่านช่องทางต่างๆ เมื่อคืนวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า ในส่วนของเนื้อหาโดยรวมทั้งหมดนั้นไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ แต่จะขอเรียกร้องรัฐบาลให้ใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าจะปกป้อง องคมนตรีอย่างไร เพราะเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความองคมนตรีโดยชัดเจน สมควรมีการชี้แจง หรือดำเนินมาตรการอื่นที่จำเป็นแทนองคมนตรีอย่างไรหรือไม่ เพราะเป็นเวลาเกือบ 3 ปีมาแล้วที่องคมนตรีหลายท่าน โดยเฉพาะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ถูกกระทำย่ำยีจากคนกลุ่มหนึ่งทั้งทางวาจา ข้อเขียน รวมทั้งเดินขบวนไปก่อความไม่สงบบริเวณหน้าที่พัก โดยท่านไม่อาจชี้แจงความจริงตอบโต้ได้ เนื่องจากต้องรักษาฐานภาพของความเป็นคณะที่ปรึกษาพระมหากษัตริย์ตามรัฐ ธรรมนูญ การชี้แจงความใดๆ ด้วยตัวเองอาจถูกมองว่าเข้าข่ายแสดงความเป็นฝักฝ่ายทางการเมือง หรือนำตนเข้ามาเป็นคู่กรณีในทางการเมือง

 

"ฐานภาพทางกฎหมายขององคมนตรี บ้านเมืองปกป้องอะไรท่านไม่ได้เลย เพราะไม่ได้มีฐานภาพเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ไม่ต้องพูดถึงศาลยุติธรรมที่กฎหมายปกป้องนะ อยากจะเปรียบเทียบว่าฐานภาพขององคมนตรีต่ำกว่าตำรวจจราจรที่เป่านกหวีดอยู่ กลางถนนเสียอีก เพราะคนเหล่านั้นยังมีฐานภาพเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หากถูกดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาท ก็มีบทกำหนดโทษโดยเฉพาะแตกต่างจากบุคคลธรรมดา แต่องคมนตรีไม่มี หากอยากจะฟ้องหมิ่นประมาท ก็ต้องฟ้องเองเหมือนบุคคลธรรมดา"

 

 

ม.112 ไม่ปกป้ององคมนตรี สนช. เคยคิดแก้ กม. ยกให้เหนือกว่าบุคคลธรรมดา

นายคำนูณกล่าวว่า บทบัญญัติตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา ก็ปกป้องเฉพาะพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระรัชทายาทเท่านั้น หากจะมีเพิ่มเติมก็คือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่ได้มีการปกป้ององคมนตรี ในสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติเคยมีการหารือกันว่าสมควรหามาตรการในการปกป้อง องคมนตรีอย่างไร หรือไม่ ก็เห็นพ้องกันว่าไม่ควรไปแตะมาตรา 112 เด็ดขาด เพราะองคมนตรีเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ใช่พระบรมวงศานุวงศ์ แต่ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาพระมหากษัตริย์ โดยรัฐธรรมนูญถวายเป็นพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งได้ตามพระราช อัธยาศัย ก็ควรมีหนทางรักษาเกียรติขององคมนตรีไว้บ้าง ซึ่งในมุมหนึ่งก็เสมือนเป็นการรักษาพระเกียรติและพระราชอำนาจที่รัฐธรรมนูญ ถวายให้พระองค์ไว้ นายวิษณุ เครืองาม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในขณะนั้น ได้เสนอทางออกไว้ประการหนึ่งว่าอาจทำได้โดยการแก้ไขให้องคมนตรีเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เพื่อให้มีฐานภาพทางกฎหมายเหนือกว่าบุคคลธรรมดาระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากเป็นปลายสมัย สนช. จึงไม่ได้มีการดำเนินการผลักดันเป็นรูปธรรมอะไร นอกจากอยู่ในรายงานของคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นเท่านั้น

 

"ควรเข้าใจว่า องคมนตรีปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนของพระมหากษัตริย์ในงานต่างๆ อยู่เป็นปกติ การจะปกป้องท่านเพียงโดยการบัญญัติให้เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ไม่น่าจะเกินเลย เพราะก็แค่ให้เทียบเท่าเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยขณะปฏิบัติราชการเท่า นั้น ไม่ใช่จะไปยกฐานะบุคคลธรรมดาคณะหนึ่งให้มีฐานภาพพิเศษ แตะต้องไม่ได้ เหมือนที่คนบางกลุ่มกล่าวหาโจมตี"

 

 

จะให้องคมนตรีตอบโต้ผ่านสื่อทุกครั้งหรือ

นายคำนูณยังได้กล่าวถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ถูกโจมตีมาโดยตลอดว่า ไม่เพียงแต่เป็นประธานองคมนตรี เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้การยกย่องอย่างสูงในฐานะที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต แต่ยังได้รับพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งให้เป็นรัฐบุรุษ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2531 โดยในพระบรมราชโองการนั้นทรงระบุไว้ชัดเจนว่าเนื่องจากเป็นบุคคลที่เคยรับ ราชการสนองพระเดชพระคุณมาก่อน ทั้งด้านการทหาร และการบริหารราชการแผ่นดิน มีความรู้ความสามารถในการบริหารบ้านเมืองและได้ปฏิบัติหน้าที่โดยซื่อสัตย์ สุจริตมาโดยตลอด แล้วคนไทยจะไม่ให้เกียรติท่านโดยการบัญญัติให้ท่านมีฐานะพิเศษกว่าบุคคล ธรรมดาเพียงเล็กน้อย แค่พอไม่ให้ต้องเดินขึ้นโรงพักแจ้งความเอง ไม่ได้เลยหรือ

 

อย่างไรก็ตาม นายคำนูณไม่เห็นด้วยต่อการที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่าประชาชนจะรู้ได้เองว่าอะไรเป็นอะไร และเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องใช้วิจารณญาณ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจะไม่ตอบโต้ไม่ชี้แจงความจริงแทน เพราะความเท็จนั้นถ้าพูดบ่อยครั้งผ่านสื่อ โดยไม่มีผู้ใดออกมาชี้แจงความจริงตอบโต้ นานวันเข้าคนอาจจะเชื่อว่าความเท็จนั้นเป็นความจริง เพราะไปเชื่อในตรรกะง่ายๆ ว่าถ้ามันไม่จริงคงมีคนออกมาตอบโต้ชี้แจงความจริงแล้ว การไม่มีคนออกมาตอบโต้ชี้แจงความจริงแทนแสดงว่าความเท็จนั้นคือความจริง

 

"จะให้ พล.อ.สุรยุทธ์ (จุลานนท์) กับท่านชาญชัย (ลิขิตจิตถะ) หรือป๋าเปรม ท่านออกมาให้สัมภาษณ์สื่อตอบโต้ทุกครั้งที่มีคนพูดความเท็จเกี่ยวกับตัวท่านหรือ และระบบของเราก็ไม่มีโฆษกประจำสำนักองคมนตรี มีแต่ พล.ร.ท.พะจุณ ตามประทีปที่ก็เป็นเพียงหัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรีเท่านั้น ไม่มีหน้าที่โดยตรง ผมเห็นว่าประชาชนจะใช้วิจารณญาณได้ ก็ต่อเมื่อได้รับข้อมูลอย่างรอบด้านเท่านั้น ความจริงต้องแก้ด้วยความจริง ไม่ใช่ด้วยความเงียบ"

 

นายคำนูณเห็นว่า ในระยะสั้นรัฐบาลจะต้องทำหน้าที่ชี้แจงตอบโต้ประเด็นที่มีความแหลมคมแทน องคมนตรี หากไม่แน่ใจ สมควรหารือกับคณะองคมนตรีก่อน ส่วนในระยะกลาง และระยะยาว จะพิจารณาแก้ไขให้องคมนตรีมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หรือโดยมาตรการอื่นอย่างไรหรือไม่ ก็สุดแท้แต่รัฐบาลจะเร่งใช้วิจารณญาณ แต่ไม่ควรนิ่งเฉย

 

 

 

 

เรียบเรียงบางส่วนจาก: มติชน เดลินิวส์ และเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท