ในโลกที่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจรุดหน้าอย่างมาก ทำให้ความเข้าใจของคนทั่วไปยังเชื่อว่า โลกจะสามารถเอาชนะความยากจน หรืออย่างน้อยก็น่าจะยกระดับสาธารณสุขที่ย่ำแย่ให้ดีขึ้นได้ แต่นั่นเป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อที่ยังดูห่างไกลจากความเป็นจริง ในขณะที่คนจนไม่ว่าอยู่มุมไหนของโลกยากจนลง สถานการณ์สาธารณสุขที่หวังนวัตกรรมใหม่ๆมาช่วยแก้ปัญหา โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา และย่านคนจนในประเทศพัฒนาแล้วกลับเสื่อมถอยในระดับที่เลวร้ายกว่าเดิม ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเอชไอวี/เอดส์ และโรคติดเชื้อบังเกิดใหม่อื่นๆ รวมถึงโรคไม่ติดต่อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น
25 ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีอัตราเร่งสูง ชั่วเวลาเพียง ๒๕ ปี คอมพิวเตอร์พีซีก็ถือกำเนิดขึ้น เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ พันธุวิศวกรรมเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ได้รับการเกื้อหนุนจากการปฏิวัติด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอินเตอร์เนทนับเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่จะนำไปสู่การสร้างเสริมสุขภาพมนุษย์ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกภายใต้การนำขององค์กรโลกบาลต่างๆ โดยเฉพาะ คู่แฝดสถาบันแบรดตัน วูด อย่างธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ก็มุ่งเน้นปรัชญาเสรีนิยมใหม่ ที่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า "ตลาด" จะเป็นตัวผลักดันทุกอย่างทั้งการแก้ปัญหา และความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงของโลกกลับสะท้อนภาพที่ต่างออกไป
การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของโรค
ในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเกิดขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจของโลกและเทคโนโลยีต่างๆ เราก็พบว่ามีการระบาดของเอชไอวี/เอดส์เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ซึ่งผสมโรงด้วยการกลับมาใหม่ของวัณโรค และโรคมาลาเรีย ในประเทศกำลังพัฒนาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีตัวชี้วัดหลายตัวที่แสดงผลกระทบของแนวโน้มเหล่านี้ เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อ อัตราการระบาด แต่ก็ไม่มีตัวชี้วัดใดที่เห็นได้ชัดเท่าอายุของประชาชนในประเทศที่ได้รับผลกระทบลดต่ำลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะประเทศต่างๆในแอฟริกาและยุโรปตะวันออกที่อัตราตายในผู้ใหญ่เพิ่มขึ้น อัตราการตายในช่วงอายุระหว่าง 15 ถึง 60 ปีในแอฟริกาก็ถีบตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1990 ทั้งเพศชายและเพศหญิง ส่วนใหญ่เนื่องมาจากเอชไอวี/เอดส์ ขณะที่ส่วนอื่นๆของโลก (ยกเว้นยุโรปตะวันออก) นั้น อัตราตายยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
ทั้งๆที่ โรคเหล่านี้ เป็นโรคที่สามารถรักษาหายได้ แต่จากตัวเลขในปี 2004 มีผู้ติดเชื้อ 40 ล้านคนทั่วโลก และตายมากกว่า 3 ล้านคนต่อปี และดูเหมือนโลกไม่มีปัญญาหยุดยั้งตัวเลขนี้ ความก้าวหน้าในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของวัณโรคก็แทบจะไม่ดีไปกว่ากัน ถึงแม้ว่าจะกำลังดำเนินการอย่างกว้างขวางในแอฟริกาเหนือ เอเชียตะวันตก ละตินอเมริกาและแถบคาริบเบียน แต่ก็ยังมีผู้คนล้มตายด้วยวัณโรคถึงปีละ 2 ล้านคน หลายคนเป็นผลมาจากการติดเชื้อฉวยโอกาสเนื่องจากมีเชื้อเอชไอวี สำหรับมาลาเรียนั้น หนทางวิบากยังอีกยาวไกลที่จะบรรลุเป้าหมายในการจัดการกับปัญหา ท่ามกลางการระบาดของเชื้อดื้อยาและปัจจัยอื่นๆ
เราเรียกโรคกลุ่มนี้ว่า โรคของความจน (เช่น โรคติดต่อ, โรคที่เกี่ยวกับแม่, โรคที่เกิดขณะคลอด และโรคทางโภชนาการ) มีอยู่มากกว่าร้อยละ 50 ของภาระโรคในประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำ ซึ่งตัวเลขนี้สูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วถึงเกือบสิบเท่า แต่จากการคาดการณ์ขององค์การอนามัยโลก ชี้ว่า ภาระโรคในปี 2015 คนจนจะต้องผจญกับโรคที่ไม่ติดต่อทับถมใส่บ่าลงไปอีก
ในทุกๆปี จะมีแม่ที่ต้องเสียชีวิต 529,000 ราย และมีทารกคลอดเสียชีวิตทันทีไม่น้อยกว่า 3.3 ล้านราย อีก 4 ล้านรายตายภายใน 28 ชั่วโมงหลังคลอด และอีก 6.6 ล้านรายตายก่อนครบรอบวันเกิด 5 ขวบ
ในปัจจุบัน คนไข้มาลาเรียร้อยละ 58 อยู่ในประเทศที่ยากจนที่สุดที่คิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั่วโลก คิดเป็นสัดส่วนแล้ว มากกว่าโรคอื่นๆที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศกำลังพัฒนา และในกลุ่มคนจนนั้น โรคยอดฮิตก็คือ โรคเด็กและโรคในหญิงตั้งครรภ์
ในขณะที่ ไวรัสโรต้า (Rotavirus) เป็นสาเหตุของโรคท้องเสียธรรมดาที่สุดในเด็กทั่วโลก แต่ร้อยละ 82 ของเด็กที่ตายด้วยไวรัสโรต้าทั้งหมดอยู่ในกลุ่มประเทศยากจนที่สุดในโลก ยิ่งไปกว่านั้น ร้อยละ 80 ของคนไข้มะเร็งปากมดลูกอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งในกลุ่มประเทศเหล่านี้นั้น มะเร็งปากมดลูกเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงตายมากที่สุดในบรรดามะเร็งทั้งหมด แต่มีการประมาณการว่า มีผู้หญิงเพียงร้อยละ 5 ในประเทศกำลังพัฒนาเท่านั้นที่ได้รับการตรวจคัดกรองค้นหาเนื้องอกปากมดลูก( Cervical dysphasia) เมื่อเทียบกับผู้หญิงในประเทศพัฒนาแล้วที่ได้รับการตรวจคัดกรองถึงร้อยละ 40-50
สภาพความแตกต่างที่เป็นอยู่มีลักษณะที่ใกล้เคียงเมื่อดูในประเทศที่ร่ำรวยมากๆ ก็ยังมีกลุ่มคนที่มีสภาพย่ำแย่กว่าคนอื่นๆอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา ความแตกต่างระหว่าง ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและชาวอเมริกันเชื้อสายสเปน หรือที่เรียกว่า ฮิสปานิค เมื่อเทียบกับชาวอเมริกันเชื้อสายยุโรป หรือความแตกต่างระหว่างคนผิวขาว และชาวอะบอริจินในออสเตรเลีย
แสดงว่า ไม่มีข้อสงสัยเลย ว่ามีองค์ความรู้ด้านวิชาการที่สามารถใช้แก้ปัญหาสาธารณสุขเหล่านี้ได้ เพราะมีคนบางกลุ่มที่ได้รับการรักษา แล้วปัญหาคืออะไร ทำไมโรคจึงยังคงระบาดในคนบางกลุ่ม
เรียบเรียงจาก
- Infections and Inequality: The Modern Plagues โดย Paul Farmer, 1999.
- Pathologies of Power: Health, Human Rights, and the New War on Poor โดย Paul Farmer, 2005.
- Public Health Innovation and Intellectual Property Right โดย คณะกรรมาธิการนวัตกรรมด้านทรัพย์สินทางปัญญา และการสาธารณสุข ของ องค์การอนามัยโลก, เมษายน 2006
- 25 ข่าวที่ไม่เป็นข่าว, นิตยสาร a day weekly ฉบับที่ 23, 22-28 ตุลาคม 2547
รายงานชุด ‘Power & Health’
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (1) ความฝัน กับ ความจริง ในสถานการณ์ปัจจุบัน
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (2) เมื่อโลกร่ำรวยยา แต่คนจนทั่วหล้าร่ำรวยโรค
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (3) ความจริงจากพื้นที่ สงครามรูปแบบใหม่สำหรับคนชายขอบ
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (4) เข้าใจโครงสร้างบิดเบี้ยว ก่อนชี้นิ้วการระบาดของโรคไปที่ “แพะ”
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (5) เอชไอวีกับผู้ไร้อำนาจ ชะตากรรมของผู้หญิงในหุบเหวความจน
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (6) ‘พวกคนป่วย’ ที่ยอมไม่ทำตามคำแนะนำแพทย์ !
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (7) เอดส์กับโครงการพัฒนา-อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ตัวอย่างน่าเศร้าของ ‘เฮติ’
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (8) เสรีนิยมใหม่ กับ โรคภัยไข้เจ็บ
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (9) การแทรกแซงของมหาอำนาจ และการเกิดโรคใน ‘เฮติ’
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (10) “ไม่มีโครงการสาธารณสุขที่ไม่หวังผลกำไรในโลกสมัยใหม่อีกแล้ว”
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (11) คำประกาศ ‘Tavistock’ แพทย์ที่กล้าทวนกระแส!
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (12) ถึงเวลาต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์เรื่อง ‘สุขภาพ’ และ ‘สิทธิมนุษยชน’
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)