Skip to main content
sharethis

มือมืดโรยเรือใบทางเข้าสุวรรณภูมิ


สำหรับบรรยากาศการชุมนุมที่อาคารผู้โดยสาร สนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่คืนวันที่ 30 พ.ย. ต่อเนื่องเข้า สู่เช้าวันที่ 1 ธ.ค. ยังมีการดูแลความปลอดภัย และระมัดระวัง การเข้าสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด แต่บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายไม่มีความตึงเครียดเหมือนเมื่อ 2 วันก่อน ขณะที่บนเวทีมีการประกาศว่า มีผู้พยายามเข้ามาก่อกวนการ์ดอาสาบริเวณพื้นที่รอบนอกสนามบิน และมีคนนำตะปูเรือใบมาโรยไว้บนถนนมอเตอร์เวย์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ เมื่อเวลาตี 2 คืนวันที่ 1 ธ.ค. เนื่องจากมีรถของผู้ชุมนุมหลายคนที่เดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิถูกตะปูเรือใบยางรั่วประมาณ 10 คัน บางคัน โดนทั้ง 4 ล้อ ต้องใช้ไปลากกลับเข้ามาที่สนามบิน


 


นักข่าวฮ่องกงเจอเหตุระทึกขวัญ


ในเวลา 00.30 น. ขณะที่นายเบน กั๊วะ โปรดิวเซอร์ ข่าวสถานีวิทยุโทรทัศน์เอทีวีนิวส์ของฮ่องกง ประจำประเทศไทย  นั่งรถแท็กซี่ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ  เพื่อกลับบ้านที่ย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่  ถูกกลุ่มชายชุดดำขับรถแท็กซี่ตามประกบให้จอด  พร้อมชักปืนขู่ถามคนขับ รถแท็กซี่ของนายเบนว่า เข้ามารับผู้โดยสารในสนามบินสุวรรณภูมิได้อย่างไร สร้างความตกใจให้นายเบนเป็นอย่าง มาก นายเบนกล่าวว่า หลังเสร็จภารกิจการทำข่าว ได้เดินไปเรียกรถแท็กซี่บริเวณด้านหน้าโรงแรมโนโวเทล ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ  เมื่อรถแล่นไปถึงบริเวณด้านหน้าคลังสินค้า สังเกตเห็นถนนฝั่งตรงข้ามมีรถแท็กซี่จอดอยู่ จำนวนหนึ่ง สังเกตเห็นมีกลุ่มคนมองมายังรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่ รู้สึกทันทีว่าอาจจะมีปัญหา  จากนั้นก็มีรถแท็กซี่สีชมพูปิดไฟหน้ารถแล่นตามมา  แล้วขับปาดหน้าบังคับให้จอด เมื่อรถจอดสนิทมีชายชุดดำใช้ผ้าคลุมหน้าสีดำจำนวน 4 คน ลงจากรถ จากนั้นชายคนที่นั่งหน้ารถได้ชักอาวุธ ปืนขึ้นมาจ่อหัวคนขับรถแท็กซี่  ส่วนคนที่เหลือตรงเข้าเปิดประตูทุกบาน จึงรีบแสดงตัวว่าเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ชายกลุ่มดังกล่าวจึงให้ออกจากรถเดินหนีไป ชีวิตทำงาน ข่าวมากว่า 20 ปี ในหลายประเทศ ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ทั้งที่รู้สึกว่าเหตุการณ์ในไทยขณะนี้ไม่ได้รุนแรงมากไปกว่าต่างประเทศเท่าไร แต่สถานการณ์ขณะนี้ยังประเมินไม่ได้ว่าบทสรุปจะออกมาในรูปแบบใด


 


การ์ดโหดไล่ตื้บหนุ่มแฝงตัวเป็นการ์ด


เวลา 10.30 น. ระหว่างการ์ดพันธมิตรฯ กำลังเดินลาดตระเวนด้านหลังโรงแรมโนโวเทล ได้รับแจ้งว่ามีชายต้องสงสัย สวมเสื้อยืดคอปกสีขาว กางเกงยีนส์ ผูกผ้าพันคอกู้ชาติสีเหลือง แฝงตัวมาเป็นการ์ดบริเวณสะพานทางขึ้น สู่อาคารผู้โดยสาร จึงสั่งระดมไล่ล่าจับตัวกันยกใหญ่ ซึ่งชายคนดังกล่าวได้วิ่งหนีการ์ดพันธมิตรฯที่ถือท่อนไม้และเหล็กไล่ล่าอย่างสุดชีวิต ตั้งแต่จุดตรวจสกัดของการ์ดพันธมิตรฯด้านหลังโรงแรมโนโวเทล จนถึงด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร ก่อนสะดุดล้มลงด้านหน้าร้านนัดเจอ บริเวณประตู 1 อาคารผู้โดยสาร จึงถูกการ์ดพันธมิตรฯจับล็อกแขนทั้ง 2 ข้าง และทำร้ายร่างกายก่อนจะนำตัวออกไปสอบสวน ขณะที่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศรายหนึ่ง เห็นเหตุการณ์ จึงบันทึกภาพเอาไว้ แต่ถูกการ์ดพันธมิตรฯกระชากกล้องและลบภาพพร้อมไล่ออกจากบริเวณดังกล่าว (ดูคลิปที่นี่)


 


ไม่พอใจสรยุทธม็อบขู่บุกช่อง 3


ในช่วงเช้าวันเดียวกัน น.ส.อัญชลี ไพรีรักษ์ ผู้ดำเนินรายการของเอเอสทีวี ได้จัดรายการข่าวยามเช้า ถ่ายทอดออกอากาศจากเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาลและในรายการที่ถ่ายทอดมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีการแสดงความไม่พอใจ กรณีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 นำข่าวจากสื่อมวลชนมาอ่านในรายการ ถึงการยึดสนามบินสุวรรณภูมิว่า ทำให้เกิดความเดือดร้อนเสียหาย สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ชุมนุมเป็นอย่างมาก โดยมีการขู่ว่าอาจจะยกขบวนไปดาวกระจายที่หน้าสถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 ทำให้บรรยากาศการทำงานของสื่อมวลชน ในสนามบินสุวรรณภูมิที่มักถูกคุกคามจากการ์ดพันธมิตรฯและกลุ่มผู้ชุมนุม เกิดความตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะช่างภาพของช่อง3 ได้แกะโลโก้ช่อง 3 ออกจากตัวกล้อง เพราะหวั่นไม่มีความปลอดภัย แต่ก็ยังถูกกลุ่มการ์ดจ้องจับผิดว่า เป็นนักข่าวเอ็นบีทีแฝงตัวเข้ามา ขณะที่ช่างภาพจากหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ได้ย้ายไปอยู่ที่บริเวณชั้น 6 อาคารจอดรถหน้าอาคารผู้โดยสาร เมื่อจะบันทึกเหตุการณ์จะใช้วิธีเกาะกลุ่มไปพร้อมๆกันเพื่อความปลอดภัย


 


การ์ดตรวจเข้มผู้เข้าร่วมชุมนุม


ในส่วนบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ดอนเมือง เมื่อช่วงเช้าวันที่ 1 ธ.ค. ไม่ค่อยคึกคักเนื่องจากเป็นวันทำงาน ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เดินทางกลับไปทำงานและจะเข้ามาชุมนุมในช่วงเย็น ผู้ชุมนุมซึ่งมีอยู่บางตานั่งฟังการถ่ายทอดคำปราศรัยของแกนนำ ที่ส่งสัญญาณมาจากเวทีใหญ่ทำเนียบรัฐบาล บางส่วนอ่อนล้า เพราะต้องเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณรอบพื้นที่ตลอดทั้งคืน ภายหลังจากมีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาสลายการชุมนุม ได้ใช้เวลาดังกล่าวพักผ่อนนอนหลับอยู่ในอาคารผู้โดยสารขาเข้าในประเทศ ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยนั้น การ์ดพันธมิตรฯยังคงตรวจเข้มผู้ที่จะเข้ามา ภายในที่ชุมนุม โดยได้ตั้งด่านตรวจค้นถึง 3 ชั้น ก่อนที่จะเข้าสู่พื้นที่ชุมนุม อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้า การ์ดพันธมิตรฯได้ควบคุมตัวชายผู้ต้องสงสัยแฝงเข้ามาร่วมกับผู้ชุมนุม โดยแสร้งเป็นสติไม่สมประกอบ เข้ามาชักชวนให้เลิกชุมนุมและเดินทางกลับ ก่อนที่การ์ดจะควบคุมตัวไปสอบสวนและปล่อยตัวออกไปนอกพื้นที่



รัว 4 นัดป่วนพันธมิตรฯ ดอนเมือง


ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลาประมาณ 00.20 น. วันเดียวกันได้มีเสียงปืนดังขึ้น 4 นัด จากถนนวิภาวดีรังสิต ด้านนอกอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ จุดที่กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมกันอยู่ จากการสอบถามการ์ดอาสาซึ่งดูแลพื้นที่ใกล้กับเสียงปืนดังได้ความว่า เห็นรถแท็กซี่ไม่ทราบสีขับผ่านมา จากนั้นคนที่นั่งอยู่เบาะหลังได้ลดกระจกลงและยิงปืนออกมา แล้วหลบหนีไป หลังเกิดเหตุการ์ดอาสา ของพันธมิตรฯทั้งหมด ได้เฝ้าสังเกตการณ์พื้นที่บริเวณแนวรั้วด้านนอกสนามบินดอนเมืองอย่างใกล้ชิด แต่ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆเกิดขึ้น


 


ตร.ดอนเมืองตรวจจุดเหตุยิงป่วน


ในเวลา 10.30 น. พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ พรหมสวัสดิ์ ผกก.สน.ดอนเมือง และพนักงานสอบสวนอีก 6 นายเดินทางมาที่เกิดเหตุ  กรณีคนร้ายใช้อาวุธยิงเข้ามาที่บริเวณอาคารจอดรถผู้โดยสารภายในประเทศ ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของพันธมิตรฯ พบร่องรอยความเสียหายบริเวณเชิงสะพานทางลงอาคารดังกล่าวและบริเวณเสาใต้อาคาร โดยพบเศษหัวกระสุนปืนไม่ทราบขนาดตกอยู่ 1 หัว และเจ้าหน้าที่ได้เก็บเศษปูนที่ตกอยู่ไปตรวจสอบ พ.ต.อ. ณรงค์ฤทธิ์กล่าวว่า จากการสอบปากคำการ์ดพันธมิตรฯ ที่อยู่ในเหตุการณ์ทราบว่า  คนร้ายนั่งรถแท็กซี่สีชมพู ใช้เส้นทางถนนวิภาวดีฯขาเข้า จนมาถึงที่เกิดเหตุคนร้ายได้ลดกระจกลงก่อนชักปืนไม่ทราบขนาดยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมประมาณ 6-7 นัด ก่อนหลบหนีไป ซึ่งตำรวจจะนำหลักฐานไปตรวจสอบว่าเป็นอาวุธปืนชนิดใด และจะมาสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง ส่วนการักษาความปลอดภัยนั้น ได้สั่งการให้ตำรวจสายตรวจ 50-60 นายตั้งด่านตรวจและออกลาดตระเวน ร่วมกับการ์ดพันธมิตรฯรอบที่ชุมนุมเป็นการดูแลความปลอดภัย


 


ขอมติให้ ส.ส.ปชป.เลิกเป็นฝ่ายค้าน


สำหรับฐานที่มั่นแห่งแรกของการชุมนุมของพันธมิตรฯ คือที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมในเช้าวันที่ 1 ธ.ค. ว่า เป็นไปอย่างเงียบเหงา เนื่องจากผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไปอยู่ที่ดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ พวกที่เหลืออยู่จึงพากันนั่งๆนอนๆ ฟังการปราศรัยที่มีการถ่ายทอดมาจากสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนบนเวทีปราศรัยผู้ดำเนินรายการ มีการสอบถามประชามติจากผู้ชุมนุมว่า จะให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกจากการเป็นฝ่ายค้านเพื่อไม่ให้รัฐบาลได้ทำงานเต็มที่ ขณะที่ในวันนี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯงดแถลงข่าวประจำวัน


 


ย้ายผู้ชุมนุมทำเนียบฯ ไปสุวรรณภูมิ แต่ยังให้การ์ดคุม


ในเวลา 11.30 น. ทหารจากกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กว่า 50 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพฯ กว่า 100 คน นำรถน้ำ 5 คัน และรถบรรทุกขยะ 5 คัน มาทำความสะอาดถนนราชดำเนินและถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกลานพระบรมรูปทรงม้าถึงสะพานมัฆวานฯ และตั้งแต่แยกวังแดงจนถึงตรอกลิขิต พร้อมทั้งรื้อถอนเต็นท์ที่กางระเกะระกะอยู่ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีพิธีสวนสนามในวันที่ 2 ธันวาคม


 


ขณะเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ขึ้นประกาศบนเวทีปราศรัยว่า ให้ผู้ชุมนุมไปร่วมชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิและที่ทำเนียบชั่วคราวดอนเมือง โดยอ้างว่าการชุมนุมที่ทำเนียบฯช่วงกลางคืนนั้นไม่มีความปลอดภัย แต่กิจกรรมบนเวทีภายในทำเนียบฯ คงยังมีอยู่เช่นเดิมและยังย้ำว่าถ้าผู้ชุมนุมคนใดต้องการจะค้างในทำเนียบ ตนจะไม่รับรองความปลอดภัย อย่างไรก็ตามแม้จะมีการให้เคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมไปยังสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง แต่ พล.ต.จำลองได้ให้การ์ดพันธมิตรฯ รักษาความปลอดภัยบริเวณพื้นที่ชุมนุมภายใน ทำเนียบฯ และบริเวณโดยรอบอย่างเต็มที่


 


แฉ พธม. ยื่นเงื่อนไขแลกส่งคืนทำเนียบ


ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงการถอนการชุมนุมของพันธมิตรฯจากทำเนียบรัฐบาลว่า ก่อนถอนการชุมนุม พล.ต.จำลองได้ติดต่อยื่นข้อเสนอต่อปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี 2 ข้อ เพื่อแลกกับการถอนตัวออกจากพื้นที่คือ 1.ขอให้ถอนแจ้งความพันธมิตรฯในคดีบุกรุกทุกคดี 2.ขอให้งดเว้นเอาผิดทั้งคดีแพ่งและคดีอาญากรณีทำให้ทรัพย์สินเสียหาย


 


"การถอนการชุมนุมจากทำเนียบเป็นเหตุผลภายในของพันธมิตรฯเอง คือเรื่องความปลอดภัย และการแยกพื้นที่ชุมนุม 3 จุดทำให้แต่ละจุดมีคนไม่มาก ทรัพย์สินในทำเนียบไม่ใช่ของราชการหรือของรัฐบาล แต่เป็นของประชาชนทั้งประเทศ จึงอยากให้ประชาชนช่วยกันคิดว่าควรทำอย่างไรต่อข้อเสนอของพันธมิตรฯ" นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า ก่อนหน้านี้แกนนำยืนยันตลอดว่าพร้อมรับผิดชอบทุกกรณีทั้งทางแพ่งและอาญา แต่เมื่อยื่นเงื่อนไขมาอย่างนี้จึงไม่แน่ใจว่าจุดยืนเป็นอย่างไร เมื่อครั้งนี้ขอได้ ต่อไปเมื่อจะถอนการชุมนุมจากสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองก็คงยื่นเงื่อนไขเดียวกัน


 


จำลองรับยื่นเงื่อนไขถอนฟ้องจริง สุริยะใสพร้อมรับผิดชอบแต่ไม่มีจ่าย


พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยอมรับว่าได้แจ้งไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อไม่ให้เอาผิดกับผู้ชุมนุมจริง และหากต้องการได้ทำเนียบรัฐบาลคืนโดยเร็วก็ต้องทำหนังสือมาเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะมาเอาผิดและไม่คิดค่าเสียหาย เพราะการมาเรียกร้องครั้งนี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อชาติบ้านเมือง


 


"ถ้ามีการฟ้องแกนนำ 11 คนเรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้านบาทจริง และฟ้องเรียกค่าเสียหายที่สนามบินสุวรรณภูมิวันละ 123 ล้านบาท ให้มาคิดเอากับผม แต่บอกไว้ก่อนว่ามีแต่ตัวไม่มีอะไรจะให้" พล.ต.จำลองกล่าว


 


ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ แถลงว่า ได้ประสานไปยังหลายองค์กรเพื่อให้มาร่วมตรวจสอบพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลก่อนส่งคืนสำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนถ้ามีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายก็ไม่มีปัญหาเราพร้อมรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำ แต่คงไม่มีเงินจ่าย


 


โดยเช้ามืดวันนี้ผู้สื่อข่าวช่อง 9 อสมท. รายงานว่ารอบๆ ทำเนียบแม้จะมีการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมไปแล้ว แต่ยังมีการ์ดพันธมิตรรักษาการอยู่โดยรอบและไม่ยอมให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปในทำเนียบจนกว่าจะถึงตอนเช้า


 


พธม.ด่านักข่าวฉุนถูกโจมตีฝ่ายเดียว


เวลา 13.00 น. ผู้ชุมนุมจากสนามบินสุวรรณภูมิกว่า 100 คน ได้ตั้งแถวรอขึ้นรถเดินทางกลับไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อนำสัมภาระกลับมาปักหลักชุมนุมที่สุวรรณภูมิ เนื่องจากแกนนำได้ประกาศเตือนว่า ทำเนียบรัฐบาลเป็นพื้นที่ชุมนุมที่ไม่ปลอดภัยจึงไม่ควรนอนพักค้าง และขอให้ผู้ชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาลย้ายสถานที่ชุมนุมไปยังสนามบินสุวรรณภูมิหรือสนามบินดอนเมือง ขณะเดียวกันในเวลา 14.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาล ประมาณ 300 คน มีรถ 6 ล้อ ของกองทัพธรรมจำนวน 6 คัน นำมาส่ง โดยทั้งหมดเมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ต่างพากันเดินเข้าไปภายในอาคารหามุมปักหลักทันที ขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งเมื่อเห็นกลุ่มผู้สื่อข่าวที่รอรายงานข่าวอยู่ในบริเวณดังกล่าว ต่างรุมเข้าไปชี้หน้าด่ากลุ่มผู้สื่อข่าวว่า เป็นผู้สื่อข่าวภาคสนามรู้สึกละอายชาวต่างชาติบ้างไหม ทำไมไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือที่รายงานข่าวโจมตีพันธมิตรฯเพียงฝ่ายเดียว ไม่ยอมโจมตีฝั่ง นปช.บ้าง


 


แจกล็อกเกตหลวงตาบัว


ขณะที่สนามบินดอนเมือง  หลังจากที่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ หอบสัมภาระอุปกรณ์เครื่องนอนเดินทยอยเดินทางมาที่สนามบินดอนเมืองอย่างต่อเนื่อง ทำให้บรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบเหงากลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยพันธมิตรฯที่มาจากทำเนียบรัฐบาล ต่างพากันจับจองพื้นที่ทั้งในอาคารผู้โดยสารในประเทศ และที่หน้าเวทีปราศรัยใช้เป็นที่หลับนอน นอกจากนี้ที่บริเวณทางเข้าพื้นที่ชุมนุม การ์ดพันธมิตรฯ ได้นำล็อกเกตรูปหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ แห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี มาแจกให้กับผู้ชุมนุมให้ใช้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวและเป็นขวัญกำลังใจ


 


ใครลับๆ ล่อๆ เจอหนังสติ๊ก


แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ตั้งแต่ช่วงเช้ากระทั่งเย็น ไม่มีแกนนำพันธมิตรฯ อาทิ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ซึ่งได้รับมอบหมายจากที่ประชุมแกนนำ ให้เป็นตัวหลักรับผิดชอบดูแลพื้นที่สนามบินดอนเมือง ขึ้นกล่าวปราศรัยเหมือนเช่นทุกวัน มีเพียงนายสาวิต แก้วหวาน  แกนนำพันธมิตรฯรุ่น 2 คอยทำหน้าที่แทนเท่านั้น ในส่วนของมาตรการรักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ในช่วงกลางคืน ได้มีการวางมาตรการที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น นอกจากจะตรวจค้นผู้ที่เดินทางมาร่วมชุมนุมอย่างละเอียดแล้ว หลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป การ์ดพันธมิตรฯจะเฝ้าสังเกตการณ์รถยนต์และผู้คนที่ผ่านมาบริเวณถนนวิภาวดีฯ โดยเฉพาะรถแท็กซี่ ที่มาจอดรอรับผู้โดยสารที่ริมถนนวิภาวดีฯ หากเป็นที่สงสัยหรือทำตัวลับๆ ล่อๆ หรือมีท่าทางพิรุธ จะถูกการ์ดพันธมิตรฯ ใช้หนังสติ๊กยิงเข้าใส่ทันที เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น


 


เผยเป็นมติแกนนำให้ย้าย


เวลา 16.20 น. นายศิริชัย ไม้งาม แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 กล่าวว่า วันนี้แกนนำทั้งหมดประชุมกันที่บ้านพระอาทิตย์ เบื้องต้นมติแกนนำให้ย้ายที่ชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาล ไปสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะใช้เวลา 3-4 วัน จะคืนพื้นที่ให้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนสนามบินสุวรรณภูมิเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม จะพิจารณาตั้งเวทีใหญ่ปักหลักชุมนุมถาวร อย่างไรก็ตาม คงต้องปรับเรื่องการรักษาความปลอดภัย เพราะสถานที่กว้างขวาง มีประตูทางเข้าหลายทางวกวนเป็นใยแมงมุม ต้องวางมาตรการดูแลเต็มที่ ขณะนี้ได้นำเจ้าหน้าที่บริษัทการบินไทย และบริษัทร้านค้าที่อยู่อาคารผู้โดยสาร เข้ามาดูทรัพย์สินและสินค้าว่ายังอยู่ในสภาพเดิมทุกอย่าง ขณะเดียวกันได้รับแจ้งว่า กระเป๋าผู้โดยสารบริเวณรับฝากสัมภาระถูกงัดออกไป จึงให้การ์ดไปตรวจสอบ คาดว่าอาจเป็นฝีมือขบวนการหากิน ในสนามบินสุวรรณภูมิที่เคยเป็นข่าวไปก่อนที่พันธมิตรฯจะเข้ามาชุมนุม


 


ขอโทษแทนการ์ดที่คุกคามสื่อ


ผู้สื่อข่าวถามว่า หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค จะยุติการชุมนุมหรือไม่ นายศิริชัยกล่าวว่า การตัดสิน ของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เงื่อนไข ส่วนจะชุมนุมนานแค่ไหน ยังบอกไม่ได้ รู้หรือไม่ว่าชุมนุมกันมา 190 วัน พันธมิตรฯ แทบรากเลือด ไม่มีใครอยากมาชุมนุม แต่เพราะเรามีรัฐบาลไม่รับผิดชอบซึ่งการยึดสนามบิน เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ ไม่มีวิธีอื่น เป็นความจำเป็น นอกจากนี้ในส่วนของการพกพาอาวุธต้องมีบ้าง เพราะไว้ป้องกันตัว ไม่ใช่เช่นนั้นก็ต้องตกเป็นเหยื่อกระสุนกันตลอด อย่างไรก็ตามในส่วนของการคุกคามสื่อจะเน้นให้การ์ดดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่ และขอโทษด้วยหากมีการกระทบกระทั่งกัน


 


ตร.โปรยใบปลิวเตือนประชาชน


เวลา 17.00 น. เฮลิคอปเตอร์กองบินตำรวจ 1 ลำ ได้บินวนเหนืออาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ บริเวณที่กลุ่มพันธมิตรฯ ปักหลักชุมนุม บริเวณอาคารคลังสินค้า และบริเวณสะพานทางขึ้นอาคารผู้โดยสารที่มีการ์ดพันธมิตรฯ ตั้งด่านอยู่ โปรยใบปลิวประกาศขอความร่วมมือจากกลุ่มประชาชนที่ชุมนุมอยู่และที่จะเดินทางผ่านไปมาบริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้ระมัดระวังและขอให้ผู้ชุมนุม ทำการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ สำหรับผู้ไม่จำเป็น ให้หลีกเลี่ยงเส้นทางบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิและบริเวณใกล้เคียง เจ้าหน้าที่ตำรวจขอยืนยีนอีกครั้งว่า ไม่มีความประสงค์จะให้เกิดความรุนแรง ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และจะพยายามใช้ความประนีประนอมอย่างที่สุด เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนทุกคน ขอขอบคุณในความร่วมมือของพี่น้องประชาชนทุกท่าน ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 1 ธันวาคม 2551


 


คุกคามหนักสื่อวอล์กเอาต์


เวลา 19.00 น. กลุ่มสื่อมวลชนที่พันธมิตรฯ จัดพื้นที่ให้อยู่บริเวณโซน 7 อาคารผู้โดยสารขาออกชั้น 4 ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ได้พร้อมใจกันเดินไปปักหลักรอทำข่าวบริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เนื่องจากถูกการ์ดพันธมิตรฯคุกคามการทำงานตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาพูดจาข่มขู่ต่างๆนานา การถ่ายรูปสื่อมวลชนทุกคน รวมทั้งตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย โดยเฉพาะกรณีการ์ดพันธมิตรฯ รุมทำร้ายผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นกลุ่ม นปช. แฝงตัวเข้ามาชุมนุม ซึ่งสื่อมวลชนบันทึกภาพและทำข่าวส่งเข้าสำนักพิมพ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อแจ้งไปยังแกนนำที่อยู่บริเวณเวทีปราศรัยเคลื่อนที่ก็ไม่มีมาตรการดูแลความปลอดภัยที่ชัดเจน สื่อมวลชนจึงพร้อมใจกันออกมาให้พ้นพื้นที่ สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อความปลอดภัย


 


นักกีฬาไทยนอนรอขึ้นเครื่อง


ส่วนที่สนามบินอู่ตะเภา เมื่อเวลา 00.30 น. ยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติแน่นสนามบินรอเดินทางออก ขณะเดียวกัน มีเยาวชนชายหญิงกลุ่มใหญ่ ใส่เสื้อวอร์มมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษว่า "THAILAND" นอนเรียงรายอยู่ตามทางเดินหน้าอาคารที่พักผู้โดยสาร นายไตรรัตน์ วรัตน์หินเกิด ผู้ควบคุมทีมเปิดเผยว่า ทั้งหมดเป็นนักกีฬาว่ายน้ำและนักวิ่งทีมชาติไทยรวม 26 คน รอเดินทางไปแข่งขันว่ายน้ำและวิ่งระยะ 100, 200 และ 400 เมตร และประเภทวิ่งผลัด 4 คูณ 100, 200 และ 400 เมตรวันที่ 3 ธ.ค. ที่กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย แต่มีบางรายการโดยเฉพาะว่ายน้ำแข่งขันกันในวันที่ 1 และ 2 ธ.ค. ทำให้นักกีฬาไทยพลาดแข่งบางรายการไปแล้ว


 


ผู้ชุมนุมบางส่วนเริ่มถอนตัว


ที่ห้องประชุม สภ.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ.การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) และรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.คำรบ ปัญญาแก้ว รอง ผบช.ภ.1 ทำหน้าที่โฆษก บช.ภ.1 แถลงว่า มีข่าวดี คือมีกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนเริ่มออกจากสนามบิน จนจำนวนบางตาลง แม้ผู้ ชุมนุมจะถอยกลับไป แต่ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ เนื่องจากกฎการบิน หลังจากมีสถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ในสนามบิน เมื่อคลี่คลายได้ก็ต้องตรวจสอบความพร้อม ที่จะเปิดให้บริการจากกรมการขนส่งทางอากาศ ร่วมกับเจ้าหน้าที่สายการบินต่างประเทศ แต่ละสายการบินจนแน่ชัดว่าไม่มีอันตราย หากผลออกมาไม่มีความพร้อมก็ยังไม่สามารถเปิดได้ ขณะเดียวกัน หากกลุ่มผู้ชุมนุมสลายตัว แต่ยังมีบางคนไม่ออกไป แต่แอบอยู่ในสนามบิน จะให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการทันที


 


ใช้สันติวิธี-ระดม ตร. 4 พันตรึงกำลัง


ขณะที่ พล.ต.ต.คำรบ ปัญญาแก้ว ผบช.ภ.1 ในฐานะโฆษก บช.ภ.1 กล่าวว่า การเริ่มสลายตัวของผู้ชุมนุมถือเป็นเรื่องดีและยังเชื่อว่าจะลดลงไปเรื่อยๆ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังใช้กำลังจาก บช.ภ.1-4 บช.ตม. ตชด. และ บช.น. รวมกว่า 4 พันนาย สับเปลี่ยนตรึงกำลังและตั้งจุดสกัดทางเข้าออกรอบสนามบินจากถนนสายหลัก ป้องกันผู้ชุมนุมอื่นที่จะเข้ามาสมทบเพิ่มเติมหลังจากมีบางส่วนออกไป หากพบว่าพกพาอาวุธก็จะดำเนินการ ส่วนผู้ชุมนุมที่ยังอยู่ในสนามบินนั้น ยืนยันว่าจะใช้สันติวิธีเจรจาประนี ประนอมกับกลุ่มแกนนำ เพราะเชื่อว่าสามารถพูดคุยกันได้


 


"ปทีป" สลายม็อบขึ้นอยู่กับสถานการณ์


ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น หลังจากที่นายกรัฐมนตรีประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมีคำสั่งให้เป็นผู้ ควบคุมสถานการณ์การชุมนุม ในเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของข้าราชการตำรวจ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า สถานการณ์การชุมนุมของพันธมิตรฯขณะนี้ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ตำรวจยึดนโยบายในการทำงานด้วยความละมุนละม่อม ไม่ใช้กำลังความรุนแรง ทุกอย่างต้องไปเป็นตามขั้นตอนของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ผู้สื่อข่าวถามว่า หากตำรวจล่าช้าจะยิ่งทำให้เกิดความเสียหายและยื้อเวลาต่อไป พล.ต.อ.ปทีบกล่าวว่า ตำรวจไม่ได้ยื้อเวลา แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกำหนดขั้นตอนให้ทำชัดเจนตอนนี้ทำขั้นตอนที่ 1 และ 2 ไปแล้ว พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ได้กำหนดช่วงเวลา แต่มีขั้นตอนการปฏิบัติ คิดว่าจะไม่ทำให้เรื้อรัง ทุกอย่างมีเงื่อนเวลา ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสถานการณ์


 


หวังการเจรจาอาจสลายม็อบได้


ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า พันธมิตรฯจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธคุ้มกันแน่น ตำรวจสลายได้หรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนที่ 1 และ 2 อาจคุยหรือเลิกกันไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ อย่ามองไกลเกินไป ขอให้มองกันไปทีละขั้นตอน ตอนนี้คุยกันในหลายเรื่อง คิดว่าการเจรจาคืบหน้าไปในทางที่ดีไม่ได้หยุด เพราะปัญหาทุกอย่างต้องคุยกัน ไม่กดดันกับการทำงาน ภายใต้คำสั่งของศาลปกครอง ตำรวจทำตามหน้าที่และทำตามขั้นตอนแรกคือ การเจรจา และขั้นตอนที่ 2 ประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกลุ่มผู้ชุมนุม หากทั้งสองขั้นตอนไม่เรียบร้อยต้องขยับเป็นขั้นตอนที่ 3 ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ 1 และ 2 เท่านั้น



ผบช.ภ.1 ระบุตำรวจมีพอปฏิบัติหน้าที่


ขณะที่ช่วงเช้าวันเดียวกัน พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า ตำรวจต้องวางแผนรับมือต่อสถานการณ์เพิ่มเติม ทั้งกรณีเหตุเผชิญหน้าระหว่างพันธมิตรฯและนปช. ยอมรับว่า เงื่อนไขของคดียุบพรรคพลังประชาชน เป็นส่วนหนึ่งต้องนำมาประเมินสถานการณ์การชุมนุมของพันธมิตรฯ พร้อมยืนยันทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้นั้น กำลังของตำรวจมีเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนพล.ต.ต.ปิยะ สอนตระกูล รอง ผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า สถานการณ์การชุมนุมที่ยังคงอยู่ในภาวะไม่ปกติ และย้ำว่ากำลัง ตำรวจที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยแผนปฏิบัติการมีวางไว้แล้วทั้งระดับ 1 2 และ 3 แต่ขอให้ทุกกระบวนการเป็นไปในทางลับ เพื่อการปฏิบัติหน้าที่อย่างราบรื่นและปลอดภัย


 


ให้ตำรวจตั้งด่านทั่วกรุง


ช่วงบ่าย ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร. ได้เรียกรอง ผบ.ตร. และ ผช.ผบ.ตร. มาประชุมยืนยันว่าจะเน้นติดตามสถานการณ์การชุมนุมช่วงนี้ ซึ่ง พล.ต.อ.ปทีป ได้มอบหมายให้รอง ผบ.ตร. และ ผช.ผบ.ตร. สลับกันออกตรวจเยี่ยมให้กำลังใจตำรวจ บช.น. และ บช.ภ.1 ที่ทำหน้าที่ด้วยความอดทนอดกลั้น นอกจากนี้ พล.ต.อ. ปทีปได้สั่งการให้ตำรวจจัดตั้งจุดตรวจเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของ บช.น.ให้มีการจัดตั้งจุดตรวจสกัด 58 จุดทั่ว กทม. เมื่อเชื่อมโยงพื้นที่ บช.ภ.1 จะมีการตั้งด่านรวม 150 จุด ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือในการตรวจค้น เพื่อป้องกันเรื่องการนำอาวุธมาใช้ในการชุมนุม


 


มั่นใจไม่กระทบวันสำคัญ 5 ธ.ค.


ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเมินสถานการณ์การชุมนุมแล้ว จะกระทบต่องานวันที่ 5 ธ.ค.หรือไม่ พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวว่า ได้มีการประเมินทั้งระยะสั้นและระยะยาว เชื่อมั่นว่าวันที่ 5 ธ.ค.ทุกอย่างเรียบร้อย ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ตำรวจจะเข้าสลายผู้ชุมนุมก่อนวันที่ 5 ธ.ค. พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวว่า การดำเนินการของ บช.น. และ บช.ภ.1 ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นไปตามขั้นตอนที่ควรทำมีแนวทางที่ชัดเจน จะไม่ให้เกิดความสูญเสียพี่น้องคนไทยด้วยกัน แต่รายละเอียดเปิดเผยไม่ได้ หวังว่าทุกอย่างยุติลงด้วยความเรียบร้อย ในการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดต้องมีการชั่งน้ำหนักดูข้อดีข้อเสีย ขณะนี้ผู้ปฏิบัติกำลังเจรจาและประชาสัมพันธ์ เพื่อมาชั่งน้ำหนักและตัดสินใจข้อสุดท้าย ทุกอย่างอาจจบก่อนใช้กำลังก็ได้ ถ้าเจรจาได้ ข้อยุติทุกอย่างก็จบ แต่อีกแนวทางคือเราไม่สามารถพูดได้ว่าขั้นตอนต่อไปจะทำอะไรถ้าขั้นตอนที่ 1 และ 2 ยังไม่จบ


 


ยังไม่ออกประกาศฉุกเฉินฉบับ 2


ด้าน พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ โฆษก บช.น. กล่าวว่าตามที่พันธมิตรฯได้ร้องขอให้ตำรวจช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยนั้น ปกติตำรวจจะตรวจร่วมกับทหารอยู่แล้ว ไม่ใช่ ตรวจร่วมกับการ์ดพันธมิตรฯอย่างที่เข้าใจ แต่ที่แกนนำร้องขอให้ตำรวจดูแลให้มากขึ้น ตำรวจยินดีโดยเพิ่มความเข้มในการตรวจให้มากขึ้น ส่วนเรื่องการออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฉบับที่ 2 เมื่อไหร่นั้น ต้องดูสถานการณ์เป็นรายชั่วโมง พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. จะเป็นผู้รับผิดชอบและพิจารณาออกประกาศนี้ และหากผู้ชุมนุมในทำเนียบฯ ทิ้งสมรภูมิไปที่สุวรรณภูมิกับดอนเมืองแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจคงจะต้องเข้าไปตรวจสอบในทำเนียบฯ



อังกฤษเร่งไทยส่งนักท่องเที่ยวตกค้าง


ทางด้านสำนักข่าวต่างประเทศได้เกาะติดสถานการณ์การส่งตัวนักท่องเที่ยวตกค้างในสนามบินของไทยกลับไปยังประเทศบ้านเกิด โดยผู้สื่อข่าวบีบีซีรายงานเมื่อ 30 พ.ย. อ้างแถลงการณ์ที่ออกโดยนายบิล รัมเมลล์ รมว.ต่างประเทศของอังกฤษ ระบุว่ารัฐบาลอังกฤษได้เร่งรัดให้ไทยประสานความช่วยเหลือในการส่งตัวนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่ยังติดอยู่ในสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิได้เดินทางกลับประเทศอย่างปลอดภัย แต่รัฐบาลจะไม่ส่งเครื่องบินไปรับตัวนักท่องเที่ยว   เพราะขณะนี้สนามบินอู่ตะเภาได้เปิดให้บริการชั่วคราวเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าวโดยเฉพาะ


 


"สมชาย" พร้อมเจรจาจำลองแต่ไม่ออก


นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯจะคืนทำเนียบรัฐบาลให้ว่า จะคืนให้หรือ ทำเนียบรัฐบาลเป็นของรัฐบาลอยู่แล้ว การที่พันธมิตรฯยึดสนามบินทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ทำให้ธุรกิจส่งออกได้รับผลกระทบ ซึ่งรัฐบาลคงชดเชยได้ไม่เท่ากับสิ่งที่สูญเสียไป อยากวิงวอนว่าอย่าทำร้ายบ้านเมืองอีกต่อไปเลย วันนี้ประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่อันตราย ก็คงจะฟื้นได้ลำบาก การยึดสนามบินทำให้เสียหายกว่าแสนล้านบาท เมื่อถามว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ประกาศว่าพร้อมจะเจรจา นายสมชายกล่าวสวนกลับว่า เจรจาได้ อยู่แล้ว แต่จะไม่มีเรื่องยุบสภาและลาออก


 


จับแนวร่วมพันธมิตร พร้อมทะเบียนรถปลอม ปืนและเครื่องกระสุน


เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 1 ธ.ค. พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบก.ตปพ. และ พ.ต.อ.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผกก.1 แถลงข่าวจับกุมนายสุชาญ รั้งแท้ อายุ 36 ปี บ้านเดิมอยู่ อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ที่กลางซอย เพชรเกษม 63/3 แขวงและเขตบางแค กทม. พร้อมรถเก๋งโตโยต้า ยาริส สีแดง ทะเบียน ชฟ 2049 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นป้ายทะเบียนปลอม และหลักฐานการเสียภาษีปลอม 1 ฉบับ ปืนขนาด 9 มม. พร้อมกระสุน 20 นัด ธงสีเหลืองมีคำว่า "กู้ชาติ" บนผืนธง และเอกสารโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกจำนวนหนึ่ง สอบสวนอ้างว่ายืมรถมาจากเพื่อน ไม่ทราบเรื่องธงและเอกสารในรถ ส่วนอาวุธปืนเตรียมไว้ป้องกันตัว จึงคุมตัวแจ้งข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม พกพาอาวุธไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต


 


รักษาการ ผบ.ตร.เยี่ยมตำรวจ


เมื่อเวลา 21.15 น. พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติและรักษาการ ผบ.ตร. พล.ต.ท.เอก อังสนานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุผู้ชุมนุมพันธมิตรฯภายในสนามบินสุวรรณภูมิทั้ง 4 จุด ได้แก่ บริเวณทางเข้าสนามบินถนนมอเตอร์เวย์ อาคารคลังสินค้าสนามบิน สถานีดับเพลิง และ สภ.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดได้มีการตั้งแถวรอรับ ทั้งนี้ พล.ต.อ.ปทีปได้เน้นย้ำในเรื่องของการทำงานให้อยู่ในพื้นที่ฐานของความปลอดภัยระมัดระวังตัว ตลอดจนเรื่องของการเตรียมความพร้อม พักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่ทางกองบัญชาการและท่าอากาศยานจัดเตรียมไว้ให้


 


ที่มา: ไทยรัฐและโลกวันนี้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net