Skip to main content
sharethis

เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น. พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) ในฐานะกำกับดูแลกองบัญชาการตำ รวจนครบาล เรียกประชุมนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รองผบช.น.) ผู้บังคับการ (ผบก.) และรองผู้บังคับการ (รองผบก.) ที่เกี่ยวข้องและมีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านการสืบสวนสอบสวน งานด้านความมั่นคง การดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยพื้นที่ กทม.และการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไหวต่างๆ


 


โดยพล.ต.อ.จงรัก ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวบรวมพยานหลักฐานทางคดีให้ได้มากที่สุดพร้อมคลี่คลายคดีให้ได้โดยเร็วและกำชับให้ทุกฝ่ายเข้มงวดในการตรวจตราพื้นที่จุดล่อแหลมและหน่วยงานราชการสำคัญให้มากขึ้น ภายหลังกระแสข่าวอย่างต่อเนื่องว่าจะมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นอีกหลายจุดใน กทม.หลังจากเสร็จสิ้นงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯที่ผ่านมา


 


ทั้งนี้ที่ประชุมได้ประมวลเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นทั้งหมดในทำเนียบรัฐบาลเปรียบเทียบวิถีการเกิดระเบิดและวีถีการยิง ลักษณะชนิดของระเบิดอย่างละเอียด โดยนำผู้เชี่ยวชาญด้านชนิดของระเบิดจากกองพลาธิการบช.น.เข้าชี้แจงด้วยพบว่าเป็นระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งคนร้ายลอบขว้างเข้าไปจากด้านนอกและเกิดระเบิดจำนวน 1 ลูกตกใกล้เวทีปราศรัยประมาณ 20 เมตรแรงระเบิดเสียงดังสนั่น ทะลุหลังคาเต็นท์ขนาดใหญ่ สะเก็ดระเบิดตกใส่ผู้ชุมนุมที่นั่งฟังการปราศรัยอยู่เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนหลายราย นอกจากนี้ที่ประชุมยังประเมินสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และวางแนวทางการสืบสวนสอบสวนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยใช้เวลากว่า 30 นาทีจึงเสร็จสิ้น


 


พล.ต.อ.จงรัก กล่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า คนร้ายใช้ระเบิดชนิดเอ็ม 79 ยิงมาจากด้านนอกทำเนียบรัฐบาลจุดใดจุดหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุได้เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมฯไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไป แม้ตำรวจจะมีการป้องกันอย่างเต็มประสิทธิภาพมีการตั้งด่านสกัดตรวจอย่างเคร่งครัดก็ตาม แต่สั่งกำชับแล้ววว่าให้เพิ่มความเข้มในการตรวจตรามากกว่าเดิมเพราะไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงใดๆ ประเทศไทยไม่ใช่อิรักการจะมาห้ำหั่นกันโดยใช้กำลังนั้นมันไม่ถูกต้องอยากให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาร่วมมือทำให้ประเทศเราเป็นประเทศที่สงบจะดีเสียกว่า


 


ด้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มีการแถลงข่าวโดยพล.ต.จำลอง ศรีเมือง และแกนนำคนอื่นๆ ซึ่งประกาศจะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่โดยจะเคลื่อนพลบุกรัฐสภา ในวันที่ 23 พ.ย. นี้ ทั้งนี้ เว็บไซต์สยามรัฐ รายงานด้วยว่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นใกล้เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภายในทำเนียบรัฐบาล แม้หลายฝ่ายอาจตั้งข้อสงสัย เนื่องจากได้มีโอกาสไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนก่อเหตุ แต่ถ้าจะให้ตนเองดำเนินการกับพันธมิตรฯ ก็เลือกใช้สันติวิธี จะไม่ใช้ความรุนแรงเด็ดขาด ทั้งนี้ไม่ขอประเมินว่าหลังจากนี้พันธมิตรฯจะเจอกับเหตุการณ์อะไร เพราะกลัวว่าจะเป็นการสร้างบาป


 


พล.อ.พัลลภ ยังยอมรับว่า สาเหตุที่ถอนตัวจากพันธมิตรฯ เพราะไม่พอใจที่ถูกตั้งเป็นเพียงที่ปรึกษาตามที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล กล่าวอ้างนั้น มีส่วนจริงอยู่บ้างแต่ไม่ทั้งหมด เพราะยังมีสาเหตุด้านอื่นประกอบกันด้วย ส่วนการทำงานร่วมกับรัฐบาลชุดนี้ตนยังไม่ได้รับการทาบทามจากนายกรัฐมนตรี แต่มีอะไรที่พอช่วยประเทศชาติได้ก็ยินดี


 







แถลงการณ์ฉบับที่ 24/2551


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย


เรื่อง


ระดมมวลชนครั้งใหญ่


เพื่อเผด็จศึกหยุดยั้งอำนาจรัฐบาลทรราชฆาตกรหุ่นเชิด


และหยุดสภาทาสระบอบทักษิณ


 


เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เวลา 03.25 น. ได้เกิดเหตุคนในฝ่ายรัฐบาลไม่ทราบจำนวนใช้เครื่องยิงลูกระเบิดชนิด เอ็ม 79 ยิงเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยระเบิดตกลงบนหลังคาเต็นท์ผ้าใบของผู้ชุมนุม อยู่หน้าเวทีปราศรัย ผลจากแรงระเบิดทำให้สะเก็ดระเบิดกระจายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ชื่อนายเจนกิจ กลัดสาคร บาดเจ็บสาหัส 2 ราย และบาดเจ็บอีก 21 ราย นับเป็นการเสียชีวิตเป็นรายที่ 3 จากการเข่นฆ่าประชาชนโดยฝ่ายรัฐบาล


 


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอแสดงความเสียใจ และไว้อาลัยให้กับครอบครัวและมิตรสหายของผู้วายชนม์ และขอประกาศอย่างเป็นทางการยกย่อง เชิดชู นายเจนกิจ กลัดสาคร ให้เป็นวีรชนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและประชาชนตลอดไป ตลอดจนขอแสดงความเสียใจกับผู้บาดเจ็บทุกคนในความกล้าหาญครั้งนี้


 


ทั้งนี้การใช้อาวุธสงครามประเภทระเบิดในการเข่นฆ่าประชาชนผู้มาชุมนุมร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นสตรี ผู้สูงวัย และเยาวชน นั้นมิได้เกิดครั้งแรก หากแต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ครั้งแล้วครั้งเล่าจาก เจ้าหน้าที่ของรัฐและอันธพาลของรัฐบาลทรราชฆาตกรหุ่นเชิดทั้งสิ้น


 


ครั้งสุดท้ายเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 คนในฝ่ายรัฐบาลได้ยิงระเบิดใส่เต็นท์ผู้ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล ทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่งพลตรี จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ส่งหนังสือทันทีถึงผู้รับผิดชอบในการรักษาความมั่นคงในพื้นที่นั้น คือ ผู้บัญชาการทหารบกและรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน, แม่ทัพภาคที่ 1, ผู้บัญชาการกองพลที่ 1, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลดุสิต ให้ช่วยกันหยุดยั้งการใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชนใจกลางพระนคร แต่ก็ไม่มีหน่วยงานใดได้หยุดยั้งการใช้อาวุธสงครามต่อผู้ชุมนุมได้แต่ประการใด


 


การใช้อาวุธสงครามประเภทระเบิดที่ใช้กับผู้ชุมนุมที่ผ่านมานั้น สะท้อนให้เห็นว่าบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นฝ่ายรัฐบาล โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกราชการและในราชการที่มีส่วนและรู้เห็นเป็นใจในการยิงระเบิดอาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชน


 


ทั้งนี้เพราะถ้าตำรวจไม่ร่วมมือหรือรู้เห็นเป็นใจ ก็จะไม่สามารถที่จะนำอาวุธสงครามประเภทนี้เข้ามาในใจกลางเมืองหลวง เพื่อทำร้ายผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในทำเนียบรัฐบาลได้


 


ย่อมแสดงให้เห็นว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 และนายตำรวจอีกหลายนาย ต่างรู้เห็นเป็นใจและสมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลในการเข่นฆ่าประชาชนที่มาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อทำหน้าที่ในการปกป้องราชบัลลังก์ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน


 


ที่ผ่านมาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาชุมนุม เพื่อมาตรวจสอบรัฐบาล และปกป้อง ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่กลับถูกรัฐบาลใช้อำนาจรัฐและใช้อำนาจมืดมาเข่นฆ่าทำร้ายประชาชนมาโดยตลอด


 


อย่างไรก็ตาม การชุมนุมในการขับไล่รัฐบาลทรราชฆาตกรหุ่นเชิด และการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ยังไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายและไว้วางใจได้ เพราะ สภาทาสของระบอบทักษิณ ก็ยังยืนยันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้อง และเตรียมแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างสถาบันองคมนตรีอันเป็นการลดพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่สามารถที่จะยอมให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน


 


จากสถานการณ์ดังกล่าว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงไม่สามารถใช้สิทธิการชุมนุมในที่ตั้งโดยปล่อยให้รัฐบาลเข่นฆ่าประชาชนรายวัน โดยไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยหรือรับผิดชอบจากเจ้าหน้าที่รัฐได้อีกต่อไป


 


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่อาจอดทนต่อรัฐบาลฆาตกรที่เข่นฆ่าประชาชนทุกวันอย่างอำมหิตโหดเหี้ยม และไม่อาจยอมรับสภาทาสของระบอบทักษิณได้อีกต่อไป


 


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ระดมมวลชนครั้งใหญ่ ณ ทำเนียบรัฐบาล ในวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไปเพื่อ "เผด็จศึก" เคลื่อนขบวนต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่หน้ารัฐสภา หยุดอำนาจรัฐบาลทรราชฆาตรกรหุ่นเชิด และหยุดสภาทาสระบอบทักษิณทุกรูปแบบ และทุกวิถีทาง


 


จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนเข้าร่วมชุมนุมครั้งประวัติศาสตร์มาใช้สิทธิ โดยทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2551 มาตรา 70 ในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จนกว่าสังคมไทยจะได้รับชัยชนะ


 


ด้วยจิตคารวะ


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย


วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551


 


ที่มา: http://www.siamrath.co.th , http://www.komchadluek.com, www.matichon.co.th

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net