เรื่อง/ภาพ : ภู เชียงดาว
ฤดูฝน,2539 ค่ำวันหนึ่ง, บนดอยสูง "น้ำบ่อใหม่" เป็นชุมชนเล็ก ๆ ของชนเผ่าลีซู ตั้งอยู่ในหุบเขา ซ่อนตัวอยู่กลางป่าลึก ไม่ไกลนักจากริมตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ในเขตอำเภอเวียงแหง เชียงใหม่ ค่ำนั้น, ฝนยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย หลายวันมาแล้วที่ดวงตะวันไม่อาจสาดส่องถึง มีแต่เมฆหมอกและม่านฝน บรรยากาศในยามนี้ จึงดูซึมเซาและหงอยเหงาอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่ผมกำลังนั่งทำกับข้าวในครัวไฟอยู่นั้น อะเลมะ เด็กลีซูคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกผมว่า มีใครไม่รู้ไม่รู้จัก เดินเข้ามาในหมู่บ้านเยอะแยะเลย
.ผมรีบออกมายืนดูอยู่ตรงหน้าศูนย์การเรียน จดจ้องมองภาพความเคลื่อนไหวท่ามกลางสายฝนที่หล่นโปรย ผู้คนประมาณสามสิบกว่าชีวิต กำลังดุ่มเดินเรียงราย ไต่ขึ้นมาตามทางดินที่เละลื่นด้วยโคลนแฉะชื้น ผู้ชายเดินนำหน้า ผู้หญิงก้าวตามหลังพร้อมเด็กหญิงเด็กชาย บางคนหอบกระเตงลูกน้อยไว้แนบแน่นแผ่นอก เสื้อผ้าที่สวมใส่แต่ละคนล้วนเปียกปอนโทรมกาย พวกเขาหยุดอยู่ตรงประตูรั้วหน้าศูนย์การเรียนพักหนึ่ง ก่อนย่างเข้ามาหาผมช้าๆ ด้วยสีหน้าที่ยังหวั่นหวาดขลาดกลัว เด็กน้อยคนหนึ่งร้องไห้ลั่น เนื้อตัวสั่นเทาเพราะความหนาวเย็นของฝอยฝน ลูกน้อยกอดคอแม่ไว้ แม่พยายามปลอบ อือๆ ออๆ พร้อมกอดกระชับลูกไว้แนบอกแน่น "คู หมู่เฮาขอค้างนอนที่โฮงเฮียนนี้ซักคืนได้ก่อค่า
" ชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้ากร้าน เอ่ยกับผมเบาๆ เหมือนจะเกรงใจ ผมจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของเขานั้นดูหม่นเศร้า ผมพยักหน้า พร้อมกับเรียกทุกคนเข้ามาข้างในห้องเรียน ซึ่งเป็นเพียงเพิงพักเก่าๆ ผมไม่ถามพูดไม่ถามอะไรมาก เพราะจากที่ฟังสำเนียงภาษาที่พวกเขาพูดกัน และดูจากการแต่งกาย ก็พอรู้แล้วว่า เป็นพี่น้องไต หรือชาวไทใหญ่ผู้พลัดถิ่นนั้นแน่นอน 0 0 0 0 ฟ้ามืด ฝนหยุดตก พายุคงใกล้สงบแล้ว ผมค้นหาเสื้อผ้าเก่าๆ เอาให้เด็กๆ เปลี่ยนใส่กันหนาว เด็กๆ วิ่งเล่นภายในเพิงพักและเริ่มมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่เมื่อหันไปมอง พ่อแม่ของเด็กๆ ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ ในเตาไฟ พวกผู้หญิงกำลังง่วนอยู่กับการก่อกองไฟ หุงข้าว ตำน้ำพริก ผมจุดตะเกียงเจ้าพายุแขวนไว้กับเสากลาง เพียงครู่เดียวแสงไฟตะเกียงที่สว่างไสว ก็หลอกล่อให้เจ้าแมลงเม่าบินว่อนเข้ามาหาแสงไฟ พวกผู้ชายรีบเอาน้ำใส่ถังมาตั้งไว้ในใต้ดวงตะเกียง ปล่อยให้หมู่แมลงเม่าหล่นร่วงลงในถังน้ำใบใหญ่นั้น เด็กๆ ตื่นเต้นกับแสงไฟ ช่วยกันจับแมลงเม่ากันยกใหญ่ แต่ผมกับหนุ่มไทใหญ่สี่คนยังไม่ยอมนอน เรานั่งคุยกันตรงแคร่ไม้ไผ่ ริมหน้าต่าง ลมหลังฝนพัดผ่านเข้ามาเย็นยะเยียบ ผมหยิบเหล้าป่ารินให้พวกเขายกดื่มเพื่อเรียกความอบอุ่นให้กับร่างกาย ลมป่ายังคงครวญคร่ำ คล้ายดั่งลมแห่งชะตากรรม ที่โหมพัดใส่ชีวิตหลายชีวิตที่พลัดถิ่น หมอกหนาวคลี่คลุมไปทั่ว เงยหน้ามองฟ้า ดาวหมองอ่อนแสงล้า มองออกไปเบื้องหน้า เทือกเขาที่สลับทับซ้อนคล้ายซุกซ่อนความเศร้า หม่นมืดทะมึนอยู่รายรอบ "เหตุการณ์ฝั่งโน้นเป็นไงบ้าง
" ผมเอ่ยถามทำลายความเงียบ "ยังเหมือนเดิม ทหารม่านมันร้าย บ้าน ยุ้งข้าวของเฮาถูกเผา คนโดนมันต้อนเหมือนงัวเหมือนควาย ผู้ชายถูกจับไปเป็นลูกหาบ จนบ่าหลังนั้นเต็มไปด้วยแผลเน่าเฟะ สงสารหมู่แม่หญิงและเด็กๆ ต่างถูกพวกมันทำร้าย บางครั้งพวกมันก็ลากเอาไปข่มขืนต่อหน้าต่อตาญาติพี่น้องของเรา
" เขาบอกเล่าด้วยน้ำเสียงสั่น กัดกรามแน่น
บางอารมณ์ของความรันทดร้าวและโหยหาแผ่นดินที่จากมา ชายไตคนหนึ่งร้องเพลง "ลิ่กห่มปางโหล๋ง" ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและเศร้าสะท้าน
ในห้วงยามนั้น ผมมองเห็นน้ำใสๆในดวงตาของเขาหยาดหยดรดอาบแก้ม
ขณะผมนั่งจมกับภาพเหตุการณ์เลวร้ายและรุนแรงอยู่นั้น หนุ่มไทยใหญ่ผมโล้นเกรียนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผม ควักกระดาษสีขาวยับยู่ยี่แผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาค่อยๆ คลี่ออกมา ก่อนยื่นให้ผมดู เป็นเอกสารของเรือนจำกลางเชียงใหม่ ที่ระบุบอกว่า เขาเพิ่งพ้นโทษออกจากคุกมาหมาดๆ ด้วยข้อหาลักลอบเข้าเมือง และเพิ่งถูกทางการส่งตัวขับไล่ออกไปนอกประเทศ ผมไม่จำเป็นต้องถามหรอกว่าทำไมถึงต้องหนีข้ามมาฝั่งไทยอีก... "เฮาขอยอมเสี่ยง ยอมตายที่เมืองไทย ดีกว่าถูกพวกทหารม่านมันฆ่า..." เขาเอ่ยออกมาเบาๆ เหมือนพึมพำ ดวงตาคู่นั้นช่างไหวว้าง เลื่อนลอยและสิ้นหวัง ลมภูเขายังคงพัดพาอายหนาวเข้ามายะเยือก เราแยกย้ายกันไปเข้านอน ผมลุกขึ้นจะเดินไปปิดไฟตะเกียง แสงไฟตะเกียงสาดใบหน้าของเด็กๆ นอนซุกอยู่ใต้อ้อมกอดแม่
เช้ามืด, ผมงัวเงียออกห้องนอน จุดตะเกียง ตั้งใจออกไปดูพี่น้องชาวไต แต่ว่าไม่พบใครแม้เพียงคนเดียว เบื้องหน้านั้น, มีเพียงผ้าห่มเก่าๆ ที่พวกเขาพับเก็บไว้ให้เรียบร้อยอยู่ตรงมุมห้อง และผมก็ไม่รู้ว่า พวกเขากำลังจะเดินไปสู่หนไหน พวกเขาจะถูกเจ้าหน้าที่ไทยจับเข้าคุกหรือไม่ และถูกส่งข้ามฝั่งพม่าอีกหรือไม่ ผมไม่รู้ว่าเขาจะไปสิ้นสุดตรงที่ใด... ผมรู้แต่เพียงว่า ชีวิตพวกเขาคือการเดินทางไกล
|
o o o o
ผมหยิบบันทึกเก่าๆ เมื่อครั้งยังเป็นครูดอย ออกมาอ่านอีกครั้ง หลังจากนั่งอ่านหนังสือ "ก่อนตะวันจะฉาย"ฉาน" ที่พันเอกเจ้ายอดศึก,คุณ
นั่นทำให้ผมรับรู้ว่า ทำไมพี่น้องไทใหญ่ถึงต้องหนีข้ามฝั่งไทย และมาขออาศัยหลบฝน หลับนอนที่ศูนย์การเรียนฯ ในช่วงนั้น
ในหนังสือดังกล่าว มีการเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์รัฐฉาน เอาไว้ว่า ในปี 2539 คือช่วงที่กองทัพ MTA ของขุนส่า ได้ยอมวางอาวุธกับรัฐบาลทหารพม่า ต่อมา กองทัพ SSA ภายใต้การนำของเจ้ายอดศึก ร่วมกันลุกขึ้นสู้ จนทำให้รัฐบาลพม่าได้ทำการปราบปรามอย่างรุนแรง หลังจากนั้น รัฐบาลทหารพม่าได้กวาดต้อนประชาชนในเขตรัฐฉานภาคกลางและภาคใต้ที่อยู่นอกตัวเมืองราว 3 แสนคน มีการบังคับให้ทิ้งบ้านเรือน ไร่นา สัตว์เลี้ยง
นอกจากนั้น ยังมีการประกาศให้พื้นที่เหล่านั้นเป็นเขต "ยิงอิสระ" จึงทำให้พี่น้องชาวไทยใหญ่ ต้องพากัน "หนีตาย" ทะลักข้ามมาฝั่งไทยอย่างต่อเนื่องในขณะนั้น
แน่นอน ภาพเหตุการณ์หลายฉากตอนนั้น เหมือนตั้งใจอยากย้อนให้ผมนั้นเดินเข้าไปค้นหา เรียนรู้เรื่องราวของพี่น้องไทยใหญ่ต่อไป
นั่น ทำให้ผมนึกไปถึงเธอ ผู้หญิงไทยใหญ่อีกคนหนึ่ง...
เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่พ่อแม่จำต้องพาเธอหนีตายระหกระเหิน เพียงเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัย
อาจเป็นเพราะว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม สงครามการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ทำให้เธอรู้จักความโหดร้ายและการกดขี่ข่มเหงตั้งแต่วัยเยาว์ จึงทำให้ชีวิตเธอต้องเพาะบ่มความแกร่งของจิตใจ เพียงเพื่อเรียกร้องหาสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นธรรมให้พี่น้องเชื้อชาติของเธอ
แน่นอน แม้ทุกวันนี้การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป มีบ้างบางครั้งท่ามกลางการต่อสู้นั้นต้องตกอยู่ในห้วงของความมืดมน สิ้นหวัง หากเธอยังคงมุ่งมั่น ไม่ท้อ และเฝ้าฝึกฝนต่อเติมความหวังใหม่ให้กับผืนแผ่นดินไตที่มีชื่อว่า "ฉาน"
ใช่, ผมกำลังพูดถึงเธอ หญิงชาวไทใหญ่ที่ชื่อ "จ๋ามตอง"
0 0 0 0 0
"จ๋ามตอง เป็นชื่อภาษาไทใหญ่ หมายถึงดอกจำปาเงินค่ะ" เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พูดจาภาษาไทยได้ชัดถ้อยชัดคำ จนหลายคนรู้สึกแปลกใจ
เธอบอกเล่าให้ฟังว่า เธอเกิดที่หมู่บ้านเล็ก ๆแห่งหนึ่ง บริเวณภาคกลางของรัฐฉาน ประเทศพม่า ท่ามกลางกระแสพายุสงครามความขัดแย้งในเรื่องชาติพันธุ์ ระหว่างทหารพม่ากับกองกำลังไทยใหญ่และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ
เมื่อทหารรัฐบาลพม่าพยายามเข้ามากดดัน ก่อกวน ทำร้ายชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง พอมีการสู้รบ ก็ต้องย้ายไปอยู่หมู่บ้านใหม่ จนทำให้พ่อแม่ของเธอต้องวางแผนพาเธอออกไปจากดงสงครามที่ปะทุคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา เพื่อชีวิตที่สุข สงบ และดีกว่าเป็นอยู่
จ๋ามตอง อายุเพียงหกขวบ กำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้น ป.1 แต่ชีวิตเธอต้องระเหเร่ร่อนออกจากหมู่บ้าน ข้ามน้ำข้ามดอยมาอยู่ฝั่งไทย ว่ากันว่า แม่อุ้มเธอนั่งในตะกร้าใบใหญ่ซึ่งห้อยหาบคอนพาดบนหลังม้า หลบหนีทหารพม่า เข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตชายแดนไทย-พม่า ก่อนที่พ่อแม่ของเธอจะหันหลังกลับไปสู่บ้านเกิดดังเดิม
นั่นคือจุดเปลี่ยนในห้วงชีวิตเธอ เมื่อเธอได้มาอาศัยอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า
ที่นั่น มีเด็กๆ กำพร้าที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับเธออีกกว่าสามสิบคน โดยมีครูแมรี่ คอยอบรมสั่งสอนอยู่ตลอดเวลา ในช่วงเก้าปีในบ้านเด็กกำพร้า เธอฝึกฝนขวนขวายหาวิชาความรู้อยู่อย่างต่อเนื่อง ตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อเรียนภาษาอังกฤษจากเจ้าของบ้านเด็กกำพร้า กลางวันเรียนภาษาไทยจากโรงเรียนไทย ตกเย็นจนถึงค่ำเรียนภาษาจีนจากโรงเรียนของคนจีนในหมู่บ้าน วันหยุดเรียนภาษาไทยใหญ่จากคนในหมู่บ้าน
ชีวิตเธอในห้วงยามนั้นจึงอยู่กับการเรียนอย่างหนักหน่วง จนจบชั้น ม.3 ของโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ท่ามกลางความสับสนและเฝ้าตั้งคำถามกับตัวเองไปมาอยู่อย่างนั้นว่า...ทำไมเธอต้องมาอยู่ห่างไกลบ้านเกิดเช่นนี้...ทำไมหมู่บ้านของเธอที่รัฐฉานถึงมีแต่ความขัดแย้ง ต้องรบราฆ่าฟันกันอยู่ตลอดเวลา
และเธอยังเฝ้าถามตัวเองว่า อีกนานไหมที่เธอจะได้หวนกลับไปอยู่กับครอบครัว บ้านเกิดในรัฐฉาน
ในที่สุด เธอตัดสินใจเข้าฝึกงานในสำนักข่าวไทยใหญ่( S.H.A.N) และองค์กรสิทธิมนุษยชน แห่งรัฐฉาน (Shan Human Right Foundation : S.H.R.F) องค์กรไทยใหญ่ที่เข้าไปเก็บรวบรวมข้อมูลสถานการณ์ผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนตามแนวชายแดน หลังจากทำงานที่องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งรัฐฉานได้ไม่นาน เธอได้มีโอกาสไปอบรมกับเครือข่ายเพื่อทางเลือกใหม่ในการรณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในพม่า(Alternative Asean Network on
นอกจากนั้น เธอยังได้มีโอกาสไปช่วยงานของมูลนิธิผู้หญิงอยู่บ่อยครั้งเพื่อเป็นล่ามให้กับหญิงชาวไทยใหญ่ที่ถูกจับกุมและกำลังถูกผลักดันให้กลับประเทศ
ต่อมา เธอได้เข้าเป็นสมาชิกเครือข่ายปฏิบัติงานสตรีไทใหญ่ (Shan Women's Action Network - SWAN) โดยร่วมกับมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ได้ร่วมกันจัดทำ "รายงานใบอนุญาตข่มขืน" ซึ่งถือว่าเป็นรายงานที่เปิดเผยการทารุณกรรมทางเพศที่ทหารพม่ากระทำต่อผู้หญิงไทใหญ่ ที่ได้ปลุกกระแสในเรื่องสิทธิมนุษยชนให้สั่นสะเทือนไปทั่ว และรับการเผยแพร่จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก
ใช่ ในรายงานฉบับนั้น ได้เผยธาตุแท้ของรัฐบาลทหารเผด็จการพม่า ที่มีคำสั่งให้มีการ "ข่มขืนอย่างเป็นระบบ"
จ๋ามตอง บอกเล่าผ่านสื่อว่า การข่มขืนอย่างเป็นระบบของทหารพม่านั้น ถือเป็นอาวุธในการทำสงครามปราบปรามกลุ่มชาติพันธุ์ การข่มขืนจะกระทำโดยทหารชั้นผู้ใหญ่ และเหมือนเป็นการอนุญาตให้ทหารใต้บังคับบัญชาข่มขืนผู้หญิงได้ เพราะไม่มีการลงโทษผู้กระทำผิดแต่อย่างใด การข่มขืนโดยทหารพม่าเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในพม่า และเกิดขึ้นมากในพื้นที่ของรัฐฉาน โดยเฉพาะภาคกลางที่มีการขับไล่ประชาชนออกจากหมู่บ้าน มีการกักขังผู้หญิงเป็นเวลายาวนานถึง 4 เดือน ผู้หญิงจะถูกข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกบังคับใช้แรงงานตอนกลางวันและถูกข่มขืนตอนกลางคืนเหมือนเป็นทาส
"แม่และลูกสาวถูกข่มขืนในเวลาเดียวกัน แม้กระทั่งเด็กผู้หญิงหลายคนอายุเพียงแค่สี่ขวบก็ถูกรุมข่มขืนและทำร้าย ผู้หญิงท้อง 7 เดือนก็ยังถูกข่มขืน" เธอบอกเล่าความจริงผ่านสื่อไปทั่วโลก
นั่นคือสิ่งที่เธอต้องออกมาเรียกร้องและป่าวประกาศก้องให้โลกรู้ ว่ายังมีความเลวร้ายในแผ่นดินรัฐฉาน ในพม่าอยู่อย่างต่อเนื่องทุกปัจจุบันขณะ
จ๋ามตอง กำลังฉายภาพการกดขี่ในพม่าให้ผู้หญิงโนเบลรับรู้
ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่,21 กรกฎาคม 2551
แทบไม่น่าเชื่อว่า จ๋ามตอง ด้วยวัยเพียง 17 ปี ซึ่งถือว่าเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น เธอมีโอกาสขึ้นไปนำเสนอปัญหาของผู้หญิงไทยใหญ่ในเวทีประชุมปัญหาสิทธิมนุษยชนระดับโลก ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ปี 2546 เธอได้รับรางวัล Women of the World จากนิตยสาร Marie Claire คือเป็น 1 ใน 10 ของผู้หญิงทั่วโลกที่ทำงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น
ปี 2548 เธอได้รับรางวัล Reebok Human Rights Award จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนที่เป็นเยาวชนอายุไม่เกิน 30 ปี
เธอยังได้รับการยกย่องล่าสุดจากนิตยสารไทม์ให้เป็น 1 ใน 50 ฮีโร่แห่งเอเชีย
เธอยังได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ในผู้หญิง 1,000 คนที่ควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
นอกจากนั้น เธอยังได้รับเกียรติจาก "จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช" ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาไปนั่งพูดคุยถึงในทำเนียบขาว นานกว่า 50 นาที
แน่นอน เชื่อว่าหลายคนคงนึกฉงน แปลกใจว่า ทำไมเธอต้องมาทำงานหนัก ยากและซับซ้อนเช่นนี้ เมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ทั่วไปในวัยเดียวกัน
"อาจเป็นเพราะว่า ในพม่ามีความเครียดทุกรูปแบบ ทั้งถูกกดดัน ถูกกดขี่ จนเปรียบเทียบไม่ได้เลย การพัฒนาหรือโอกาสต่าง ๆ ของคนในเมืองอาจจะไม่ทุกข์ยากเหมือนคนที่อยู่ตามแนวชายแดนหรือชนบท แต่ในกลุ่มชาติพันธุ์จะถูกกดดันยิ่งไปกว่านั้น ทั้งทางสังคม ภาษาและวัฒนธรรมคือถูกกดขี่ข่มเหงทั้งหมด สิทธิพื้นฐานที่กลุ่มชาติพันธุ์ควรมีก็หายไป" เธอบอกเล่าถึงความจำเป็น
เธอบอกย้ำว่า สังคมในพม่าถูกกดขี่ข่มเหงเกือบทุกหลายระดับ เกือบทุกเสี้ยววินาทีของชีวิต ไม่ใช่ไม่กล้าที่จะออกมาต่อสู้ แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ "วัฒนธรรมความกลัว" ที่รัฐบาลพม่าพยายามสร้างขึ้นมา ทำให้คนตกอยู่ในความกลัวตลอดเวลา ถ้ามีการขัดขืน เขาก็ทำจริง ๆ ฆ่าจริง ๆ
"รัฐบาลทหารพม่าทำให้สังคมอยู่ในความกลัวตลอดเวลา เป็นสังคมที่ถูกความกลัวครอบงำ ทุกคนจะกลัวจนไม่รู้ว่า ถ้าพูดอะไรไป ใครจะเอาไปพูดอะไรต่อ ไม่รู้ว่าคนที่เราพูดด้วยเป็นใครด้วยซ้ำ" เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเครียด
"แม้ความกลัวจะถูกฝังอยู่ในทุกระดับ และการต่อสู้ทำได้ยากมาก แต่ถามว่าประชาชนหมดหวังแล้วหรือ ตอบว่าไม่ใช่ มีขบวนการหลายอย่างที่หลายคนพยายามทำ สำหรับตัวจ๋ามตองเองแล้ว ประชาชนก็คือฮีโร่เหมือนกัน แม้เขาถูกกดขี่ข่มเหงทุกรูปแบบ แต่หลายสิบปีมานี้ เขาก็หาวิธีที่จะเอาตัวรอดมาได้ถึงขนาดนี้ เขาทำได้อย่างไรภายใต้อำนาจเผด็จการที่โหดมากๆ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ใช่ เธอพยายามจะบอกว่าประชาชนในพม่าทุกคนล้วนคือฮีโร่ คือคนที่อดทนต่อสู้กับความโหดร้ายของเผด็จการทหารพม่ามาอย่างต่อเนื่อง
"ก็เพราะว่าเขาไม่มีช่องทาง ไม่มีโอกาส แต่ก็ยังพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ เขาทำได้อย่างไร เขาต้องเก่ง และเขาต้องมีความอดทน มีความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หลายคนที่หนีมาไม่ใช่ถูกทหารพม่ามาทำร้ายครั้งหนึ่งแล้วเขาก็หนีเลย บางคนโดนหลายครั้ง บางคนโดนขับไล่ให้ไปอยู่อีกที่ พอย้ายไปก็โดนขับไล่อีก หรือพอเขาย้ายไปอยู่ในเขตเมืองก็ไม่มีงานทำ สุดท้ายก็ย้ายเข้าไปอยู่ในป่ากลายเป็นผู้พลัดถิ่นในป่า พอทหารพม่ามาเจอก็ฆ่าหรือข่มขืน แล้วก็หนีกันต่อไป"
พอฟังเธอบอกเล่าเรื่องราวที่ไหลหลั่งออกมาจากห้วงสำนึกเช่นนี้...
ทำให้ผมนึกไปถึงอีกหลายชีวิตที่อาศัยอยู่บนดอยไตแลง ขึ้นมาทันใด!!
(โปรดติดตามตอน 2)
ทำความรู้จักหนังสือ"ใบอนุญาตข่มขืน" เมื่อผู้หญิงไทใหญ่ทำวิจัยเปิดโปงอาวุธอันชั่วร้ายของรัฐบาลทหารพม่า เรื่องราวของการ "ข่มขืน" อย่างเป็นระบบของทหารพม่าต่อสตรีในรัฐฉานอย่างเป็นระบบ ถูกเปิดเผยในหนังสือ License to rape : the Burmese military regime's use of sexual violence in the ongoing war in Shan State, Burma ซึ่งได้รับการแปลมาเป็นภาษาไทยในชื่อ ใบอนุญาตข่มขืน : บันทึกการทารุณกรรมทางเพศในรัฐฉาน หนังสือดังกล่าวจัดทำโดยมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation) และเครือข่ายสตรีไทใหญ่ (Shan Women"s Action Network) เผยแพร่ในฉบับภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2545 และแปลเป็นภาษาไทยโดยการสนับสนุนของสภาเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาแห่งเอเชีย (Forum Asia) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2545 โดยมีผู้แปลคือ "สุภัตรา ภูมิประภาสและเพ็ญนภา หงส์ทอง" สองหญิงไทยที่ได้ลงภาคสนามเพื่อเก็บข้อมูลสำหรับรายงานฉบับนี้ด้วย ซึ่งรายงานดังกล่าว เป็นการเก็บข้อมูลจากปากคำจริงของบรรดาผู้อพยพจากรัฐฉานที่ลี้ภัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย-พม่า หนังสือดังกล่าวรายงานถึงชะตากรรมของสตรีและเด็กซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในรัฐฉานทั้งสิ้น 173 เหตุการณ์ มีสตรีตกเป็นเหยื่อ 625 คน จำแนกเป็นเด็กผู้หญิง 92 คน และสตรี 527 คน ซึ่งถูกทารุณกรรมทางเพศโดยทหารพม่าทั้งระดับประทวนและชั้นสัญญาบัตรที่ถูกส่งเข้ามาประจำการในรัฐฉานระหว่างปี พ.ศ.2539-พ.ศ.2544 โดยสมาชิกและกองกำลังทหารพม่าได้ร่วมกันใช้ "การข่มขืน" ปราบปรามการต่อต้านของชาวไทยใหญ่ โดยผู้กระทำคือทหารพม่า 52 กองพัน โดย 83% ของคดีข่มขืน กระทำโดยนายทหารระดับสูงและผู้บังคับบัญชา บ่อยครั้งที่เหยื่อถูกทรมานด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การรัดคอ การทุบตีและการทำให้พิการ เหยื่อ 25% ของการถูกข่มขืนถูกทารุณจนเสียชีวิต 61% เป็นกรณีที่ผู้หญิงถูกรุมข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำเล่านานถึง 4 เดือน โดยสุภัตรา เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชนเมื่อปี พ.ศ.2545 ว่า หนักใจกับการแปลหนังสือเล่มนี้ เป็นเหมือนรายงานที่สมบูรณ์แบบ เป็นข้อมูลที่จับต้องได้ เพราะคนที่ถูกกระทำและเป็นผู้กระทำมีตัวตน มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เด็ก ผู้หญิงเหล่านี้น่าสงสาร ยิ่งไปกว่านั้นข้อมูลล่าสุดที่ได้รับเป็นข้อมูลจากโรงพยาบาล ซึ่งนำผลการรักษาของผู้หญิง 6 คนที่ถูกกระทำว่าเขาโดนเผาอวัยวะเพศ ซึ่งเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก โดยเพ็ญนภา เสริมว่า ตนยังจำภาพที่เดินเข้าไปพูดคุยกับชาวไทยใหญ่เหล่านี้ได้ แต่ละคนมีใบหน้าเศร้า หวาดกลัว สาเหตุที่ต้องลงไปในพื้นที่เพราะขณะที่แปลหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือ และคนเหล่านี้เขามีชีวิตอยู่กันยังไง "มีเรื่องราวของผู้หญิงท้อง 7 เดือน แล้วโดนข่มขืน เรารู้สึกว่ามันแย่มาก แล้วเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร พอไปเจอเขาน่าสงสารมาก ตอนนี้ลูกที่อยู่ในท้องตอนที่เขาถูกข่มขืนอายุ 7 เดือนแล้ว เขากลัวที่จะต้องกลับไปในรัฐฉานอีก ส่วนหนึ่งที่อยากแปลหนังสือเล่มนี้คือต้องการให้รัฐบาลไทยอ่านและสำนึกว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นไปได้อยากให้เปิดค่ายผู้ลี้ภัยให้กับชาวไทยใหญ่ อยากให้สังคมไทยเป็นที่พึ่งให้กับผู้หญิงและเด็กเหล่านี้" เพ็ญนภา กล่าวในที่สุด ในรายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการข่มขืนได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการของทหารพม่าเสมือนเป็นอาวุธสงครามในการปราบปรามการต่อต้านของชาวไทใหญ่ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าการข่มขืนนั้นกลายเป็นปฏิบัติปกติที่กระทำตั้งแต่ระดับนายทหารระดับถึงผู้บังคับบัญชา มีการกระทำอย่างเป็นระบบและโดยเจตนา อีกทั้งจำนวนของผู้หญิงไทใหญ่ที่ถูกข่มขืนนั้นเพิ่มขึ้นตามจำนวนของแผนปฏิบัติการทางทหารของสภาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (The State Peace and Development Council-SPDC) ที่นำมาใช้ปราบปรามกองกำลังกู้ชาติของชาวไทใหญ่ในรัฐฉานด้วย อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว จะทำให้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดชาวไทยใหญ่จึงพากันหลบหนีจากการประหัตประหารของรัฐบาลทหารพม่าเข้ามาใช้ชีวิตเป็นพี่น้องแรงงานอพยพในประเทศไทย |
ข้อมูลประกอบ
"จ๋ามตอง หญิงสาวผู้ปลูกต้นกล้าแห่งความหวังเพื่อชาวไทใหญ่" วันดี สันติวุฒิเมธี : สัมภาษณ์ ,นิตยสารสารคดี กันยายน 2548
บทสัมภาษณ์ "เอ็กซ์คลูซีฟ! สัมภาษณ์พิเศษ: "จ๋ามตอง" หญิงไทใหญ่ที่ "บุช" ขอพบ" www.prachatai.com , 21 พ.ย.2548
ทำความรู้จักหนังสือ"ใบอนุญาตข่มขืน", www.prachatai.com
ก่อนตะวันจะฉาย"ฉาน" พันเอกเจ้ายอดศึก,นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว,นวลแก้ว บูรพวัฒน์ สำนักพิมพ์โอเพ่นบุ้ค,ก.ย. 2550
หมายเหตุ : สารคดีเรื่องนี้ คือหนึ่งในงานเขียนอยู่ในหนังสือรวมเล่มชื่อ "ลมหายใจบนไหล่เขา" ที่ศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง (ศปส.) จัดพิมพ์ขึ้นในนาม "สำนักพิมพ์ชนเผ่า"พิมพ์ครั้งแรก สิงหาคม 2551 สุริยันต์ ทองหนูเอียด : บรรณาธิการ ซึ่งในหนังสือเล่มดังกล่าว มีรวมงานเขียนของ หญ้าน้ำ ทุ่งขุนหลวง, ชิ สุวิชาน, แพร จารุ,ภู เชียงดาว และ อานุภาพ นุ่นสง มีวางจำหน่ายแล้วในร้านหนังสือทั่วไป
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)