Skip to main content
sharethis

เมื่อเวลาประมาณ 03.30 น. วันที่ 11 พ.ย. ได้เกิดเหตุระเบิดเกิดขึ้นบริเวณเต็นท์ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใกล้กับเวทีปราศรัยภายในทำเนียบรัฐบาลโดยเยื้องห่างไปประมาณ 50 เมตร


 


จากการตรวจสอบ พบบนหลังคาเต็นท์ของผู้ชุมนุมมีรูโหว่ค่อนข้างใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร และบนพื้นไม้ที่กลุ่มผู้ชุมนุมนั่งก็มีรูโหว่ลงไปเช่นกัน เบื้องต้นคาดว่า คนร้ายน่าขว้างระเบิดเข้ามา แล้วไปตกบนหลังคาเต็นท์ก่อนเกิดการระเบิด นอกจากนี้ ยังมีผู้บาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดเป็นชาย 2 ราย ซึ่งถูกนำไปรับการปฐมพยาบาลบริเวณเต็นท์พยาบาลฉุกเฉินข้างเต็นท์กองทัพธรรม


 


หลังเกิดเหตุการ์ดอาสากลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้าไปในที่เกิดเหตุทันที พร้อมกันแนวร่วมพันธมิตรฯ ที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกจากพื้นที่ที่เกิดเหตุ พบบนหลังคาเต็นท์ของผู้ชุมนุม มีรูโหว่ค่อนข้างใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร และบนพื้นไม้ที่กลุ่มผู้ชุมนุมนั่งก็มีรูโหว่ลงไปเช่นกัน ทั้งนี้ คาดการณ์เบื้องต้นว่า คนร้ายน่าจะยิงลูกระเบิดข้ามมาจากบริเวณเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ตกเข้ามาบริเวณพื้นที่ชุมนุมในจุดดังกล่าวก่อนเกิดการระเบิดขึ้น ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดเป็นชายอย่างน้อย 3 คน อย่างไรก็ตาม การ์ดอาสากลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้าเคลียร์พื้นที่โดยรอบแล้ว ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บถูกนำไปรับการปฐมพยาบาลบริเวณเต็นท์พยาบาลฉุกเฉิน ข้างเต็นท์กองทัพธรรม


 


ต่อมาเวลา 04.15 น.พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวว่า ภายหลังตรวจสอบเหตุระเบิดพบว่า ลักษณะระเบิดดังกล่าวไม่น่าจะเป็นการขว้างเข้ามา แต่น่าจะเป็นการใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 29 เข้ามา ซึ่งตอนนี้การข่มขู่คุกคามพันธมิตรฯไม่ใช่เพียงการใช้ระเบิดปิงปองแล้ว แต่เป็นการใช้อาวุธสงครามยิงใส่พี่น้องประชาชนที่มาชุมนุมกันอย่างสงบ


 


พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวอีกว่า หลังจากเกิดเหตุได้มีการเก็บหลักฐานทั้งหมดไว้เพื่อที่จะนำหลักฐานดังกล่าว ไปตรวจสอบว่า เป็นระเบิดชนิดใด และจะทำหนังสือไปยัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เพื่อให้รับทราบว่า ขณะนี้ประชาชนถูกคุมคาม ถูกทำร้ายด้วยอาวุธสงคราม เพื่อให้พิจารณาว่า ทหารสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนมากน้อยแค่ไหน


 


และเพื่อยืนยันว่าการกระทำดังกล่าว เชื่อมโยงกับทหารบางคนหรือไม่ และที่ยังเกิดเหตุร้ายขึ้นมาได้อีกนั้น ย่อมสะท้อนถึงความอ่อนแอของหน่วยงานของตำรวจ และทหาร ดังนั้น การรักษาความปลอดภัยของพันธมิตรฯ ต่อจากนี้ไป จะต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ ผบ.ทบ.ซึ่งมีอำนาจทาง กอ.รมน. ซึ่งสามารถใช้มาตรการเข้าไปดูแลสถานการณ์ได้ดีมากกว่านี้อย่างไรก็ตาม การเปิดเส้นทางจราจรนั้นแม้จะเป็นการเสี่ยงไม่เฉพาะแกนนำแล้ว  ประชาชนต้องมีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งต้องมีการตรวจตราเข้มงวดมากขึ้น


 


พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า จากการตรวจสอบวัตถุดังกล่าวน่าจะเป็นระเบิดยิงด้วยอาวุธปืนเอ็ม 79 โดยอาวุธดังกล่าวต้องใช้วิธีการเล็งตรง เชื่อว่ามีผู้ที่ต้องการข่มขู่มุ่งยิงลงกลางเวทีพันธมิตรฯ และคาดว่าอาจจะยิงจากอาคารสำนักงาน ก.พ. ซึ่งพันธมิตรฯ ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ ก.พ.ให้ตรวจสอบการเข้า-ออกสถานที่ราชการ และจะติดต่อมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตพระนคร เพื่อให้ตรวจตรา ระมัดระวังบุคคลที่อาจจะเข้ามาติดตั้งอาวุธ และยิงเข้ามาภายในสถานที่ชุมนุมได้


 


ด้านนางเพียงใจ ศักดิ์เอี่ยม อายุ 57 ปี พันธมิตรฯ จากลาดพร้าว เล่าว่า ขณะเกิดเหตุตนอยู่ที่บริเวณหน้าเวที โดยขณะนั้นตนได้หันหน้ามาทางเต็นท์ที่เกิดเหตุระเบิด เห็นลำแสงสีฟ้าพุ่งตกลงมาที่หลังคาเต็นท์ โดยที่มาจากลำแสงนั้นมาจากด้านฝั่ง ป.ป.ช. และเมื่อดูจากสายตา ตนพบเพียงรอยระเบิดซึ่งสร้างความเสียหายให้กับตัวเต็นท์เป็นรูเล็กๆ เท่านั้น


 


สำหรับรายชื่อผู้บาดเจ็บเล็กน้อยเนื่องจากโดนสะเก็ดระเบิด ซึ่งถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ประกอบด้วย 1.นายสุรินทร์ ชัยชนะ 2.นายประจิต คงฤทธิ์ 3.นายจรัส ลิ้มสัสนานนท์


 


ล่าสุด เมื่อเวลา 04.30 น. รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยพร้อมอาวุธสงครามได้ที่ซอยลิขิต บริเวณสี่แยกวัดเบญจมบพิตร โดย พล.อ.ปฐมพงษ์ ได้ประสานไปยังสารวัตรทหาร ซึ่งประจำอยู่ตรงจุดที่สามรถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ พร้อมกับเปิดเผยว่า ตนได้รับการแจ้งจาก ร.ต.ท.ทองเปลว หาญไพบูลย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดุสิต ว่า ได้อยู่เวรร่วมกับสารวัตรทหารตรงบริเวณจุดสกัดจับผู้ต้องสงสัย โดยภายหลังจากเกิดเหตุระเบิดสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้พร้อมอาวุธปืนบีบีกันซึ่งใช้ในเกมเพนต์บอล


 


พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวอีกว่าจะไปตรวจสอบที่ สน.ดุสิต อีกครั้งเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวอยู่ ที่สำคัญเวลานี้ทหารจะต้องมีการดูแลพื้นที่การชุมนุมของพันธมิตรฯ ให้มากกว่านี้ เพราะพื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้กับกองบัญชาการกองทัพบก กองทัพภาคที่ 1 และกองบัญชาการตำรวจนครบาล อีกทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการกำหนดว่าจะมีการเปิดถนน 10 สาย เพื่อให้เกิดความพร้อมที่จะจัดงานราชพิธี ถึงแม้ว่าจะเสี่ยงต่ออันตรายที่อาจจะเกิดกับผู้ชุมนุมก็ตาม


 


ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์และมติชนออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net