Skip to main content
sharethis

รสนาเผยกลุ่ม ส.ว. เตรียมยื่นยูเนสโกค้านกัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร


วานนี้ (23 มิ.ย.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล สว.กทม. เปิดเผยว่า ขณะนี้บรรดา ส.ว.ได้มีการลงรายชื่อเพื่อทำหนังสือยื่นต่อองค์การยูเนสโก เพื่อคัดค้านกัมพูชาในการขอให้ขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก


 


คณะ ส.ว.จะเดินทางไปยื่นที่ทำการองค์การสหประชาชาติ ถนนราชดำเนิน กรุงเทพ วันที่ 24 มิ.ย.เวลาประมาณ 11.00น.นอกจาก นี้ได้มีแนวคิดที่จะร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยว่าการที่รัฐบาลตัดสินใจดำเนินการเรื่องนี้ โดยไม่ผ่านรัฐสภา เป็นการกระทำผิดมาตรา 190 รัฐธรรมนูญซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ว่า เป็นการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว การกระทำต่างๆจะมีผลเป็นโมฆะ


 


"ทั้งนี้ เราเห็นว่าการที่รัฐบาลเขมร ได้หารือฝ่ายไทยในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่ายังมีปัญหาอยู่ ที่รัฐบาลกัมพูชาไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ตามลำพัง เหมือนการจะรังวัดที่ดินออกโฉนด ไม่ใช่จะวัดเฉพาะที่ดินจะออกเท่านั้น แต่จะต้องแจ้งเจ้าของที่ดินใกล้เคียง ให้ยืนยันด้วย" น.ส.รสนา กล่าวและว่า


 


ดังนั้น การรับรองของรัฐบาลไทยต่อเรื่องนี้ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และหากเราไปลงนามประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไร เพราะเชื่อว่าเพียงการอภิปรายในสภาอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาล


 


 


ชุมนุมพันธมิตร วีระ-ภูวดล ไล่ "ใจ อึ๊งภากรณ์" พ้นแผ่นดินไทย


บรรยากาศการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันนี้ซึ่งเป็นการชุมนุมวันที่ 31 โดยยังคงมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมชุมนุมการปราศรัย โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึกระบุว่ามีผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 2,000 คน


 


โดยการปราศรัยเน้นไปที่การโจมตีเขาพระวิหาร และโจมตีนายใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในกรณีที่เขียนบทความชี้แจงกรณีเขาพระหาร ซึ่งนายวีระ สมความคิด และ ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ ต่างโจมตีว่านายใจไม่มีแนวคิดเลื่อมใสในระบอบพระมหากษัตริย์ และไม่รู้เรื่องเหตุการณ์ดังกล่าวจริง และไล่ให้นายใจออกจากแผ่นดินไทยไป นอกจานี้บนเวทียังมีการแสดงดนตรีสลับ และในวันนี้ วง "ซูซู" ก็ได้มาร่วมด้วย


 


 


ศาลโลกพึ่งไม่ได้ พันธมิตรบุกศาลปกครองพรุ่งนี้ยื่นค้านเช่นกัน


นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงว่าในวันพรุ่งนี้ 24 มิ.ย. ตัวแทนพันธมิตรจำนวน 5 คน ประกอบด้วย นายนิติธร ล้ำเหลือ นายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ นายนคร ชมพูชาติ ฐานะทนายความ นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. และ ตน ใช้สิทธิในฐานะเป็นประชาชนใน จ. ศรีษะเกษ จะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2551 กรณีที่ ครม. ให้ความเห็นชอบอนุมัติให้นายนพดล ปัทมะ รมว. ต่างประเทศลงนามในหนังสือยืนยัน และสนับสนุนประเทศกัมพูชา ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งเป็นการขัด รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 และเป็นการดำเนินการที่ขัดกับพระราชกฤษฎีการว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน


 


ทั้งนี้ในท้ายคำร้องจะขอให้ศาลเปิดไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองเพื่อไม่ให้ประเทศกัมพูชานำข้อตกลงร่วมดังกล่าวไปอ้างในการยื่นจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และในการเดินทางไปศาลปกครองจะไม่มีการจัดขบวน แต่หากพันธมิตรคนใดที่ประสงค์ไปให้กำลังใจก็ไปเจอกันที่บริเวณดังกล่าวได้


 


ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นการเมืองใหม่ที่แกนนำพันธมิตรฯ ได้หยิบยกขึ้นมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้ ถือว่าเป็นการสร้างเงื่อนไขใหม่ในการเคลื่อนไหวของพันธมิตรหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า การเมืองใหม่ถือว่าเป็นแนวคิดหนึ่ง ที่พันธมิตร ถือว่าแม้ว่าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้น สุดท้ายก็จะลงเอยด้วยการไว้วางใจนายกฯ และ รัฐมนตรี เนื่องจากรัฐบาลคุมเสียงข้างมาก แม้จะมีการลาออก หรือ ยุบสภา เชื่อว่านักการเมืองกลุ่มเดิมๆ จะได้รับเลือกตั้งกลับมาใหม่ เพราะปัจจุบันนักการเมืองไทยอยู่ในอุ้งมือของนายทุนใหญ่ ดังนั้นแนวคิดดังกล่าวต้องการที่จะให้การเมืองไทยพ้นไปจากระบบการเมืองเดิมๆ ที่ใช้เสียงข้างมากลากไป ส่วนรูปแบบการเมืองใหม่ดังกล่าวจะเป็นอย่างไร พันธมิตร อยากจะให้สังคม และนักวิชาการร่วมกันช่วยคิดรูปแบบขึ้นมา


 


"กรณีที่มีการเสนอรัฐบาลแห่งชาติ หรือ การงดใช้รัฐบาลบางมาตราตามข้อเสนอของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ แม้จะเป็นเรื่องที่ล้าหลัง แต่ในสถานการณ์แบบนี้อาจจะนำกลับมาใช้ได้ โดยอาจจะมีการปรับในบางเรื่องที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะขณะนี้จะเห็นว่ารัฐบาลจะเรียกร้องให้พันธมิตรฯ เคารพระบบรัฐสภา แต่รัฐบาลเองก็ไม่ได้แสดงออกถึงการเคารพระบบรัฐสภา เช่น การหนีให้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี หรือ การไม่อยู่ร่วมฟังการอภิปรายของส.ว. หรือแม้กระทั่งการไม่นำเรื่องเขาพระวิหาร มาสู่การพิจารณาของสภามาตั้งแต่ต้น " นายสุริยะใส กล่าว


 


นายสุริยะใส ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่าพันธมิตรจะไปปิดล้อมประตูทำเนียบ และบุกเข้าไปเผาทำเนียบ โดยยืนยันว่าพันธมิตรมีจุดยืนต่อเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจนว่าจะไม่บุกเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งหากมีผู้ใดเข้าไปก็ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและดำเนินคดี อย่างไนก็ตามตนทราบข่าวมาว่า ได้มีการเตรียมการที่จะสร้างสถานการณ์ว่าพันธมิตรบุกเข้าไปเผาทำเนียบ โดยได้มีการจัดเตรียมเอกสารบางส่วนเอาไว้แล้ว


 


 


พันธมิตรร้องรัฐบาลทบทวนจุดยืนกรณีเขาพระวิหาร


เมื่อเวลา 20.30 น. 5 แกนนำพันธมิตรฯได้ขึ้นเวทีปราศรัยต่อผู้ชุมนุม ในวันที่ 31 โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าเขาพระวิหารยังเป็นของประเทศไทยอยู่ ถึงแม้ว่าศาลโลกจะมีการตัดสินกรณีเขาพระวิหารไปแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลไทยสมัยนั้นได้ยื่นสงวนคำคัดค้านเอาไว้ โดยได้แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินของศาลโลก


 


ส่วนกรณีที่รัฐบาลเตรียมจะสนับสนุนให้ประเทศกัมพูชายื่นขอจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น หากรัฐบาลไทยยอมที่จะดำเนินการตามที่เป็นข่าวก็จะทำให้ประเทศไทยเสียสิทธิ์ในการคัดค้านดังกล่าวและส่งผลให้เราต้องสูญเสียเขาพระวิหาร และอาจต้องเสียดินแดนที่เป็นของประเทศไทยอีกครั้ง


 


 


พิภพอ้างศาลโลกไม่ยุติธรรม แถมคะแนนไม่เป็นเอกฉันท์


ด้านนายพิภพ ธงไชย กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่ากรณีเขาพระวิหารยังเป็นของไทยอยู่ แม้ว่าคำตัดสินของศาลโลกจะตัดสินด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 เสียงให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาแต่คำตัดสินไม่เป็นเอกฉันท์ และตนขอตั้งข้อสังเกตว่าคณะกรรมการที่ได้ตัดสินเขาพระวิหารในขณะนั้นส่วนใหญ่เป็นคนฝรั่งเศส และที่สำคัญคำตัดสินดังกลาวที่ได้รับการสนับสนุนในเวลานั้นก็เพราะประเทศฝรั่งเศสมีความต้องการที่จะครอบครองประเทศกัมพูชาอยู่


 


นอกจากนี้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของ ส.ว.วันนี้ที่นายกฯได้ตอบคำถามของส.ว.โดยยืนยันว่าเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาไปแล้วกว่า 40 ปี ตนไม่รู้ว่าคนเป็นนายกฯและเป็นผู้นำประเทศไปพูดยืนยันและยอมรับในเรื่องนี้ได้อย่างไร และขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนเรื่องดังกล่าวใหม่ การที่ไปสนับสนุนให้กัมพูชาเป็นเจ้าของเขาพระวิหารของนายกฯ จะทำให้เราเสียสิทธิ์ในการที่เราเคยยื่นคำร้องคัดค้านเอาไว้ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจะทำให้ประเทศไทยต้องเสียเขาพระวิหารไปอย่างถาวร และจะทำให้เราต้องเสียดินแดนอีกครั้ง


 


ทั้งนี้การที่รัฐบาลในขณะนั้นไม่ยื่นโต้แย้งคำตัดสินของศาลโลก แต่ใช้การยื่นคำสงวนสิทธิ์คำคัดค้านเอาไว้เพราะเรากลัวว่าการโต้แย้งดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนในส่วนอื่นอีก


 


"หากรัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถยืนยันในจุดยืนของฝ่ายไทยว่า เขาพระวิหารยังเป็นของไทย ผมคิดว่ารัฐบาลชุดนี้ก็สมควรต้องออกไป ถ้ารัฐบาลไม่ตระหนักและไม่ทบทวนในสิ่งที่รัฐบาลได้กระทำไปก่อนหน้านี้" นายพิภพ กล่าว


 


 


"สนธิ" จวก "สมัคร" ไม่เหลือความเป็นมนุษย์


นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นเวทีและกล่าวปราศรัยต่อผู้ชุมนุม ว่า นายสมัคร ไม่ได้เป็นเพียงโมฆะบุรุษเท่านั้น แต่ความเป็นมนุษย์ที่รู้จักผิดชอบชั่วดีก็แทบจะไม่เหลือแล้ว นายสมัครเป็นผู้จัดการมรดกตระกูลธรรมวัฒนะมากว่า 18 ปีแล้ว ทั้งๆที่พินัยกรรมบอกให้แบ่งมรดกให้เสร็จภายใน 1 ปี และการเป็นผู้จัดการมรดกก็ถือว่าไม่มีคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะผู้จัดการมรดกจะได้รับค่าเป็นที่ปรึกษาจำนวน 2 หมื่นบาทต่อเดือน และสิ้นปีก็ยังได้โบนัสอีก 2 แสนบาท แต่เมื่อนายสมัครรู้ตัวว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็มอบหมายให้บุตรสาวของตัวเองเป็นผู้รับเงินเดือนและผลประโยชน์แทน จะเห็นได้ว่านายสมัครนอกจากจะเป็นนอมินีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว ในส่วนตัวก็ยังมีนอมินีอีกต่อหนึ่ง ถามว่าเป็นผู้จัดการมรดก 8 ปีแล้วยังจัดการมรดกไม่เรียบร้อย อย่างนี้จะมาบริหารบ้านเมืองได้อย่างไร


 


ต่อมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้เปิดเทปคำกล่าวของนายสมัครต่อกรณีเขาพระวิหาร และได้เปิดเทปเสียงของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมีใจความว่าสักวันหนึ่งต้องนำเขาพระวิหารคืนมา มาเปรียบเทียบกัน


 






คำปราศรัยของ สฤษดิ์ ธนะรัชต์


หลังศาลโลกตัดสินเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา


 


 


"พี่น้องร่วมชาติ และมิตรร่วมชีวิตที่รักของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ศาลโลก ได้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา และทางรัฐบาลได้ออกแถลงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเป็นลำดับนั้น


 


รัฐบาลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะตัวของข้าพเจ้า ถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลได้ผลเสียของชาติ อันเป็นเรื่องของแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นมรดกที่บรรพบุรุษของเราสู้มา อุตส่าห์ฝ่าคมอาวุธรักษาไว้ และตกทอดมาถึงรุ่นเรา


 


เนื่องจากในคำปราศรัยนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบดีว่า ในส่วนลึกและหัวใจแล้ว คนไทยผู้รักชาติทุกคน มีความเศร้าสลดและมีความข่มขืนใจเพียงใด แสดงออกถึงของประชาชนในการเดินขบวนทั่วประเทศ เพื่อคัดค้านคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่อย่างชัดเจนแล้ว


 


ทั้งนี้ มิใช่ว่าพวกเราจะนั่งนิ่งเฉยหรือท้อแท้ใจ ชาติไทยยอมท้อแท้ทอดอาลัยไม่ได้ เราเคยสูญเสียดินแดนแก่ประเทศมหาอำนาจที่ล่าอาณานิคมมาแล้วหลายครั้ง หากบรรพบุรุษของเรายอมท้อแท้ เราจะเอาแผ่นดินที่ไหนมาอยู่กันได้จนถึงทุกวันนี้ เราจะต้องหาวิธีการสู้ต่อไป


 


สำหรับกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งศาลโลกได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วนั้น ข้าพเจ้าขอทบทวนเข้าใจกับเพื่อนร่วมชาติทั้งหลาย ว่า รัฐบาลและประชาชนชาวไทย ไม่ได้เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลโลก ทั้งในข้อเท็จจริงกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม


 


เมื่อเป็นดังนี้ แม้นรัฐบาลและปวงชนชาวไทย จะได้มีความรู้สึกสลดใจและขมขื่นเพียงใด ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ก็ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติ กล่าวคือ ต้องยอมให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร ตามพันธกรณีแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ แต่รัฐบาลขอตั้งประท้วงและขอสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมของประเทศไทยในเรื่องนี้ไว้ เพื่อสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินทางกฎหมายที่จำเป็น ซึ่งอาจจะมีขึ้นในภายภาคหน้า ให้กรรมสิทธิ์นี้กลับคืนมาในโอกาสอันสมควร


 


พี่น้องทั้งหลายคงทราบดีว่า ชาติของเราต้องเสียศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิไป เนื่องจากเขาพระวิหาร อีกสิบปีอีกกี่ร้อยปี เราก็สามารถสร้างเกียรติภูมิคราวนี้กลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าทราบว่า การสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารครั้งนี้ เป็นการสูญเสียที่สะเทือนใจของคนไทยทั้งชาติ


 


ฉะนั้น แม้นว่า กัมพูชาจะได้ปราสาทเขาพระวิหารนี้ไป ก็คงไปได้แค่ซากปรักหักพัง และแผ่นดินเฉพาะรองรับเขาพระวิหารเท่านั้น วิญญาณของปราสาทเขาพระวิหารยังคงอยู่กับคนไทยตลอดไป ประชาชนชาวไทยจะระลึกอยู่เสมอว่า ปราสาทเขาพระวิหารของไทยถูกปล้นเอาไป ด้วยอุปเล่ห์เพทุบาย คนที่ไม่มีเกียรติและไม่รับผิดชอบ ไม่รักความเป็นธรรม เมื่อประเทศไทยเราประพฤติปฏิบัติดีในสังคมโลก อันเป็นที่มีศีลธรรม มีสัตย์ ในวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าก็เร็ว ปราสาทเขาพระวิหารจะต้องกลับมาสู่ดินแดนไทยอีกครั้งหนึ่ง


 


เหตุการณ์เกี่ยวกับเขาพระวิหารครั้งนี้ สลักแน่นอยู่ในความทรงจำของคนไทยสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน และเป็นรอยจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไปตลอด เสมือนแผลที่อยู่ในใจของคนไทยทั้งชาติ แต่ข้าพเจ้าหวังอยู่เสมอว่า ในที่สุด ธรรมะย่อมชนะอธรรม การหัวเราะที่หลังย่อมดังกว่า และนานกว่า


 


พี่น้องร่วมชาติทุกท่าน ได้โปรดวางใจรัฐบาลซึ่งข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นี้ จะสามารถนำชาติและพี่น้องชาวไทยที่รักก้าวสู่อนาคตอันสุกใสให้ได้ และข้าพเจ้ารับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า เมื่อถึงคราวที่ชาติคับขันแล้ว ข้าพเจ้าจะกอดคอร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องประชาชนชาวไทย เอาเลือดทาแผ่นดิน ไม่เสียดายชีวิตแม้แต่นิดเดียว แต่เราจะทำอย่างไรได้ ข้าพเจ้าเองมีความเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อยไปกว่าเพื่อร่วมชาติทั้งหลาย


 


การที่ข้าพเจ้าต้องมากล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า การมาพูดกับท่านด้วยน้ำตา น้ำตาของข้าพเจ้า เป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ของเลือด ของความคับแค้น และการผูกใจเจ็บชั่วชีวิตชาตินี้และชาติหน้า ต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของชาวไทย


 


ข้าพเจ้าขอกล่าวคำปฏิญาณด้วยสัตย์วาจาดังนี้ พี่น้องที่รักชาติทั้งหลาย น้ำตาไม่อาจทำให้เราฉลาดขึ้น แต่เราจะต้องได้อะไรคืนมา ในขั้นสุดท้ายชาติไทยจะต้องประสบกับชัยชนะเสมอ เราต้องกล้าสู้ เราต้องกล้ายิ้มรับภัยที่มาถึงตัวเรา ชาติไทยเป็นชาติที่เชื่อมั่นในบริวารพุทธศาสนา ตั้งตนอยู่ในความเป็นธรรมตลอดมา


 


ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเสมอว่า ชาติของเราจะไม่อับจนเป็นอันขาด เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งในบรรดาเรื่องใหญ่ทั้งหลาย มีความสำคัญมากกว่านี้ ชาติที่รักของเรากำลังพัฒนาไปในสู่วิถีทางที่ดีขึ้น เหตุนี้ไม่ใช่เหตุผลความอับจนของเรา จงหวังและทำในเรื่องชาติที่สำคัญกว่านี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ชาติไทยของเรามีอนาคตแจ่มใสและรุ่งโรจน์อย่างแน่นอนและมั่นคงในอนาคตอันใกล้ นี้ เราจงมาช่วยกันสร้างชาติที่รักยิ่งของเราต่อไป


 


พี่น้องชาวไทยที่รักทั้งหลาย วันนี้เป็นวันหนึ่งและเป็นในวันข้างหน้า เราจะต้องเอาปราสาทเขาพระวิหารกลับคืนมา ให้เป็นของชาติไทยให้จงได้ สวัสดี"


 


ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์


 


 


อ้างมีกระบวนการฉ้อฉลยกอธิปไตยไทยให้ต่างชาติ


นายสนธิได้กล่าวว่า ปัจจุบันมีกระบวนการฉ้อฉลเพื่อยกอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทยให้ต่างชาติ และเป็นการทำด้วยความฉลาดแกมโกง จงใจที่จะฉ้อฉล เพื่อยกดินแดนให้ต่างชาติ เราอับอายที่มีคนไทยขายชาติเช่นนี้ แต่ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในตึกไทยคู่ฟ้า


 


และย้ำว่าไทยมีความชอบธรรมในการอ้างสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหาร เพราะแม้กระทั่งคำตัดสินของศาลโลกก็ไม่ได้มีมติเป็นเอกฉันท์มีผู้พิพากษาถึง 3 คนที่เห็นด้วยกับเรา แต่เรากำลังเสียสิทธิที่จะทวงคืนหลังจากนายนพดล และนายซกอันรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาลงนามในข้อตกลง


 


 


จองเวรเขาวิหาร 500 ปี ลั่นสู้จนกว่าเลือดหัวมันออก ตายเป็นตาย


นายสนธิ ย้ำว่า ถ้ากระทำไปด้วยความโง่อาจยอมรับได้ แต่นี่เป็นการจงใจฉ้อฉลที่จะยกปราสาทพระวิหารให้แลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจของนายใหญ่ ทั้งที่ถ้าไทยไม่รับรอง กัมพูชาก็ขึ้นทะเบียนไม่ได้ จะให้ต้องพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหารกับเขมรไปอีก 500 ปีก็ให้เป็นไป


 


"มันหมดสิ้นแล้วบ้านเมืองนี้ บ้านเมืองวิกฤต แต่ไม่นึกว่ามันวิกฤตและชั่วช้าถึงขนาดนี้ เจ็บใจอะไรไม่เท่ากับคนขายชาติ ยกดินแดนให้เขมรเพื่อแลกกับผลประโยชน์ของบิดามันที่บอกว่าไม่เล่นการเมืองแต่อยู่เบื้องหลังทุกอย่างในประเทศนี้" นายสนธิ ระบุและว่า มีคนถามว่าจะสู้อีกอีกนานเท่าไหร่ ก็ตอบไปว่าจะสู้จนกว่าเลือดหัวมันออก ตายเป็นตาย


 


 


เอาอีกรอบถ้า "เป่าปรี๊ด" รอบสองขอให้มาเป็นล้าน


นายสนธิ กล่าวว่า วันนี้เรามายืนอยู่บนทางสองแพร่งที่ต้องมีชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และไม่ขายชาติขายแผ่นดิน ส่วนอีกแพร่งหนึ่งที่มีพวกนักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่ไม่เอาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พวกเราเลือกข้างแล้วหรือไม่ว่าอยู่ข้างไหน นี่คือเหตุผลว่าเราอย่าท้อ และนี่คือบทพิสูจน์ว่าฝนตกก็ไม่หนี


 


"ที่ผ่านมาเราเป่านกหวีดแล้วมาถึงตรงนี้ ต่อไปถ้าเราเป่านกหวีดอีกครั้งให้มากันเป็นล้าน สู้ไม่สู้ครับพี่น้อง" นายสนธิ ระบุ


 


และกล่าวว่า เวลานี้การเมืองพังทลาย เมื่อ ส.ว.กำลังอภิปรายแล้วถูกนายสมัครขากถุยใส่ ไม่ให้ความสนใจ การเมืองแบบนี้เราไม่เอา เราต้องเปลี่ยนการเมืองใหม่ เวลานี้ไม่ใช่เรื่องแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญแล้ว


 


"สู้ไม่สู้ ถ้าสู้ผมพร้อมจะตายกับพี่น้อง และจะตายก่อนพี่น้อง" นายสนธิ กล่าวย้ำ และหลังจากที่นายสนธิกล่าวจบ วงคาราวานก็ขึ้นเล่นดนตรี


 


ผุ้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้แกนนำได้ขึ้นปราศรัยจำนวน 4 คน ขาดนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เนื่องจากติดภารกิจ เพราะวันพรุ่งนี้ (24 มิ.ย.) ต้องเตรียมตัวอภิปรายไม่ไว้วางใจ


 


 


พล.อ.วิชิต หวั่นกระแสเขาพระวิหารกระทบความสัมพันธ์กัมพูชา


พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก และนายทหารคนสนิท พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้คุ้นเคยในพื้นที่แถบชายแดนประเทศกัมพูชา เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นห่วงกรณีที่ประเทศกัมพูชาสั่งปิดเขาพระวิหาร ซึ่งถือเป็นสัญญานที่น่าเป็นห่วง


 


ขณะนี้ภายในประเทศกัมพูชาเองเป็นช่วงที่ใกล้จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่ากระแสการเมืองค่อนข้างรุนแรง ส่วนการพูดคุยกับกัมพูชานั้นตนเชื่อว่าไม่มีปัญหา แต่ในส่วนของภาคการเมืองไทย ตนอยากถามว่าใครจะเป็นตัวกลางพูดคุยระหว่างกลุ่มต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจก่อนที่สถานการณ์จะไปไกลกว่านี้


 


อย่างไรก็ตาม พล.อ.วิชิต กล่าวต่อด้วยว่า ไม่อยากให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยเฉพาะซีกการเมืองทั้งในและนอกสภา หยิบยกประเด็นเรื่องเขาพระวิหารนี้มาปลุกกระแสรักชาติ เพราะถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่งหากพูดต่อกันไปเรื่อยๆ เช่นนี้ สถานการณ์อาจจะกระทบความสัมพันธ์ได้


 


 


ที่มาของข่าว: ผู้จัดการออนไลน์และคมชัดลึก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net