Skip to main content
sharethis


ประวิตร โรจนพฤกษ์


 


การลาออกของนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ณ เที่ยงวันศุกร์ที่ 30 พ.ค. เป็นชัยชนะของสื่อและบรรดานักการเมืองที่อนุรักษ์นิยม คลั่งสถาบันกษัตริย์สุดโต่ง (ultra royalist) และเป็นการตอกย้ำสร้างบรรทัดฐานผิดๆ ที่ทำให้การแสดงความเห็นที่แตกต่างหรือเท่าทันสถาบันกลายเป็นอาชญากรรมทางสังคม


 


หากบรรดาคนสุดโต่งเหล่านี้กระทำได้มากกว่านี้ พวกเขาก็คงจะบังคับออกกฎหมายให้มีการฝังเครื่องอ่านความคิดในสมองคนไทยทุกคน ตั้งแต่แรกเกิด เพื่อที่ว่า หากใครก็ตาม คิดตั้งคำถามหรือคิดเท่าทันต่อสถาบันก็จะเกิดสัญญาณส่งไป ณ ศูนย์ดูแลความมั่นคงภายใน เพื่อที่ทางการจะได้มารวบตัวไปเข้าตะรางอย่างทันควัน และทำให้การคิดเช่นนั้น กลายเป็นอาชญากรรมโดยทันที


 


หรือหากทำได้มากกว่านี้ คงจับคนไทยทุกคนเข้าผ่าตัดเอาสมองบางส่วนออก เพื่อจะได้ไม่มีใครสามารถตั้งคำถามหรือวิพากษ์สถาบันกษัตริย์ คงเหลือเพียงสมองส่วนที่พูดประจบ เทิดทูนสุดๆ (ไม่ว่าจะด้วยความจริงใจหรือไม่ก็ตาม) แต่เพียงถ่ายเดียว


 


"ทัศนคติอันตราย" ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึง (ดูข่าวไทยรัฐหน้า 1 เรื่อง "อภิสิทธิ์ถึงช็อกทัศนคติจักรภพ" ฉบับวันที่ 29 พ.ค. 51) ที่แท้จริงแล้ว หาใช่ความคิดของนายจักรภพที่แสดงในที่สาธารณะและสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ หากเป็นความคิดของคนอย่างนายอภิสิทธิ์และสื่อจำนวนมาก ที่ทำให้การตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามต่อสถาบันกลายเป็นอาชญากรรมทางสังคม ก่อนที่ศาลจะได้ตัดสินเสียอีก นี่แหละคือทัศนคติอันตรายที่แท้จริง เพราะเป็นความคิดเผด็จการที่ไม่ยอมรับการตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามต่อบทบาทของสถาบันฯ ต่อการเมืองไทย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนจำนวนมากก็รู้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามและข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันฯ กับการเมืองและอนาคตประชาธิปไตยไทย เพียงแต่คนส่วนใหญ่มิกล้าแสดงออกในที่สาธารณะ


 


และผู้เขียนเชื่อว่าหลายคนที่ยัดเยียดข้อหานี้ให้แก่นายจักรภพ ซึ่งรวมถึงสื่อและนักการเมือง ก็คงคิดอย่างเท่าทันต่อสถาบันฯ ในที่ลับด้วยซ้ำไป เพียงแต่ไม่กล้ายอมรับหรือพูดในที่สาธารณะ หากชอบประจบประแจงเทิดทูนอย่างเกินพอเพียง เวลาอยู่ต่อหน้าสาธารณะ


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นการยอกต้ำสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวทางความคิดและการแสดงออก -- คนพวกที่สนับสนุนการไล่ล่าจำเลยทางสังคมเช่นนี้คงจะบอกว่า พวกคุณไม่ต้องกลัวหรอก ตราบใดที่พวกคุณคิดเหมือนพวกเรา หรือคิดตามพวกเรา


 


อย่างไรก็ตาม ผลของการกระทำเช่นนี้ จะทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่อ่อนเปลี้ยทางสติปัญญาและทางความคิด เต็มไปด้วยคำประจบเกินพอเพียง หรือแม้กระทั่งคำประจบแบบสุดโลกและพร่ำเพรื่อต่อสถาบันกษัตริย์ คนไทยจำนวนมาก อาจมองว่ากษัตริย์เป็นพ่อหลวงหรือดุจบิดาแห่งแผ่นดิน แต่การพร่ำพูดแต่คำประจบเทิดทูนอย่างสุดโต่ง มาพร้อมกับการปกป้องประคบประหงมสถาบันฯ อย่างไม่รู้จบ จนใครพูดอะไร เขียนอะไรเชิงวิพากษ์ไม่ได้ จึงอยากถามว่า การปฎิบัติเช่นนี้เป็นผลดีต่อสังคมไทยในระยะยาวหรือ


 


หากใครเห็นดีกับคุกทางความคิดและจิตสำนึกก็ขอให้ปรบมือดังๆ ให้กับสื่อไทยและนักการเมืองอย่างนายอภิสิทธิ์ ที่ทำให้เมืองไทยมีสภาพเหมือนประเทศเกาหลีเหนือมากขึ้นทุกที (หรืออาจจะมากกว่าไปแล้วก็ได้) แต่หากท่านไม่พอใจก็ขอให้ออกมาปฎิเสธการยัดเยียดคุกทางความคิดอย่างสันติและแน่วแน่ ด้วยวิธีที่แต่ละคนพึงกระทำได้ แต่โปรดสำเหนียกด้วยว่า หากสังคมยังไม่เปลี่ยนไปในทางที่มีเสรีภาพมากขึ้น คุณก็อาจจะไม่มีโอกาสเป็นรัฐมนตรี หรือหากเป็นได้ก็จะมีจุดจบอย่างนายจักรภพ เพ็ญแข    

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net