Skip to main content
sharethis

อาจารย์พฤกษ์  เถาถวิล คณะศิลปศาสตร์  มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี  นำเสนอจากบทความในชื่อ "ภาคปฏิบัติการของวาทกรรมเศรษฐกิจพอเพียง"   ในการประชุมทางวิชาการ เรื่อง เหลียวหลังแลหน้าการเปลี่ยนแปลงสังคมชนบทอีสานช่วงทศวรรษ 2540-2550 กรณี "เศรษฐกิจพอเพียง: ความรู้และความไม่รู้"  จัดโดย สาขาสังคมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ร่วมกับ  สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย  เมื่อวันที่  20-21  พฤศจิกายน 2550   ณ สำนักงานอธิการบดี  มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี  โดยมี ศิโรตม์  คร้ามไพบูลย์  นักศึกษาปริญญาเอก  มหาวิทยาลัยฮาวาย  สหรัฐอเมริกา ร่วมแสดงความเห็นต่อบทความชิ้นนี้  "ประชาไท"  ขอนำเสนอโดยย่อ ดังนี้


 


000


พฤกษ์  เถาถวิล คณะศิลปศาสตร์


มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


 


ในรอบทศวรรษนี้ แนวคิด" เศรษฐกิจพอเพียง"  ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทวีความสำคัญขึ้นเป็นอุดมการณ์แห่งชาติ  ตลอดจนเป็นแนวนโยบายหลักของรัฐในการพัฒนาประเทศ ภายใต้การทำงานของสถาบัน/องค์กรหลากหลายที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นระบบ  มีผู้เชี่ยวชาญ  การสร้างองค์ความรู้ การประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติที่หลากหลาย  จนอาจกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจพอเพียงได้ยกฐานะเป็น"วาทกรรมหลัก" ของสังคมไทย   


 


ประเด็นที่น่าสนใจคือ  วาทกรรมหลักนี้สถาปนาตนขึ้นอย่างไร  และส่งผลอย่างไรต่อสังคมไทย   โดยเฉพาะภาคชนบท/หมู่บ้าน ในที่นี้จะใช้กรอบความคิดที่มองเศรษฐกิจพอเพียงในบริบทของวาทกรรมการพัฒนา ซึ่งหมายถึงกระบวนการผลักดันการพัฒนาที่กระทำผ่านปฏิบัติการทางสังคมที่หลากหลาย เพื่อสร้างความจริงเรื่องการพัฒนาที่สังคมไทยต้องมุ่งไปให้ถึง และจะวิเคราะห์ภาคปฏิบัติการของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับหมู่บ้าน อันเป็นกระบวนการทางสังคมในการนำแนวคิดนี้มาใช้ รวมถึงผลที่เกิดขึ้น


 


การพัฒนาชนบท เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย  ซึ่งเป็นวาทกรรมระดับโลกที่ถูกผลักดันโดยกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ  จนนำมาสู่การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขึ้นในประเทศไทย  แต่แล้วผลของการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยกลับทำให้ประเทศที่ถูกพัฒนาด้อยพัฒนายิ่งขึ้น   เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนบทกับเมืองมากขึ้น  จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในช่วงแผน 5 (2525-2529)  ที่รับเอาแนวคิดการพัฒนาแบบพึ่งตนเองจากการผลักดันขององค์การสหประชาชาติ   ซึ่งเป็นวาทกรรมชุดใหม่ที่เน้นชุมชนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา  ทำให้ชุมชนมีศักยภาพ  พึ่งตนเองได้ จากภูมิปัญญาหรือจุดแข็งที่มี  และองค์กรพัฒนาเอกชนได้นำมาใช้อย่างกว้างขวางมาก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2520  เมื่อทางราชการหันมาใช้แนวทางเดียวกัน  แนวทางการพัฒนาแบบพึ่งตนเองจึงได้มีบทบาทสำคัญขึ้นในการพัฒนาชนบท


 


เมื่อมองในบริบทการพัฒนาดังกล่าวมา จะพบว่า เศรษฐกิจพอเพียงเกิดขึ้นภายใต้กระแสการพัฒนาแบบพึ่งตนเองในยุคนั้น นับตั้งแต่ในหลวงทรงพระราชทาน "เกษตรทฤษฎีใหม่"  เป็นครั้งแรกในปี 2537  แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงได้เข้าปะทะประสานแลกเปลี่ยนกับวาทกรรมอื่นๆ  และสถาปนาตัวเป็นวาทกรรมหลักในเวลาต่อมา และดูดกลืนการพัฒนาขององค์กรพัฒนาเอกชน รวมทั้งหน่วยงานรัฐมาไว้ภายใต้วาทกรรมเศรษฐกิจพอเพียงอย่างกลมกลืน      


 


ในยุคของรัฐบาลทักษิณ (2542-2549)  เศรษฐกิจพอเพียงได้กลายเป็นประเด็นในการต่อสู้ทางอุดมการณ์เพื่อครองความเป็นเจ้า (Hegemony)  ระหว่างกลุ่มจารีตนิยม และทุนนิยมเสรีโลกาภิวัตน์    ทั้งสองฝ่ายพยายามช่วงชิงในการให้ความหมายเศรษฐกิจพอเพียง  และใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจนำ  ฝ่ายจารีตนิยมได้ผลักดัน/ขยายแนวคิดผ่านการพูด การเขียนของปัญญาชน นักวิชาการ นักพัฒนา ปราชญ์ชาวบ้าน ข้าราชการ นักธุรกิจ  ผลักดันต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียงผ่านโครงการหลวง  โครงการพระราชดำริ  ผลักดันให้เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาผ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 และ 10  


 


ในขณะที่ ฝ่ายทุนนิยมเสรี  ซึ่งมีทักษิณเป็นตัวแทน ก็ตีความเศรษฐกิจพอเพียงให้เข้ากับโลกาภิวัตน์และนโยบายประชานิยม  ที่สร้างคะแนนนิยมในหมู่ประชาชน และสร้างภาพพจน์ที่ดีให้กับตัวทักษิณและพรรคไทยรักไทย  การจับ "เศรษฐกิจพอเพียงแต่งงานกับประชานิยม"    ทำได้ไม่ยาก เพราะทั้งสองฝ่ายมีรากลึกอยู่ที่การพัฒนาแบบพึ่งตนเอง เศรษฐกิจพอเพียงนั้นพ้องกับการพัฒนาแบบพึ่งตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย  ส่วนประชานิยม อันได้แก่ กองทุนหมู่บ้าน  หมู่บ้าน SML  หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์  ก็เป็นแนวการพัฒนาแบบพึ่งตนเองดีๆ นั่นเอง   เพราะนำชนบทมาเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา  โดยอาศัยกระบวนการกลุ่ม  การมีส่วนร่วม ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นสำคัญ


 


ในยุครัฐประหาร  เศรษฐกิจพอเพียงถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกครั้งในการสร้างการยอมรับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร  รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ประกาศให้เศรษฐกิจพอเพียงเป็นนโยบายหลัก  และแปรสู่การปฏิบัติภายใต้แผนพัฒนาจังหวัดที่ชื่อ "ยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข"   แต่เมื่อพิจารณาดูก็ไม่ต่างจากแผนที่ผ่านๆ มา  คือเต็มไปด้วยสำนวนประเภทพึ่งตนเอง  สร้างความเข้มแข็ง  การจัดการทรัพยากรโดยชุมชน ฯลฯ  และเพิ่มคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไป   โดยมีงบประมาณอัดฉีดเข้ามาเพื่อทำงานอย่างเร่งด่วน  การนำแผนไปปฏิบัติก็มีปัญหา  ซึ่งเป็นปัญหาของการทำงานแบบราชการ ที่เน้นการทำงานให้บรรลุเป้าหมายเชิงปริมาณ และประชาสัมพันธ์   มีการตั้งเป้าหมายการจัดเวทีอบรมเศรษฐกิจพอเพียง  ครัวเรือนพอเพียง  หมู่บ้านตัวอย่าง  หมู่บ้านดีเด่น  หมู่บ้านเทิดพระเกียรติ   


 


แต่ทว่าในทางปฏิบัติ ข้าราชการก็ทำงานกับหมู่บ้านที่เคยทำมาก่อนและมีกิจกรรมต่างๆ อยู่ก่อนแล้ว  เพียงแต่เพิ่มกิจกรรมเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การอบรมแนวคิด  ปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้     กระบวนการที่ใช้ก็ไม่แตกต่างจากเดิมคือเน้นชาวบ้านเป็นศูนย์กลางผ่านกิจกรรมกลุ่มและการมีส่วนร่วม   หลังจากนั้นก็ประชาสัมพันธ์ให้เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง  จะเห็นได้ว่าในแง่การทำงานของหน่วยราชการ  นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงจึงเท่ากับการแปะฉลากใหม่ให้กับหมู่บ้าน


 


การพัฒนาชนบทจึงเป็นเวทีสำแดงตนที่สำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง  ซึ่งการวิเคราะห์ผลที่เกิดกับหมู่บ้าน/ชนบท   จะทำผ่านกรณีศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงที่บ้านดอน (ชื่อสมมติ)  หมู่บ้านในเขต อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


 


ชาวบ้านดอนทำนาเป็นอาชีพหลัก  ส่วนหนึ่งเก็บไว้กินเอง (ข้าวเหนียว)   อีกส่วนหนึ่งผลิตเพื่อขาย(ข้าวจ้าว)  นอกฤดูกาลทำนาก็ออกไปรับจ้าง  วิถีการผลิตเป็นลักษณะของการใช้เงินทุนในการซื้อปัจจัยการผลิต (เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช)  และการจ้างแรงงานในขั้นตอนต่างๆ  ปัญหาหลักของชาวบ้าน คือ ปัญหาหนี้สิน โดยทั่วไปเป็นหนี้ 70,000-80,000 บาทต่อครัวเรือน  และปัญหาความเครียดที่เกิดจากการทำงานหนัก แต่รายได้ไม่พอกับรายจ่ายและไม่พอใช้หนี้  เห็นได้ว่า ปัญหาของชาวบ้านเป็นผลมาจากปัญหาเชิงนโยบายที่ถูกผลักดันเข้าสู่การเกษตรเชิงพานิชย์ แล้วเสียเปรียบในระบบตลาด   ถูกขูดรีดจากกลุ่มทุนในรูปของค่าเช่า ดอกเบี้ย ราคาปัจจัยการผลิตที่สูง  และการกดราคาผลผลิต   รวมทั้งการกดค่าแรงเมื่อออกไปทำงานนอกฤดูกาลทำนา  


 


ที่บ้านดอนมีกิจกรรมการพัฒนาชนบทโดยหน่วยงานรัฐมาอย่างต่อเนื่อง   มีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น กองทุนหมู่บ้าน  กองทุนแก้ไขปัญหาความยากจน  กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต  กลุ่มแม่บ้าน  และภายใต้แผนการส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงมีการริเริ่มกลุ่มใหม่ คือกองทุนปุ๋ย  ร้านค้าชุมชน และกลุ่มเพาะเห็ดขาว   เครื่องมือที่ใช้ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมที่หน่วยงานพัฒนาชุมชนใช้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ตรงความต้องการของชาวบ้าน  คือ  การประชุมประชาคมหมู่บ้าน ซึ่งมีรูปแบบเป็นทางการ  มีการลงทะเบียนผู้เข้าร่วม  มีระเบียบวาระที่ชัดเจน  มีการบันทึกการประชุม  


 


การประชุมประชาคมหมู่บ้านวาระพิเศษ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการประชุมอย่างเป็นทางการกว่าทุกครั้ง  การประชุมเริ่มจากประธานในพิธีแสดงความเคารพต่อสัญลักษณ์ของชาติ  ผู้ใหญ่บ้านกล่าวรายงานและนายก อบต.กล่าวเปิด จากนั้นพัฒนาการอำเภอบรรยายแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง   ตามด้วยพัฒนากรในระดับรองลงมาบรรยายในประเด็นเทคนิคและการทำงาน  และสุดท้ายเป็นการแบ่งกลุ่มย่อยแสดงความคิดเห็นและสรุปกิจกรรมทางเลือก


 


ผลการประชุมครั้งนี้ ปรากฏว่ากลุ่ม/ชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมดสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรมเศรษฐกิจพอเพียง  โดยจัดเป็นครัวเรือนตัวอย่างตามคุ้มบ้าน  มีหัวหน้าคุ้มคอยดูแลให้ดำเนินงานตามแผน  และมีคณะกรรมการปฏิบัติการแก้จนคอยตรวจสอบและให้คำปรึกษา    มีการให้คำปฏิญาณว่าจะปฏิบัติตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง


 


สิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านดอน  เราสามารถพิจารณาผ่านแง่มุมต่างๆของการพัฒนา  เช่น วาทกรรมเรื่องการทำงานกลุ่มและการมีส่วนร่วม    ซึ่งมาพร้อมๆกับการพัฒนาแบบพึ่งตนเอง   การทำงานกลุ่มถูกมองว่าเป็นการสร้าง/แสดงออกถึงศักยภาพของชุมชนในการพัฒนา  แต่การพัฒนาชนบทที่ผ่านมาได้เปลี่ยนวิถีชีวิตชาวบ้านให้กลายเป็นปัจเจกชนในระบบตลาด   การส่งเสริมการรวมกลุ่มจึงเกิดขึ้นท่ามกลางความไม่ราบรื่นของกิจกรรม และกล่าวโทษชาวบ้าน  การมีส่วนร่วมก็เช่นเดียวกันในทางปฏิบัติเป็นการมีส่วนร่วมในกรอบนโยบาย หรือแผนที่มีอยู่แล้วจึงเป็นการมีส่วนร่วมทำ มากกว่าร่วมคิด    


 


ขณะเดียวกัน การประชาคมซึ่งเป็นเครื่องมือในการสร้างการมีส่วนร่วม  กลับประกอบไปด้วย"พิธีกรรม"  ที่ตอกย้ำระดับชั้นทางอำนาจ  ระหว่างผู้พัฒนา/ผู้ถูกพัฒนา มากกว่าสร้างความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง ผลก็คือ  กิจกรรมกลุ่มที่บ้านดอนไม่ประสบผลตามเป้าที่วางไว้  กิจกรรมไม่ได้ช่วยเหลือชาวบ้านเท่าที่ควร  และชาวบ้านยิ่งกลายเป็นผู้มีปัญหา รอคอยความช่วยเหลือมากยิ่งขึ้น


 


ระบอบแห่งความกลัว    เป็นผลจากกระบวนการสร้างความกลัวจากปฏิบัติการหลายๆ ด้าน  นับตั้งแต่  การใช้ความรุนแรง  การกล่าวหา  และการจับจ้องมอง  ซึ่งใช้อย่างแพร่หลายในการพัฒนาชนบทยุคสงครามเย็น


 


ในบ้านดอน กลไกของรัฐใช้การจับจ้องมองในการสร้างความกลัว  ไม่ว่าจะเป็นการที่หัวหน้าคุ้ม/คณะกรรมการปฏิบัติการแก้จนคอยติดตาม ตรวจสอบ รายงานข้อมูล  และการปฏิญาณตนที่จะปฏิบัติตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง    ทั้งหมดนี้  มีผลทางจิตวิทยาต่อชาวบ้าน  ส่งผลในการควบคุมชาวบ้านอย่างได้ผล


 


การสร้างภาพแทนความจริง   เป็นการสร้างภาพพจน์ของสิ่งต่างๆ ให้เกิดความเข้าใจบางอย่าง  ซึ่งส่งผลต่อความคิด/พฤติกรรมของคน  การสร้างภาพแทนความจริงจึงเป็นการสร้างความหมายเพื่อให้เกิดอำนาจในการควบคุม  ที่บ้านดอน พัฒนาชุมชนใช้เครื่องมือนี้ในการผลักดันเศรษฐกิจพอเพียง  ผ่านแผนชุมชนที่มีงบประมาณสนับสนุน เช่น การปรับปรุงภูมิทัศน์  ปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้  เขียนป้ายประชาสัมพันธ์   แต่เนื่องจากความที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน  จึงไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก เปรียบเทียบกับหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงตัวอย่างซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก   ที่สภาพหมู่บ้านและบริเวณบ้านสะอาดเป็นระเบียบ  มีรั้วบ้าน  แนวรั้ว/บริเวณบ้านปลูกผักและดอกไม้    แนวถนนมีป้ายคำขวัญเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงหรือคติสอนใจ ภาพเหล่านี้คือภาพอุดมคติของหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง  ซึ่งแสดงถึง ความมีระเบียบวินัย  ความประหยัด  ความร่วมมือ ความมีภูมิปัญญา  แม้ว่าเบื้องหลังคือความอึดอัดของชาวบ้านที่รั้วกลายเป็นอุปสรรค 


 


บ้านที่ใช้เพื่ออยู่อาศัย/เก็บเครื่องมือทำมาหากิน  ไม่มีได้มีไว้เพื่อรักษาให้เป็นระเบียบ/สวยงาม  แต่ภาพนี้สื่อกับคนภายนอกที่ได้เห็น  ขณะที่ประกาศย้ำให้ชาวบ้านดำเนินชีวิตในแบบอุดมคติ   และทำให้เจ้าหน้าที่ได้ผลงาน  ชนชั้นนำในหมู่บ้านได้รับคำชม  ชาวบ้านได้ความภูมิใจและงบประมาณต่อไป


 


จากการวิเคราะห์  เราจะพบความสัมพันธ์ของวาทกรรมเศรษฐกิจพอเพียงในระดับชาติ  กับภาคปฏิบัติในระดับหมู่บ้าน ที่เอื้อประโยชน์แก่กัน  ทำให้เกิดความหมายและขยายพื้นที่แห่งความยินยอม  ซึ่งเป็นผลจากอุดมการณ์ครอบงำ  ผ่านการโหมประชาสัมพันธ์  การใช้กระบวนการกลุ่ม การมีส่วนร่วม  และความกลัวจากการจับจ้องมอง ความยินยอมและความกลัวทำงานประสานกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว   ที่สำคัญมันขยายเข้าไปในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน และปฏิบัติการในระดับมโนธรรมสำนึก  เพราะปัญหาความยากจนกลายเป็นปัญหาทางศีลธรรม  ความไม่พอเพียง ไม่ขยัน  ผนวกกับปัญหาความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ


 


ผลก็คือ  รัฐสามารถกลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้นที่มีมาอย่างยาวนานและแหลมคมขึ้นทุกขณะได้อย่างสงบราบคาบ   ชนชั้นปกครองสามารถสืบทอดความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง   และยิ่งควบคุมและใช้ประโยชน์จากชนบทได้มากขึ้นอีก   ดังเราจะเห็นในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น จะมี การเมืองของการกล่าวหาและควบคุมชนบทขนานใหญ่ ในประเด็นการซื้อสิทธิขายเสียง


 


สำหรับชาวบ้านก็คือความขัดแย้ง/ตึงเครียดในสำนึกตัวเอง   ชีวิตต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน  ส่วนหนึ่งคือฟันฝ่ากับปัญหาเศรษฐกิจในชีวิตจริง    อีกส่วนหนึ่งคือแบกรับการสร้างโลกแห่งความฝันเศรษฐกิจพอเพียงกับเจ้าหน้าที่


 


เมื่อมองภาพกว้างออกไป   เราจะพบอาณาจักรแห่งความยินยอมและความกลัวทะมึนเหนือสังคมไทย  กรณีทหารเข้ามามีบทบาทในการจัดการในกรณีเขื่อนปากมูลหรือกรณีอื่นๆ  ในนามศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะปัญหาความยากจนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.)  การพยายามต่ออายุกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน  การรักษาพื้นที่กฎอัยการศึก  การผลักดัน พรบ.ความมั่นคงฯ  พรบ.คอมพิวเตอร์ ฯลฯ


 


กล่าวถึงที่สุด ยุคนี้อาจเป็นยุคที่ความยินยอมและความกลัวทำงานประสานกลมกลืนกันเป็นเนื้อเดียวอย่างถึงที่สุด  และชนบทหรืออาจทั้งสังคมไทยถูกสะกดให้สยบยอมมากกว่ายุคใดๆ


 


000


ศิโรตม์  คล้ามไพบูลย์


นักศึกษาปริญญาเอก  มหาวิทยาลัยฮาวาย  สหรัฐอเมริกา


 


งานของอาจารย์พฤกษ์ ทำให้เราเห็นว่าเศรษฐกิจพอเพียงวางอยู่บน 2 ขา  คือ หนึ่ง  เศรษฐกิจพอเพียงปฏิเสธที่จะตอบปัญหาของระบบทุนนิยมที่ดำรงอยู่ในชนบท  เช่น การที่ชาวบ้านไม่มีอำนาจต่อรองกับระบบตลาด  ปัญหาหนี้สิน ปัญหาการไม่มีที่ทำกินของเกษตรกร หรือปัญหาที่เกิดจากการบังคับสร้างความเป็นกลุ่ม/ชุมชน ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียด และกล่าวโทษชาวบ้านอย่างที่ อาจารย์พฤกษ์ได้กล่าวไปแล้ว   


 


เศรษฐกิจพอเพียงได้ทำให้พื้นที่เรื่องเศรษฐกิจกลับไปอยู่ที่ครอบครัว/ปัจเจกบุคคล  หรือกล่าวได้ว่าเป็นการโยนความผิดทางเศรษฐกิจไปสู่เหยื่อทางเศรษฐกิจ หรือคนจน  ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่  ในยุคของสฤษฎิ์ (ธนะรัชต์) และถนอม (กิตติขจร) ก็พูดตลอดว่า  ไม่มีความยากจนในหมู่คนขยัน  การที่เศรษฐกิจพอเพียงโยนภาระของคนชนบทไปที่คนชนบทเอง  เป็นสิ่งที่รัฐไทยทำมาโดยตลอด


 


สอง  การใช้ความรุนแรงบังคับ   งานของ อาจารย์พฤกษ์ ทำให้เราเห็นสถานภาพของเศรษฐกิจพอเพียงเมื่อลงสู่หมู่บ้านว่า มีมิติของความรุนแรงคล้ายสิ่งที่รัฐไทยเคยทำในยุคที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชนฝ่ายซ้าย  สิ่งที่จะเสนอเพิ่มคือ  ควรมีการศึกษาต่อให้มากขึ้นว่าการใช้ความรุนแรงทางนามธรรมในลักษณะที่ยกมา เช่น การลงชื่อ  การให้คำปฏิญาณตน  เป็นรูปแบบในการทำให้ชาวบ้านรับเศรษฐกิจพอเพียงในหลายพื้นที่หรือไม่   ถ้าเป็นจริงแสดงว่าการที่มีหลายหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงเกิดจากการบังคับซึ่งไม่ใช่ประชาธิปไตย  แต่เป็นเรื่องของอำนาจและความรุนแรง  อีกประเด็นที่จะเพิ่มเติมก็คือ อาจต้องอธิบายให้เห็นมากขึ้นว่า ความรุนแรงในลักษณะที่ยกมานำไปสู่ปัญหาหรือเงื่อนไขต่างๆ ที่แตกต่างจากการใช้ความรุนแรงทางกายภาพมากน้อยแค่ไหน


 


ประเด็นที่น่าอภิปรายเพิ่ม คือ  การประเมินสถานภาพของเศรษฐกิจพอเพียง  คนจำนวนมาก ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จะพิจารณาเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะที่เป็นพระบรมราโชบายของพระมหากษัตริย์  แต่จากประเด็นที่ อาจารย์พฤกษ์ เสนอ  มีแง่มุมที่พูดถึงความพยายามของรัฐไทยที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของชาวบ้าน/ชุมชน  ซึ่งเป็นความต่อเนื่องของสิ่งที่รัฐไทยทำมาโดยตลอดในยุคการพัฒนาประเทศ   ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า  เศรษฐกิจพอเพียงเป็นพระบรมราโชบายหรือพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จริงๆ  หรือ เป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์รัฐ   และการตอบคำถามนี้เป็นสิ่งสำคัญ  เพราะจะนำไปสู่การคิดทางการเมืองที่มีความแตกต่างกัน


 


ประเด็นต่อมาคือ  เศรษฐกิจพอเพียงเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งของกลุ่มทุน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทุนศักดินา และกลุ่มทุนนิยมเสรีโลกาภิวัตน์  เราอาจไม่เข้าใจความขัดแย้งของ 2 กลุ่มนี้ชัดเจนมากนักถ้าเรามองว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแค่เรื่องของอุดมการณ์หรือการครองความเป็นใหญ่ทางความคิด(Hegemony) อย่างที่ อาจารย์พฤกษ์ เสนอไว้  เราอาจต้องคิดถึงเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะที่เป็นวาทกรรมทางเศรษฐกิจ/การเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2540  ที่พยายามอธิบายว่าโลกาภิวัตน์ส่งผลต่อสังคมไทยอย่างไรบ้าง และสังคมไทยจะต้องจัดการตัวเองในกรณีนี้อย่างไร  


 


ในแง่นี้ เราอาจคิดว่า  ความขัดแย้งระหว่างแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงกับประชานิยม  เป็นการพยายามตอบปัญหาว่าสังคมไทยหลังปี 2540 ควรจะเดินไปในทิศทางไหน  เป็นไปได้ว่าสถานภาพของเศรษฐกิจพอเพียงที่ได้รับการยอมรับไม่ได้สะท้อนถึงพระราชอำนาจนำ  แต่สะท้อนถึงกรอบหลักๆในการถกเถียงทางเศรษฐกิจทางการเมืองของสังคมไทย  ซึ่งถูกกำหนดด้วยวาระของสังคมที่เพิ่งเผชิญกับการล้มละลายในปี 2540   และทุกวันนี้ปัญหานี้ก็ยังรบกวนสังคมไทยอยู่


 


ประเด็นสุดท้าย คือ ความแตกต่างระหว่างเศรษฐกิจพอเพียงกับเศรษฐกิจพึ่งตนเอง  อย่างน้อยแนวทางเศรษฐกิจพึ่งตนเองก็พยายามพูดถึงปัญหาที่เกิดจากระบบตลาด  การไม่มีที่ดินของเกษตรกร แต่เมื่อมาถึงยุคสมัยของเศรษฐกิจพอเพียงปัญหานี้ไม่มีการพูดถึงเลย  จุดเปลี่ยนที่ทำให้คำอธิบายของชนบทจากแนวทางเศรษฐกิจพึ่งตนเองไปสู่เศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร  อะไรทำให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่ดิน เต็มไปด้วยหนี้สิน เชื่อว่าตัวเองจนเพราะเป็นคนไม่ดีมาได้เรื่อยๆ  นำไปสู่ปัญหาที่ อาจารย์พฤกษ์ พูดไว้ คือเรื่องของการครองความเป็นใหญ่ทางความคิด ซึ่งหมายถึง   การทำให้คนจน/ชนชั้นล่างรู้สึกบางอย่างในลักษณะที่มองไม่เห็นความเป็นจริง   และใช้เงื่อนไขของการสร้างความเป็นจริงผ่านภาษาหรืออะไรต่างๆ  เพื่อให้คนจนยอมเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ตัวเองเสียเปรียบและไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา   ภาพหมู่บ้านที่ อ.พฤกษ์ นำเสนอ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่เศรษฐกิจพอพียงพยายามจะบอกเรา ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า  วาทกรรมเศรษฐกิจพอเพียงอย่างนี้มีส่วนเกื้อหนุนกับความไม่ยุติธรรม  ความไม่เท่าเทียม หรือความยากจนอย่างยั่งยืนอย่างไรบ้าง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net