คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ โครงการเมธีวิจัยอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) จัดสัมมนาเรื่อง "สันติวิธี ความรุนแรง และสังคมไทย"(Nonviolence, Violence and Thai Society) โครงการปีที่ 2 ความรุนแรง : "ซ่อน-หา" สังคมไทย ณ ห้อง ร.103 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2550
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของการเสวนา รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ ได้พูดถึงงานวิจัยเรื่อง "เพศสภาพของความรุนแรง" โดยกล่าวว่า ประเด็นหลักใจกลางของงานวิจัยชิ้นนี้อยู่ที่เรื่อง "การข่มขืน" ซึ่งถือเป็นรูปแบบหนึ่งของความรุนแรง และแบ่งเนื้อหา ออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกพูดถึง แนวคิดว่าด้วยการข่มขืนหรือข้อเสนอว่าด้วยการตีความการข่มขืนของนักคิดสตรีนิยม (Feminism) และส่วนที่สองพูดถึงการทำงานหาความรู้เรื่องการข่มขืนในสังคมไทย ตั้งแต่ พ.ศ.2539-2549 ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
แนวคิดว่าด้วยการข่มขืน
นักคิดสตรีนิยม ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเข้าใจเรื่องการข่มขืนว่า การข่มขืนสามารถมองได้ 3 ลักษณะหรือ3 แนวทาง กล่าวคือ พวกแรกเสนอว่าการข่มขืน (rape) คือการการกระทำความรุนแรง (violence act)
พวกที่สองเสนอว่าการข่มขืนคือเรื่อง Sex และ Sex คือการข่มขืน และพวกที่สามเสนอว่า การข่มขืนเป็นทั้งการกระทำความรุนแรงและเรื่องเพศและการผสมผสานของความรุนแรงและเรื่องเพศนี้เองที่ทำให้การข่มขืนมีความหมายเฉพาะ
พวกแรก
Susan Brownmiller พยายามจะชี้ว่าการข่มขืนไม่ใช่เรื่องเพศ เพราะความเข้าใจในหลายๆสังคมมองว่าการข่มขืนเป็นเรื่องเพศที่เบี่ยงเบน ซึ่งก็มีมายาคติรองรับอยู่ เช่นว่า ผู้ชายมีความต้องการทางเพศอยู่มากที่ต้องระบายออก และการระบายออกของผู้ชายนี้ก็ทำผ่านการข่มขืน และการซื้อบริการทางเพศ ดังนั้น มายาคติแบบนี้จึงนำไปสู่ความคิดที่ว่า ผู้หญิงจึงต้องระมัดระวัง ผู้หญิงต้องไม่ไปเร้าอารมณ์ผู้ชาย เป็นต้น
Brownmiller เสนอว่าสิ่งเหล่านี้เป็นมายาคติที่โยนความผิดให้ผู้หญิง การข่มขืนเป็น violence act ที่เกิดขึ้นในโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เชิดชูความเป็นชาย การข่มขืนจึงเป็นการสื่อสารความเหนือกว่าที่ผู้ชายกระทำกับร่างกายของผู้หญิง
พวกต่อมา
การข่มขืนคือ Sexual act และ Sex ทั้งหมดในระบบสองเพศสภาพคือการข่มขืน แนวคิดแบบนี้พบได้ในนักคิด เช่น Catherine MacKinnon ซึ่งให้คำอธิบายว่าในระบบเพศสภาพแบบแยกขาดอย่างเคร่งครัดและเชิดชูความเป็นชายมากกว่านั้นบังคับให้คนต้องมีวิถีปฏิบัติทางเพศในแบบรักต่างเพศ (Compulsory heterosexuality) ดังนั้นการบังคับให้เป็น heterosexual ก็ไม่ต่างกับการข่มขืนเพราะข่มขืนก็คือการถูกบังคับเช่นกัน
และ MacKinnon ยังบอกว่า Sex ที่เป็นกระแสหลักนั้นทำให้การครอบงำของผู้ชายและการสยบยอมของผู้หญิงเป็นเรื่องเชิงสังวาส เป็นเรื่อง Sexy เพราะฉะนั้น Normal Sex จึงเป็นการสื่อสารอำนาจที่ไม่ต่างกับการข่มขืน..
พวกที่สาม
การข่มขืนเป็นทั้งสองอย่างคือ เป็นความรุนแรงที่มีองค์ประกอบของ Sex เราจะไม่สามารถทำความเข้าใจการข่มขืนได้ถ้าไม่ลงไปดูความเชื่อความหมายเฉพาะของสังคมนั้นๆว่านิยามร่างกายมนุษย์อย่างไร นิยามเรื่องเพศอย่างไร ดังนั้น ถ้าเราไม่เข้าไปดูความเชื่อความหมายเหล่านี้ก็จะไม่เข้าใจเรื่องการข่มขืนกระทำชำเราได้
ข้อถกเถียงต่างๆก็นำไปสู่ความคิดที่ว่าการข่มขืนเป็นเรื่องที่หาแบบแผนไม่ได้ เป็นเรื่องของประสบการณ์เฉพาะ ตามความเชื่อความหมายเฉพาะของแต่ละสังคม เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่สลับซับซ้อน ซึ่งจะเข้าใจได้ก็ตามแต่บริบทและความเฉพาะเจาะจงในแต่ละสังคม
ข้อค้นพบจากการศึกษางานวิจัยเรื่องการข่มขืนในสังคมไทย
รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ พบว่างานศึกษาวิจัยเรื่องการข่มขืนของสังคมไทยมีลักษณะต่อไปนี้
ประการแรก การศึกษาการข่มขืนกระทำชำเราในสังคมไทยส่วนใหญ่เป็นการศึกษาตัวผู้ข่มขืน (rapist) โดยมีความเชื่อว่า คนกลุ่มนี้เป็น "พวกเบี่ยงเบน" หรือ "ผิดปกติ" ซึ่งในที่นี้ก็ศึกษาจากผู้ต้องขัง ต่อประเด็นนี้ รศ.
ประการที่สอง แนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในงานวิจัยนั้นไม่พบข้อถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องการข่มขืนที่ได้เสนอไว้ในส่วนก่อนหน้านี้เลย ซึ่ง รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ มีข้อสังเกตว่าทุกคนอ่านหนังสือเหมือนกัน คืออ่านหนังสือที่ผลิตในช่วงเวลาเดียวกัน และไม่อ่านวารสาร
ประการที่สาม งานวิจัยมีทั้งที่ผลการวิจัยสนับสนุนมายาคติเรื่องการข่มขืนและมีทั้งที่ไม่สนับสนุนมายาคติ ดังนั้นจึงพบว่าเรื่องการข่มขืนนั้นไม่มี pattern บอกไม่ได้ว่าผู้กระทำคือใคร เหยื่อคือใคร รูปแบบเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามงานหลายๆชิ้นก็ไม่ได้พยายามจะตั้งคำถามกับมายาคติว่าด้วยการข่มขืน แต่กลับรับเอามายาคตินั้นมา
ประการที่สี่ เมื่ออ่านงานวิจัยเรียงๆกันจะพบ plot ที่ว่าผู้ข่มขืน เมา, ใช้สารเสพติด และผู้หญิงยั่ว ซึ่งเป็นเช่นนี้เกือบทั้งหมด
ประการถัดมา คือเรื่อง "ข้อเสนอแนะ" ของงานวิจัยต่างๆ เช่นว่า ผู้หญิงต้องระวังตัว อย่าเชื่อผู้ชายง่าย ผู้หญิงต้องเรียนศิลปะป้องกันตัว ฯลฯ ซึ่งก็มักจะพบว่าผลวิจัยมาอย่างหนึ่งและข้อเสนอแนะมาอีกทางหนึ่ง
ประการสุดท้าย คือมีหนังสือสองเล่มที่ทำให้สังคมไทยได้มองเห็น "การข่มขืน" ในฐานะที่เป็นอาวุธสงคราม คือในงานแปลโดยคุณ
นอกจากนี้ รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ เสนอเพิ่มเติมในสิ่งที่มองไม่เห็นในสังคมไทยอีกประการหนึ่งคือ male rape หรือการข่มขืนที่ผู้ชายเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ไม่ใช่เป็นกรณีที่ผู้หญิงข่มขืนผู้ชายแต่เป็นการข่มขืนที่ผู้ชายกระทำกับผู้ชาย ซึ่งกรณีนี้ในสังคมไทยไม่ปรากฏทั้งในส่วนของข้อมูลและการวิจัย
"การข่มขืนหรือการกระทำความรุนแรงมันไม่มี pattern ความหมายก็เฉพาะเจาะจง ขึ้นอยู่กับบริบทเฉพาะ ขึ้นอยู่กับรายละเอียดเฉพาะของแต่ละกรณี แต่ทั้งหมดนี้จะทำความเข้าใจได้เมื่อเชื่อมโยงการกระทำเหล่านั้นเข้ากับโครงสร้างของสังคม และโครงสร้างหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือคือ gender" รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ กล่าวส่งท้าย